:::     :::

คุยกับ เปาโล เวเรดาส : "Playing football in Europe is possible."

วันจันทร์ที่ 08 มิถุนายน 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
4,475
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
วงการลูกหนังไทยมีช้างเผือกมากมายที่ถูกค้นพบตามสนามฟุตบอลทั่วประเทศ แต่คงน้อยคนนักที่จะมีโอกาสถึงขั้นถูกทาบทามให้ไปเตะฟุตบอลที่ยุโรป สำหรับวันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับ เปาโล เวเรดาส ชาวโปรตุกีสที่รักฟุตบอล หากได้อ่านบทความครั้งก่อนที่ผมสนทนากับ "เจ็ท" ชยพิพัฒน์ สุพรรณเภสัช ดาวรุ่งไทยวัย 19 ปีของสโมสร เอสโตริล คงเคยเห็นชื่อของ "เปาโล" ผ่านตามาบ้างแล้ว เขาคือผู้ชักนำ "เจ็ท" ไปเล่นฟุตบอลที่โปรตุเกส ชาวต่างชาติผู้นี้กล้าเสี่ยงที่จะเดินหน้าหาสปอนเซอร์เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงช่วยดำเนินการในแทบทุกเรื่องให้กับเด็กไทยคนหนึ่ง จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านมา 5 ปี เด็กคนนั้นยังอยู่ในเส้นทางสู่การเป็นนักเตะอาชีพที่ยุโรป ผมมองว่าเรื่องของ เปาโล น่าสนใจมาก และผมไม่พลาดที่จะไปพูดคุยกับเขาเพื่อนำมาเรียบเรียงบทความให้ทุกคนได้ทราบกันว่า เพราะเหตุใดเขาถึงกล้าลงทุนมากถึงเพียงนี้

แมน : สวัสดีครับ เปาโล ครั้งก่อนผมเคยคุยกับ "น้องเจ็ท" ชยพิพัฒน์ ซึ่งเขาเล่าให้ผมฟังว่าคุณคือคนชักชวนเขาไปเล่นฟุตบอลที่โปรตุเกส มีเรื่องราวที่ฟังแล้วน่าสนใจเยอะมาก ผมจึงอยากจะทราบข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมจากคุณครับ

เปาโล : ยินดีครับคุณแมน

แมน : คุณ เปาโล เป็นชาวโปรตุกีส ใช่มั้ยครับ อยู่เมืองไทยมากี่ปี ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ แล้วคุณทำงานอะไรที่เมืองไทยครับ

เปาโล : ผมเป็นชาวโปรตุกีสครับ อยู่มาประมาณ 7 ปีแล้ว ตอนนี้ผมอายุ 51 ปี ผมทำงานเป็น European scouter ในประเทศไทยตามหานักเตะที่มีความสามารถและพรสวรรค์ ( talented ) รวมถึงนักเตะที่สนใจจะไปหาโอกาสที่จะไปเป็นนักเตะอาชีพในยุโรป


แมน : ได้พบกับน้องเจ็ทอย่างไรครับ

 เปาโล : ผมเจอเขาครั้งแรกเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ที่โรงเรียนนานาชาติ รีเจนท์ ตอนนั้นมูลนิธิ เรอัล มาดริด ฟุตบอล ฟาวเดชั่น ไปใช้สนามที่นั่นอยู่ ซึ่งมีอยู่วันนึงผมเข้าไปดูเด็กๆ เล่นแล้วก็เจอเจ็ทโดยบังเอิญครับ หลังจากนั้น เจ็ทได้ไป บาเยิร์น มิวนิค หลังจากได้รับคัดเลือก และหลังจากน้องกลับมาเมืองไทยผมจึงเสนอให้เขาไปหาโอกาสเพื่อไปเป็นนักเตะมืออาชีพในยุโรป

แมน : ครั้งแรกที่เห็นน้องเจ็ท คุณคิดยังไงกับเด็กคนนี้ครับ และคุณเข้าไปชวนเขาเพื่อไปเล่นฟุตบอลที่โปรตุเกสเลยมั้ย


