การบิดเข็มทิศลูกหนังสโมสร จากที่ “ทุ่มซื้อ” เปลี่ยนเป็น มาตรการรัดเข็มขัดเพดานเงินสโมสรให้อยู่ในกรอบ พร้อมให้โอกาส “เลือดใหม่” ขึ้นมาบู๊แทน

กล่าวคือ “กิเลนผยอง” วันนี้ ไม่หลงเหลือเงาผู้เล่นระดับทีมชาติไทยชุดใหญ่อีกแล้ว

แม้สิ่งที่ตามมาหลังการจากไปของ 2 นักเตะอย่าง สารัช อยู่เย็น และ อดิศร พรหมรักษ์ คือ การหา “ตัวแทน” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่งานง่าย ในการงมหาผู้เล่นฝีเท้าระดับ ตัง และ เก่ง

ในสถานการณ์ที่ทีมใหญ่ แทบไม่ปล่อยแข้งหลัก

ในสถานการณ์ที่โควิด ไม่เอื้ออำนวยต่อการเซ็นสัญญานักเตะต่างชาติ

และในสถานการณ์ที่ เมืองทองฯ “ไม่ทุ่ม” เหมือนเมื่อก่อน

ทำให้ “ทางเลือก” สุดท้ายที่เหลือ คือการ “ดัน” บรรดาเหล่าดาวรุ่ง ขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่จากไป

ที่ผ่านมา 4 นัด อเล็กซานเดร กามา อาจให้โอกาสบรรดาเลือดใหม่ มีเวทีได้ปล่อยของไปบ้างแล้ว

แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง 3 ผู้เล่นดาวรุ่งของทีม ที่เรามองว่าทั้ง 3 คือคีย์แมนน่าจับตา และจะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับทัพกิเลนเลือดใหม่ยุคนี้

 

พัชรพล อินทนี

เด็กหนุ่มวัย 21 ปี ที่ถูกกิเลนผยองดันขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ตั้งแต่เมื่อฤดูกาล 2018 จากการที่กองหลังของ เมืองทองฯ ในเวลานั้น ต่างควงกันรักษาอาการบาดเจ็บ

ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ชื่อของ “พีม” เข้าไปเตะใจสาวกกิเลนอย่างรวดเร็ว ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง และนิ่งเกินไว

ผลงานอันยอดเยี่ยมของหมอนี่ ต่อยอดให้เขามีชื่อติดทีมชาติระดับรุ่นไม่เกิน 23 ปี และ ถูก อากิระ นิชิโนะ เรียกไปซ้อมร่วมกับทีมชาติชุดใหญ่มาแล้ว

อย่างไรก็ดี หลังการมาของ อเล็กซานเดร กามา เจ้าตัวได้จับ พัชรพล ขยับมาเล่นเป็นกองกลางตัวรับ ซึ่งหมอนี่ก็ยังทำได้ดีอีก จนกลายเป็น 1 ในดาวรุ่งสามัญประจำบ้านของ เฮดโค้ชบราซิเลียนไปเสียแล้ว

ชื่อของ พัชรพล กลับมาถูกจับตามองอีกครั้ง หลังการจากไปของ สารัช และ อดิศร เพราะรอยโหว่ขนาดใหญ่ที่ถูกทิ้งไว้ในตำแหน่ง กองหลังตัวกลาง และ กองกลาง

เด็กหนุ่มคนนี้ สามารถ เล่นได้ทั้ง 2 ตำแหน่ง

 

สรวิทย์ พานทอง  

ชื่อของ สรวิทย์ กลับมาเตะตาแฟนบอลอีกหน จากการที่เจ้าตัวติดทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ภายใต้การคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีชชอง “ยิ้ม” เบิกเนตรหลายคน จนตั้งคำถามรัว ๆ ว่า หมอนี่เล่นกองกลางได้ดีขนาดนี้เชียวหรือ

เพราะกระทั่งในสีเสื้อกิเลนผยอง เขายังแทบไม่เคยได้เล่นตำแหน่งนี้ด้วยซ้ำ จนมาฤดูกาลนี้ กามา ตัดสินใจขอตัว “เจ้ายิ้ม” กลับจาก โปลิศ เทโร เพื่อมารับบทบาทเดียวกับที่โชว์ผลงานแจ้งเกิดกับทีมชาติ

ทั้งที่เอาเข้าจริง ตำแหน่งที่ถนัดสุดของ “ยิ้ม” คือ กองกลาง มาตั้งแต่แรก หาใช่ปีกซ้าย หรือ กองกลางตัวรุก อย่างที่แฟนบอลเข้าใจกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาในระดับสโมสร และทีมชาติชุดเยาวชน การอยู่ท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิง แรด ระดับทีมชาติ ทำให้เขาถูกไปลงเล่นปีกมากกว่า

แต่การจากไปของ สารัช อยู่เย็น ทำให้ “ไม้ต่อ” ถูกส่งมายัง สรวิทย์ ผู้ที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นแกนหลักในแดนกลาง เมืองทองฯ ในยุค New Normal พร้อมรับบทบาทของ เจ้าตัง แทน

นั่นคือตัว Box to Box คอยเชื่อมเกม คนใหม่ของค่าย กิเลนผยอง

 

ฉัตรมงคล ทองคีรี

อีกหนึ่งกองกลางทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ย้ายมาร่วมทัพ กิเลนผยอง ในช่วงตลาดซื้อขายหลังโควิด

กองกลางวัย 23 ต้องพบกับอุปสรรคในถิ่นคลองเตย หลังกลายเป็นตัวเลือกลำดับ 5-6 ในทีม ต่อจากบรรดารุ่นพี่มากประสบการณ์

อย่างไรดี ที่เอสซีจี สเตเดียม แห่งนี้ดูเหมือน “โอกาส” ในการลงสนามของ “ฉัตร” จะสดใสกว่า การท่าเรือ มากหลายเท่าตัว แม้ เมืองทอง ในวันนี้จะเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับดาวรุ่งฝีเท้าดีก็ตาม

เหตุผลคือ อเล็กซานเดร กามา มีความชื่นชอบในสไตล์การเล่นของ ฉัตรมงคล เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเจ้าตัวคือขาประจำที่ กามา เรียกมาติดทีมชาติ ตั้งแต่สมัยเขายังรับงานให้กับช้างศึก

เรียกว่ามีตำราคู่มือใช้งาน “เจ้าฉัตร” แน่

อีกเหตุผลคือ แม้ กิเลนผยอง จะเต็มไปด้วยดาวรุ่งมากฝีตีน แต่เมื่อเหลือบไปมองในตำแหน่งกองกลาง หากไม่นับ วัฒนา พลายนุ่ม พี่ใหญ่สุดในทีม ที่ถูกจับไปเล่นกองหลังเกือบเต็มตัว เมืองทองชุดนี้แทบไม่มีกองกลางตัวรับ

ทำให้การมาของ ฉัตรมงคล จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ เมืองทอง มาก

แม้วัยจะเพียง 23 ทว่าประสบการณ์เวทีไทยลีก รวมถึงระดับทีมชาติ เขามีไม่แพ้แข้งดาวรุ่งคนไหนในทีม