จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ถือว่าเป็นหนึ่งชื่อที่เข้ามาอยู่ในลิสต์ดังกล่าว โดยบางคนมองว่า เขาไม่เหมาะสมกับการเป็นกัปตันทีมของลิเวอร์พูล ด้วยสไตล์การเล่นที่ค่อนข้างเรียบง่าย และไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ เพียงแค่รับหน้าที่รับ และผ่านบอลไปมาเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม เฮนเดอร์สัน กลับก้มหน้าก้มตาพิสูจน์ตัวเอง และแทบที่จะไม่เคยออกมาปกป้องตัวเอง จนกลายเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล ที่เป็นตัวแทนชูถ้วยแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 6 

จนหลายคนสงสัยว่า อะไรทำให้นักเตะธรรมดาที่หลายคนมองข้าม และเกือบโดนขายทิ้งออกจากทีม สามารถพลิกกลับมาประสบความสำเร็จ พร้อมกับสามารถเอาชนะใจทุกคนในทีมเป็นผลสำเร็จ

ย้อนเวลากลับไปช่วงปี 2011 ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ “เคนนี่ ดัลกลิช” ตัดสินใจทุ่มเงินราว 18 ล้านปอนด์ ทำการซื้อตัวเฮนเดอร์สัน มาจากซันเดอร์แลนด์ ซึ่งในฤดูกาลแรก เขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ปีต่อมา เขาก็ต้องพบเจอกับแบบทดสอบครั้งสำคัญ 

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ย้ายเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมของพลพรรค “หงส์แดง” มีความคิดที่อยากจะขายเฮนเดอร์สัน ออกจากทีมไปยังฟูแล่ม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอสลับตัวกับ คลินท์ เดมพ์ซี่ย์ ดาวเตะทีมชาติสหรัฐอเมริกา ทำให้เฮนเดอร์สัน ต้องพบกับการตัดสินใจครั้งใหญ่ นั่นถือเป็นบทพิสูจน์หัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่งของเขา 

เฮนโด้ ออกมาย้อนความทรงจำว่าร็อดเจอร์ส เรียกเขาเข้าไปพบ พร้อมกับเปิดแผนข้อเสนอ สำหรับการปล่อยตัวเขาออกจากทีม มันเหมือนเป็นการบอกเป็นนัยว่า ผู้จัดการทีมต้องการที่จะตัดตัวเขาออกจากทีมแล้ว จากนั้น เฮนเดอร์สัน เดินกลับไปยังห้องของตัวเอง และต้องต่อสู้กับความเศร้า

เฮนโด้ บอกเรื่องราวที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า การถูกแจ้งเรื่องการย้ายทีมในครั้งนั้น ทำให้เขาถึงกับร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว เพราะมันเป็นทางเลือกที่เจ็บปวดมาก ผลสุดท้าย เขาเลือกที่จะไปพูดคุยกับเอเย่นต์ส่วนตัว พร้อมกับบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขากำชับเอเย่นต์ว่า ไม่อยากย้ายจากถิ่น “แอนฟิลด์” และอยากจะสู้ต่อไป

หลังจากนั้น เขาได้ทำการแจ้งร็อดเจอร์ส ไปว่า อยากจะยืนหยัดที่นี่ และต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า ผู้จัดการทีมกำลังคิดผิด แน่นอนว่า เอเย่นต์กับเขามองไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเฮนเดอร์สัน บอกเรื่องนี้กับคุณพ่อของเขาด้วย นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกลูกหนังอยู่เสมอ เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต สำหรับเขาแล้ว ไม่เคยมีความคิดที่อยากย้ายหนีจากลิเวอร์พูล เลยแม้แต่น้อย 