เปาโล : ผมเห็นเขาครั้งแรกก็ทึ่งมากครับ ผมรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีความสามารถและพรสวรรค์ ( talented ) เรื่องสรีระรูปร่างอาจจะยังเล็กแต่เขาอายุน้อยอยู่ผมคิดว่าสามารถสร้างกันได้ ซึ่งผมก็เข้าไปคุยกับเขาเลยครับว่าสนใจไปเล่นฟุตบอลที่โปรตุเกสมั้ย ซึ่งเขาก็แสดงทัศนคติให้ผมเห็นว่าเขาอยากไปจริงๆ

แมน : ผมทราบประวัติมาว่า น้องเจ็ท เริ่มเตะฟุตบอลตอนอายุ 9-10 ขวบเลยนะครับถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านั้นรู้สึกว่าจะว่ายน้ำมาก่อน คุณมาเจอเขาตอน 12 ปีก็แสดงว่าเขาเพิ่งเล่นฟุตบอลมาไม่นาน

เปาโล : ผมมองว่าเขาเป็นประเภทบอร์น ทู บี เลยครับ เด็กอายุแค่ประมาณ 12 ปี เล่นฟุตบอล 7 คน แต่เขาโดดเด่นเป็นบอสในสนามเลย

แมน : เด็กไทยในวัยนี้เตะฟุตบอลเก่งๆ เยอะเลยนะครับ ทำไมต้องเป็นน้องเจ็ทล่ะ ที่คุณเปาโลรู้สึกว่าใช่ ผมทราบจากน้องเจ็ทมาว่าคุณไม่เคยเป็นเอเจนต์มาก่อน และจนถึงทุกวันนี้ เจ็ท ก็ยังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่คุณดูแลอยู่ด้วย

เปาโล : เด็กไทยมีความสามารถเยอะมากครับ แต่ส่วนใหญ่ยังขาดโอกาส สำหรับผมที่เลือกเจ็ทเพราะผมรู้สึกว่าเขาสามารถพัฒนาขึ้นไปได้อีกและมีคุณสมบัติในการเล่นฟุตบอลอาชีพที่ยุโรปได้ สำคัญที่สุดคือเรื่องทัศนคติครับ เพราะนักฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จได้ พรสวรรค์และความสามารถมีส่วนประมาณ 25% ที่เหลือ 75% คือ Mindset (วิธีการคิด), Attitude (ทัศนคติ), Mentality (สภาพจิตใจ) และ Life Goals (การตั้งเป้าหมายในชีวิต) ซึ่งจะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีส่วนสำคัญมากสำหรับนักเตะที่ต้องการประสบความสำเร็จ เพียงแค่พรสวรรค์และความสามารถยังไม่เพียงพอครับ มีนักเตะเก่งๆ มากมายที่ไม่สามารถเป็นยอดนักเตะได้ เพราะขาดสิ่งเหล่านี้ ซึ่งผมมองว่า เจ็ท มีทัศนคติที่ดีและมีความสามารถ ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับ ผมมีเพื่อนที่โปรตุเกสเขาก็ทำการประเมินพัฒนาการของ เจ็ท อยู่ ซึ่งผลการประเมินก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาโดยตลอด และตอนนี้เขาถูกเลื่อนขั้นขึ้นไปเล่นในทีมชุดยู-23 ของเอสโตริล แล้ว หลังจากที่เพิ่งเซ็นสัญญาอาชีพกับทีมและเพิ่งได้ลงเล่นชุดยู19 เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง

แมน : ขั้นตอนที่น้องเจ็ทไปเล่นฟุตบอลที่โปรตุเกส มีลำดับเหตุการณ์ยังไงบ้างครับ


เปาโล : หลังจากคุยกับเขาและพ่อแม่ของเขา ผมก็ประสานงานกับเพื่อนที่โปรตุเกส จัดการเรื่องเอกสารการเดินทาง ตอนแรกให้เขาไปฝึกซ้อมกับทีม สปอร์ติ้ง ลิสบอน พอเอกสารเรื่องวีซ่าเรียบร้อย เขาก็ไปอยู่กับ บราก้า ประมาณเกือบ 2 ปี หลังจากนั้นเขาก็มาอยู่กับ เอสโตริล จนถึงปัจจุบันครับ และเพิ่งได้เซ็นสัญญาอาชีพหลังจากที่อายุครบ 18 ปีตามกฎของฟีฟ่า เขาจึงเพิ่งได้ลงเล่นในปีนี้ เพราะทุกประเทศในยุโรปห้ามไม่ให้ส่งผู้เล่นที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการครับ

