ฟุตบอลลีกเมืองกระทิงกำลังจะกลับมารีสตาร์ทซีซั่นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายนนี้หลังถูกแช่แข็งไปนานร่วม 80 วันเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส'โควิด-19'

การกลับมาครั้งนี้จะเป็นการดวลแย่งแชมป์กันแบบตัวต่อตัวระหว่าง บาร์เซโลน่า (58) กับ เรอัล มาดริด (56) ซึ่งทัพอาซูลกราน่านำเป็นจ่าฝูงแต่ทิ้งห่างทีมชุดขาวเพียง 2 คะแนน โดยมีโปรแกรมลงเตะอีก 11 เกม ดังนั้นโอกาสยังเปิดกว้างสำหรับทั้งสองค่าย 

อีกสถานการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อยกว่าการคั่วแชมป์นั่นคือการไล่ล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกซีซั่นหน้าที่มีอย่างน้อย 5 ทีมที่ต้องแย่ง 2 โควตาที่เหลือไล่จาก เซบีย่า (47), เรอัล โซเซียดาด (46), เคตาเฟ่ (46), แอตเลติโก มาดริด (45) และ บาเลนเซีย (42) ส่วน บียาร์เรอัล (38) กับ แอธเลติก บิลเบา (37) ยังมองห่วงๆแบบห่างๆ

แน่นอนว่ามีการจับตาขาประจำของรายการนี้อย่าง แอตเลติโก มาดริด ปัจจุบันอยู่อันดับ 6 ของตารางก่อนลีกจะถูกระงับเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ 

ทีมตราหมีของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ จะเร่งเครื่องในช่วง 11 เกมสุดท้ายเพื่อคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้าตามเป้าหมายหรือไม่ หลังทัพ'โกลโชเนโรส'ทำผลงานในช่วงที่ผ่านมาของซีซั่นนี้ไม่น่าประทับใจนัก ขณะเดียวกันผู้ท้าชิงอย่าง เรอัล โซเซียดาด กับ เคตาเฟ่ ต่างทำผลงานในฤดูกาลนี้ร้อนแรงเกินคาดด้วย ยังไม่นับรวมคู่ปรับหน้าเก่าอย่าง เซบีย่า, บาเลนเซีย หรือ บียาร์เรอัล 

ฟุตบอลลีกาประกาศโปรแกรมรีสตาร์ทเมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังเปิดไฟเขียวให้นักเตะสามารถฝึกซ้อมเต็มรูปแบบช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ทว่าความสนใจของสื่อกลับตกไปอยู่ที่ ซาอูล ญีเกซ หลังมิดฟิลด์วัย 25 ปีโพสต์ทวิตเตอร์แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าเขาจะประกาศทีมใหม่ในอีก 3 วันข้างหน้า ทั้งที่น่าจะโฟกัสไปที่การกลับมารีสตาร์ทซีซั่นนี้มากกว่า

ซาอูล ตกเป็นข่าวกับ แมนฯยูไนเต็ด มาเป็นเวลานาน โดยมีการอ้างว่าทีมปีศาจแดงพร้อมจ่ายเงิน 70 ล้านปอนด์เพื่อดึงมิดฟิลด์วัย 25 ปีไปค้าแข้งในถิ่น'โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด' ดังนั้นการทวีตของ ซาอูล จึงดูดดึงความสนใจของผู้คนมากกว่าการเตรียมพร้อมรีสตาร์ทซีซั่นของทีมตราหมีด้วยซ้ำ 

แอตเลติโก มาดริด มีโปรแกรมเยือนสังเวียน'ซาน มาเมส'ของ แอธเลติก บิลเบา ในการประเดิมการรีสตาร์ทวันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายนนี้ 

มีการวิเคราะห์ว่ามี 3 กุญแจสำคัญที่จะทำให้ แอตเลติโก มาดริด ก้าวไปสู่เป้าหมายนั่นคือการคว้าตั๋วกลับไปลุยแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาลหน้า ส่วนจะมีปัจจัยอะไรบ้างไปติดตามกันครับ