จากวันที่เกือบจะโดนขายออกจากทีม เฮนเดอร์สัน ใช้เวลา 7 ฤดูกาล และพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักหน่วง จนกลายเป็นกัปตันทีม ชุดแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของสโมสรลิเวอร์พูล แม้จะโดนปรามาสอย่างต่อเนื่องจากแฟนบอลตัวเอง กระนั้น เขาก็ไม่เคยย่อท้อ และก้มหน้าก้มตาทำผลงานอย่างเงียบๆ 

ส่วนหนึ่งที่เฮนเดอร์สัน โดนตำหนิบ่อยมาก นั่นเป็นเพราะเขาเข้ามารับปลอกแขนกัปตันทีม ต่อจากตำนานของสโมสรอย่าง “สตีเว่น เจอร์ราร์ด” ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขามักโดนการเปรียบเทียบเล่นงานอยู่เสมอ บางคนบอกว่า รอยเท้าของเจอร์ราร์ด ใหญ่เกินกว่าที่เฮนเดอร์สัน จะเดินตามด้วยซ้ำ

แต่การเปรียบเทียบของเหล่าแฟนบอลนั้น สวนทางกับความคิดของเจอร์ราร์ด ที่ออกมากล่าวว่า ตอนที่เฮนเดอร์สัน ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก นี่คือเด็กหนุ่มที่มีความถ่อมตน พร้อมทั้งไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าจะใน หรือว่านอกสนาม เจอร์ราร์ด มองว่าเฮนเดอร์สัน มีความกระตือรือร้นสูงมากๆ โดยเหมาะสมแล้วที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เป็นผลสำเร็จ 

คำกล่าวของเจอร์ราร์ด ทำให้แฟนบอล “หงส์แดง” มองตัวเฮนเดอร์สัน ในแง่ดีขึ้นมาบ้าง โดยหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เขาชนะใจแฟนบอลบางส่วน นั่นคือแมตช์โกงความตายในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชนะบาร์เซโลน่า 4-0 ซึ่งเกมนั้น เฮนเดอร์สัน ยอมฝืนเล่นทั้งที่เจ็บจนแทบเดินไม่ไหว ระหว่างพักครึ่ง เขาต้องรับการปฐมพยาบาล ทั้งกิน และฉีดยา

นี่ถือเป็นฤดูกาลที่ 9 ของเฮนเดอร์สัน ภายในถิ่น “แอนฟิลด์” ซึ่งคนที่จะมาบอกเล่าถึงตัวจนของเขาได้ดีที่สุด นั่นคือกุนซือคนปัจจุบันอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่บอกว่า แม้ใครต่อใครจะไม่เห็นด้วย กับการที่เฮนโด้ เป็นนักเตะ และกัปตันทีมของลิเวอร์พูล แต่กุนซือเยอรมัน ยืนกรานเสมอว่า ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเฮนโด้ อีกแล้ว 

คล็อปป์ กล่าวว่า เฮนเดอร์สัน กำลังทำงานที่ยากที่สุดบนเกาะอังกฤษ นั่นคือการเข้ามาทดแทนตำแหน่งกัปตันของสตีเว่น เจอร์ราร์ด การก้าวมารับช่วงต่อเจอร์ราร์ด คืองานที่ยากที่สุดในรอบ 500 ปีของโลกลูกหนัง มันไม่ใช่งานที่น่าปรารถนา พร้อมกับอยากให้ผู้คนมองเฮนเดอร์สัน ในฐานะการเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมบ้างเท่านั้นเอง

คล็อปป์ มอบความคิดเห็นต่อไปว่า  หากถามว่าเฮนเดอร์สัน เป็นนักเตะที่ไร้ที่ติหรือไม่  บอกเลยว่าเขาไม่สมบูรณ์แบบ แต่หากถามว่า เขาสำคัญต่อสโมสรลิเวอร์พูล อย่างมากหรือไม่ บอกเลยว่าใช่อย่างแน่นอน สำหรับใครที่มองไม่เห็นคุณภาพในตัวเขา ก็คงช่วยคนเหล่านั้นไม่ได้แล้ว