แมน : แล้วค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่ากินค่าอยู่ ทุนการศึกษา การดำเนินการเรื่องเอกสาร, วีซ่า หรือการเจรจาทุกอย่าง เจ็ทเล่าให้ผมฟังว่าคุณเปาโล ดูแลให้ทั้งหมดเลยใช่มั้ยครับ

เปาโล : ไม่ขนาดนั้นครับ ผมจะช่วยในเรื่องเป็นธุระให้เขาในการประสานงานต่างๆ เรื่องเอกสารที่โปรตุเกส ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ผมได้พรรคพวกที่รู้จักกันเข้ามาช่วยเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนเขาครับ

แมน : ผมลองคำนวณดู ไปอยู่ที่ยุโรปค่าใช้จ่ายต่อปีน่าจะเฉียดๆ ล้าน อยู่มา 5 ปี สมมติตีเป็นเลขกลมๆ ก็น่าจะประมาณ 5 ล้านบาทได้เลยนะครับ คุณได้อะไรตอบแทนกลับไปบ้างมั้ยกับการลงทุนในตัวเด็กคนนี้ ไม่คิดว่าเป็นความเสี่ยงหรอครับ หากวันนึงเขาไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพในยุโรปได้ เพราะตัวแปรที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงมันดูไม่น้อยเลย

เปาโล : ทุกการลงทุนมันคือความเสี่ยงทั้งนั้นครับ แต่การลงทุนนี้เป็นความเสี่ยงที่คำนวณแล้ว ผมและเพื่อนที่เป็นสเกาเตอร์หลายๆ คนก็มอง เจ็ท ว่าเขามีความคุ้มค่าที่จะลงทุน เพราะทุกคนที่ประเมินเขาต่างมองตรงกันว่าเขามีคุณสมบัติมากพอทั้งเรื่องความสามารถและทัศนคติ ถ้าถามผมว่าได้อะไรตอบแทนมั้ย ผมก็ได้เป็นคนคอยดูแลเขาครับ


แมน : ทุกอย่างคือความเสี่ยง แล้วหากสมมติว่าวันนึง เจ็ท ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชื่อดัง จนมีเอเจนต์เจ้าใหญ่ๆ เข้ามาทาบทาม เจ็ท ไปเข้าสังกัด คุณเปาโลจะทำยังไงครับ

เปาโล : สัญญาเราต่อกันเรื่อยๆ ทุก 2 ปีอยู่แล้วครับ แต่สำหรับผมกับเจ็ท ความสัมพันธ์ของเราไม่ใช่แค่เรื่องของสัญญาหรอก ครอบครัวเขา พ่อแม่เขาน่ารักกับผมมากๆ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตลอด แต่หากวันนึงเขาเกิดเป็นซูเปอร์สตาร์ขึ้นมา ก็ย่อมต้องมีคนเข้ามาสนใจเขามากขึ้นอยู่แล้วครับ จริงๆ ตอนนี้เขาก็ได้รับความสนใจจากเอเจนต์เจ้าคนนึงของยุโรปที่จะดึงเข้าสังกัดอยู่เหมือนกันนะครับ (ตรงส่วนนี้ เปาโล ขอยังไม่เปิดเผยออกสื่อ เพราะยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมชัดเจน)

แมน : นอกจากเจ็ทแล้ว คุณคิดที่จะส่งเด็กไทยคนอื่นๆ ไปเล่นที่โปรตุเกส หรือที่ประเทศอื่นอีกมั้ยครับ

เปาโล : ตอนนี้ทางผม มีโปรเจ็คท์ ส่งเยาวชนอายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป ไปฝึกฟุตบอลกับ เอสโตริล อยู่ครับ ถ้าเด็กกว่านั้นผมมองว่าคงเป็นเรื่องยากลำบากหน่อย เพราะอาจยังเล็กเกินไปที่จะห่างไกลจากครอบครัว ตอนนี้มีนักเตะ 5 คน ที่จะไปสโมสรเอสโตริล เพื่อจะไปหาโอกาสไปเป็นนักเตะมืออาชีพในยุโรป ทางสโมสรเอสโตริลหรือสโมสรอื่นๆ ก็อาจจะให้อยู่ต่อจนถึงขั้นเซ็นสัญญาก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถและศักยภาพของแต่ละคน