1.ดีเอโก้ คอสต้า

มันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับ ดีเอโก้ คอสต้า? หลังทำผลงานแย่ต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายกลับมาจาก'สแตมฟอร์ด บริดจ์' ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2018 เขายิงเพียง 14 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการ 63 เกม และกดแค่ 2 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการ 19 เกมในซีซั่นนี้ก่อนฤดูกาลจะถูกระงับ 

กองหน้าวัย 31 ปี มีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายมาตลอด ซึ่งมันทำให้เขาไม่สามารถเล่นด้วยฟอร์มดีที่สุดนับตั้งแต่กลับมาจากทีมสิงห์น้ำเงิน และยังมีปัญหานอกสนามหลังถูกฟ้องร้องเรื่องการเลี่ยงภาษีอีกด้วย 

อย่างไรก็ตามสตาฟฟ์เทรนเนอร์ไม่เคยตั้งข้อสงสัยในความสามารถของ ดีเอโก้ คอสต้า เขาเดินทางกลับประเทศบราซิลราว 2 เดือนในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่บ้านเฉยๆ เขาใช้เวลาฝึกซ้อมเพื่อรักษาสภาพความฟิตจนเจ้าตัวเอ่ยปากว่าเขามีรูปร่างดีสุดในชีวิต ตอนนี้น้ำหนักตัวของดาวยิงวัย 31 ปีน้อยลงกว่าช่วงพีคในซีซั่น 2013-2014 ถึงสองกิโลกรัมครึ่ง

ก่อนหน้านี้ ดีเอโก้ คอสต้า เรียกความฟิตกลับมาทันเกมเผชิญหน้ากับ ลิเวอร์พูล ในแอนฟิลด์ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อยก็ตาม หลังจากนั้นเขามีเวลาออกกำลังกายนานกว่า 2 เดือนทำให้ร่างกายฟิตสมบูรณ์และสามารถเป็นแรงผลักดันในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้ 

มันอาจจะเป็นเรื่องยากในการไว้วางใจ ดีเอโก้ คอสต้า แต่อย่างน้อยกองหน้าวัย 31 ปียืนยันว่าเขามีสภาพร่างกายดีสุดในชีวิตและพร้อมที่จะกลับมายิงประตูกอบกู้ชื่อเสียงคืนมาและนำทีมตราหมีไปสู่เป้าหมายนั่นคือการคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก 

2.การปรับแดนกลางของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ 

เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์พยายามปรับแต่งแดนกลางของทีมตราหมีมาตลอดฤดูกาลนี้เพื่อหาจุดลงตัว เขาเคยทดลองใช้งาน มาร์กอส ยอเรนเต้ เล่นทางฝั่งขวาเพื่อขยับ โธมัส พาร์เตย์ คุมเกมตรงกลางกับ ฆอร์เค่ เรซูร์เรกซิออน โกเก้ ซึ่งแผนนี้ประสบความสำเร็จเฉพาะช่วงแรกๆ

หลังจากนั้น ซิเมโอเน่ หมุนเวียนนักเตะแดนกลางต่อเนื่อง เขาเปิดโอกาสให้ บิคตอร์ มาชิน บีโตโล่, ยานนิค เฟร์เรยร่า การ์ราสโก้ กับ โตม่าส์ เลอมาร์ สลับลงสนามบ้างตามโอกาสเหมาะสม 

ถ้าเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์เลือก อังเคล กอร์เรอา ลงเล่นฝั่งขวา นั่นหมายความว่า มาร์กอส ยอเรนเต้ จะเป็นเพียงซูเปอร์ซัพ ขณะที่ ซาอูล ญีเกซ จะถูกปรับมาเล่นแบ็กซ้ายบ่อยครั้ง ส่วน เอคตอร์ เอร์เรร่า มิดฟิลด์ทีมชาติเม็กซิโกที่ดึงมาจาก ปอร์โต้ ยังมีเวลาลงสนามค่อนข้างจำกัด 