แมน : เฉพาะเด็กไทยหรือต่างชาติด้วยครับ

เปาโล : ได้หมดเลยครับ เป็นการเปิดแบบโอเพ่น (เรื่องค่าใช้จ่าย ตรงนี้หากใครสนใจขอให้ไปสอบถามทาง เปาโล โดยตรงนะครับ)

แมน : คุณเปาโลมองว่า โปรตุเกส คือประเทศที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กไทยที่จะไปเล่นที่นั่นมั้ยครับ

เปาโล : ตรงนี้ตอบยากหน่อยนะครับ เพราะผมเองเป็นคนโปรตุเกสด้วย (หัวเราะ) แต่ถ้าในความคิดผมก็ถือว่าเหมาะสมกับคนเอเชียเลย ทั้งในเรื่องสภาพอากาศที่ไม่หนาวเย็นเกินไป, อาหารทานง่าย, ความมีไมตรีจิตของผู้คนที่นี่ และระบบฟุตบอลเยาวชนของโปรตุเกสก็อยู่ในระดับที่สูงมาก นอกจากนักเตะโปรตุเกสจะออกไปค้าแข้งทั่วยุโรปแล้ว โค้ชโปรตุเกสเองก็มีความสามารถออกไปสร้างชื่อเสียงทั้งในยุโรปและทั่วโลกมากมายเลย

แมน : คุณเปาโลเคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อนมั้ยครับ

เปาโล : ผมเคยเตะฟุตบอลแต่ระดับไม่สูงมากครับ เล่นทีมท้องถิ่น แต่ผมบาดเจ็บหนักตั้งแต่ยังเด็ก และมองว่าการเป็นนักฟุตบอลตัวเราคงไปได้ไม่ไกลมาก เลยเปลี่ยนมาศึกษาด้านโค้ชแทนครับ

แมน : ที่เมืองไทย บางคนจะมีมุมมองว่าหากเตะบอลไม่เก่งก็เป็นโค้ชไม่ได้ เพราะนักบอลอาจไม่ยอมรับไม่เชื่อถือ ที่ยุโรปหรือโปรตุเกส เป็นกันมั้ยครับ

เปาโล : แต่ก่อนที่โปรตุเกสหรือที่ไหนก็เป็นครับ คนที่ทำให้เปลี่ยนความคิดกันก็คือ คาร์ลอส เคยรอส อดีตผู้ช่วยเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แมนฯยูฯ รู้จักมั้ยครับ เขาไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพ แต่จบการศึกษาด้านกีฬาที่มหาวิทยาลัยลิสบอน ตอนเริ่มแรกเขาก็มาเป็นผู้ช่วยฯที่เอสโตริล นี่แหละ แล้วหลังจากนั้นเขาพาทีมชาติโปรตุเกส ยู-20 คว้าแชมป์โลก 2 สมัยซ้อนในปี 1989 และ 1991 จนขึ้่นไปคุมทีมชาติโปรตุเกสชุดใหญ่ ต่อจากนั้นมาผู้คนที่นั่นก็เลยยอมรับโค้ชที่ไม่ได้มาจากสายนักเตะมากขึ้น

แมน : ถ้าสำหรับผม จะนึกถึง โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นคนแรกเลยครับ เพราะเคยทราบมาว่าเขาไม่ได้เป็นนักเตะดังอะไร และเริ่มต้นมาจากการเป็นล่ามให้กับ เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน จนกลายมาเป็นโค้ชชื่อดังเบอร์ต้นๆ ของโลก


เปาโล : มูรินโญ่ก็เคยเป็นนักบอลมาก่อนครับ แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จ จริงแล้วๆ บ้านของมูรินโญ่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกับผมเลย ละแวกใกล้ๆ กัน คุณพ่อของเขา (เฟลิกซ์ มูรินโญ่) เคยทำทีม วิคตอเรีย เซตูบัล แล้วให้ โชเซ่ ทำงานเป็นสเกาต์แล้วก็ดูทีมเยาวชน พอดีช่วงนั้น เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน เข้ามาทำงานโค้ชกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน และอยากหาล่ามที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็เลยดึง มูรินโญ่ ไปทำงานด้วย พอ บ็อบบี้ ย้ายไปคุมปอร์โต้ก็ดึง มูรินโญ่ ไปด้วย จากนั้นขยับไปคุม บาร์เซโลน่า ที่สเปนก็ยังให้ มูรินโญ่ ตามไปทำงานด้วยกัน จนวันนึงเมื่อมีโอกาสคุมทีมเขาก็ก้าวขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในการพา ปอร์โต้ ได้ 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว (2003-2004 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, โปรตุกีส พรีไมร่า ลีกา, โปรตุกีส ซูเปอร์คัพ)

แมน : พอนึกๆ ไปก็นึกออกอีกชื่อครับ อังเดร วีลาส-โบอาส (อดีตกุนซือเชลซี, สเปอร์ส ปัจจุบันคุม โอลิมปิก มาร์กเซย ในฝรั่งเศส) นี่ก็ไม่เคยเป็นนักบอลและเริ่มจากการเป็น ผู้ช่วยโค้ชมูรินโญ่ใน ปอร์โต, เชลซี และ อินเตอร์มิลาน ต่อมา เขาได้เป็นโค้ชตั้งแต่อายุน้อยมากๆ ( 32 ปี )  ใน สโมสร อคาเดมิก้า


เปาโล : อ่าๆ ใช่ครับ วีลาส-โบอาส จริงๆ แล้วโค้ชชาวโปรตุเกส เก่งๆ เยอะมากครับ อีกคนนึงที่เก่งมากก็คือ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ที่ตอนนี้คุม วูล์ฟแฮมป์ตัน ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และตามด้วย มาร์โค ซิลวา หัวหน้าโค้ชใน ฮัลล์ ซิตี้  วัตฟอร์ด และเอฟเวอร์ตัน

แมน : ขอกลับมาถามเรื่อง น้องเจ็ท ต่อนะครับ คุณเปาโลมองอนาคตของเขาไว้ยังไงบ้าง คิดว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหน

เปาโล : ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเขานะครับ ถ้าเขายังคงรักษาความสม่ำเสมอในการพัฒนาตัวเองและทัศนคติที่ดีแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ เขาก็น่าจะขึ้นมาเป็นนักเตะในทีมชุดใหญ่ของเอสโตริลได้ นั่นคงเป็นเป้าหมายสเต็ปแรกก่อน หากเขาทำผลงานได้ดีก็อาจจะขยับไปอยู่กับทีมที่ดีมากขึ้น อาจจะไปอยู่ในทีมระดับพรีไมร่า ลีกา อย่างเช่น วิตอเรีย กิมาไรส์, วิตอเรีย เซตูบัล หรือทีมระดับท็อปขึ้นไปอย่าง เบนฟิก้า, ปอร์โต้, สปอร์ติ้ง ลิสบอน หรืออาจจะเป็นที่อื่นในยุโรปก็ได้ ตอนนี้มองเป้าหมายไปทีละสเต็ปก่อนครับ

แมน : ผมขออนุญาตเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยนะครับ สมัยที่ผมทำงานเป็นผู้บรรยายฟุตบอลทางทีวีครั้งแรกเมื่อปี 2003 ลีกแรกที่ผมได้พากย์คือลีกโปรตุเกส จำได้เลยว่าปีนั้นเป็นปีก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะย้ายมา แมนฯยูฯ แล้วภาพที่ผมเห็น โรนัลโด้ ในตอนนั้น เขาเป็นเด็กอายุประมาณ 17-18 ได้ลงมาเล่นในครึ่งหลัง และเลี้ยงบอล สับขาหลอกคู่แข่งอย่างเดียว แทบไม่ส่งให้ใคร จนกลายเป็นภาพที่ดูตลกไปเลย แต่ปีต่อมาเขาย้ายไปอยู่ แมนฯยูฯ และมาจนถึงปัจจุบัน โรนัลโด้ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลกไปแล้ว คุณเปาโลมองว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไรครับ


เปาโล : สิ่งที่ โรนัลโด้ มีแต่คนอื่นๆ ไม่มีคือ 75% ที่ผมเคยบอกไปครับ นักเตะเก่งๆ โลกนี้มีเยอะ แต่ความเก่งนั่นมันแค่ 25% โรนัลโด้ คือนักเตะที่เช้ามาจะเจอเขาที่ยิมทุกวัน และตอนซ้อมเย็น ในขณะที่คนอื่นๆ ซ้อมเสร็จกลับบ้านหมดแล้ว โรนัลโด้ จะอยู่ซ้อมต่อและกลับเป็นคนสุดท้ายทุกครั้ง ปัจจุบันเขาอายุ 35 ปี เขาก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเขาถึงเป็นนักเตะระดับโลกได้ และยังเป็นนักเตะพันล้านยูโรคนแรกของโลกซึ่งมากกว่าเมสซี่ถึง 3 เท่า