จากที่เคยมีบทบาทเป็นเพียงสำรอง อังเคล กอร์เรอา ได้รับความไว้วางใจจาก ซิเมโอเน่ มากขึ้นในซีซั่นนี้ แนวรุกชาวอาร์เจนไตน์ตอบแทนความเชื่อมั่นดังกล่าวด้วยการยิง 5 ประตูจากการลงเล่นลีกา 22 เกม ส่วนอีก 3 ตำแหน่งแดนกลางคือ โกเก้/พาร์เตย์/ซาอูล ที่ลงเล่นด้วยกันเกือบทุกเกม ในกรณีที่ เรนาน โรดี้ แบ็กซ้ายชาวบราซิเลียนร่างกายสมบูรณ์พอจะลงเล่น ส่วน ยอเรนเต้ กับ เอร์เรร่า ยังต้องต่อสู้กันเพื่อลงเล่นมากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถ้าหาก ดีเอโก้ คอสต้า, อัลบาโร่ โมราต้า หรือ ชูเอา เฟลิกซ์ สภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ ซิเมโอเน่ สามารถดัน การ์ราสโก้ หรือ บีโตโล่ ขึ้นมาเล่นเป็นกองหน้าเหมือนที่เขาเคยทำมาหลายครั้งในซีซั่นนี้ 

3.ใครจะอุ้มทีมตราหมีเข้าป้ายท็อป4? 

มันอาจไม่ใช่แนวรุกประเภทสร้างสรรหรือตัวทำโชค หรือกองกลางไดนามิก และไม่ใช่ผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยม

แต่คำตอบคือ เฟลีเป้ ออกุสโต้ เดอ อัมเมยด้า มอนเตยโร่ หรือเรียกสั้นๆว่า เฟลีเป้ 

เซนเตอร์ชาวบราซิเลียนย้ายจาก ปอร์โต้ มาค้าแข้งในถิ่น'ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่'ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งกองหลังวัย 31 ปีลงหลักปักฐานกับทีมตราหมีอย่างรวดเร็วกลายเป็นหัวใจหลักในแนวป้องกันของ ซิเมโอเน่ 

เฟลีเป้ เป็นเซนเตอร์อันดับ 3 ของลีกาที่ลงเล่นครบ 90 นาทีมากสุด รวมเวลามากกว่า 1,000 นาที เขาติดอยู่ใน 20 อันดับแรกที่ชนะในการดวลลูกกลางอากาศสำหรับผู้เล่นทั้งหมดของลีกเมืองกระทิง 

เขาเป็นตัวเลือกแรกในแนวรับของ ซิเมโอเน่ นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยพลาดลงสนามเพียงเกมเดียวเพราะติดโทษแบนเท่านั้น

แอตเลติโก มาดริด จ่ายเงินมากกว่า 250 ล้านยูโรเพื่อเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่ง เฟลีเป้ กองหลังค่าตัว 20 ล้านยูโรเป็นการลงทุนคุ้มค่ามากสุดของสโมสร หลังทีมตราหมีดึงมาทดแทน ดีเอโก้ โกดิน แนวรับทีมชาติอุรุกวัยที่ย้ายไปค้าแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน

ถ้า เฟลีเป้ ยังโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ ซึ่งช่วยผ่อนภาระให้ ยาน โอบลัค ออกแรงเซฟเฉลี่ย 9 ครั้งต่อเกม สาวกโกลโชเนโรสคงจะอุ่นใจได้ว่าอย่างน้อยทีมตราหมีจะเสียประตูยากขึ้น ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของแนวรุกในการหาทางเจาะแนวป้องกันคู่แข่งเพื่อยิงประตูนำทีมไปสู่ชัยชนะเท่านั้น