แมน : คุณเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวของ น้องเจ็ท ด้วยหรือเปล่า

เปาโล : ใช่ครับ เจ็ทเป็นเด็กที่ผมมองว่ามี Attitude และ Mindset ที่ดี ไม่ใช่ผมคนเดียวนะ แต่ทางที่โปรตุเกสก็มีคนคอยประเมินความสามารถเขาอยู่เช่นกัน ไม่ใช่แค่ความสามารถทางสกิล แต่รวมถึงสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองและโอกาสของเขาด้วยว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่แนวโน้มของเขากับทีมในตอนนี้ก็ดีมากๆ ครับ

แมน : เขาจะมีโอกาสกลับมาเล่นให้ทีมชาติไทยมั้ยครับ น้องเจ็ทเคยบอกผมว่า ทีมชาติชุดยู-19 ปีรุ่นที่แล้วเคยติดต่อเขาไป แต่เขามาไม่ได้เพราะติดภารกิจกับสโมสร เนื่องจากไม่ตรงกับช่วงฟีฟ่าเดย์

เปาโล : การเล่นทีมชาติเป็นความภาคภูมิใจของนักกีฬาทุกคนอยู่แล้วครับ หากช่วงเวลาตรงกับปฏิทินฟีฟ่าเดย์ ทางสโมสรก็ต้องยินยอมปล่อยนักเตะมารับใช้ทีมชาติอยู่แล้ว


แมน : ตอนนี้เขาอายุ 19 ปีแล้ว ก็คงต้องเล่นทีมชาติในรุ่นอายุสูงขึ้นมา ทีนี้ทางเมืองไทย ในอดีตที่่ผ่านมาค่อนข้างจะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ว่า ต้องมีการเรียกมาเก็บตัวฝึกซ้อมกับทีม บางครั้งอาจนานเป็นเดือน นักเตะที่อยู่ต่างประเทศอาจจะค่อนข้างเสียเปรียบเพราะโค้ชไม่เคยเห็นฝีเท้าและไม่รู้ว่าจะเล่นเข้ากับแท็กติกหรือไม่ หรือบางคนอาจจะมีความเชื่อไปเลยด้วยซ้ำว่าผู้เล่นที่ได้ลงเกมสม่ำเสมอในระดับไทยลีก มีความสามารถมากกว่าเด็กไทยหรือลูกครึ่งที่อยู่กับทีมเยาวชนในยุโรป

เปาโล : ผมเคารพความคิดเห็นของโค้ชแต่ละคนนะครับ ผมรู้ว่าประเทศไทยมีเด็กๆ ที่มีความสามารถทางฟุตบอลเยอะมาก แต่พวกเขาอาจจะขาดโอกาสเท่านั้นเอง ดังนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีโอกาสได้ไปต่างประเทศจะเก่งกว่าเสมอไป และโค้ชก็ย่อมต้องการนักเตะที่เขารู้ขีดความสามารถและเข้าใจแท็กติกของเขามากกว่าอยู่แล้ว ส่วนการเรียกมาเก็บตัวฝึกซ้อมนานๆ นั้น ตรงนี้ทางทีมชาติกับสโมสรอาจจะต้องประสานกัน และหาจุดลงตัวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกๆ ฝ่ายครับ

แมน : วันนี้ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ คุณเปาโล ไว้เรียบเรียงเสร็จผมจะส่งให้อ่านนะครับ

เปาโล : ขอบคุณมากครับ

 

ปล. บทสนทนาระหว่างผมกับ เปาโล เวเลดาส ต้องขอขอบคุณพี่ปุ๋ย แฟนของคุณเปาโล เป็นอย่างสูงที่ช่วยเป็นล่ามในการสนทนาให้ครับ

 

ถ้าชอบก็กดไลค์ ถ้าใช่ก็กดแชร์กันด้วยนะครับ (แมน โกสินทร์)


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด