:::     :::

"แผ่นหลังที่แบกความหวังของแฟนผี" แฮรี่ แมกไกวร์

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
7,856
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แฮรี่ แมกไกวร์ แบกภาระอันหนักอึ้งกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้บนบ่าของกัปตันทีมผู้นี้ และนี่คือทั้งหมดที่ว่า ทำไมเขาจึงควรได้รับการยกย่องมากกว่านี้

แมนยูไนเต็ดต้องใช้เวลาถึง120นาทีในการจัดการกับนอริชซิตี้ ทีมที่ถึงจะอยู่อันดับบ๊วยในพรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาพร้อมที่จะเดิมพันทุกอย่างทั้งหมดเอาไว้ในถ้วยเอฟเอคัพรายการเดียวที่เป็นความหวังของเขา ซึ่งตัวสำคัญๆหลายตัวถูกพักเอาไว้ในเกมกลางสัปดาห์ที่แพ้เอฟเวอร์ตัน และถูกนำมาลงสนามเป็นตัวจริง11คนแรกทั้งหมด ในขณะที่ทางยูไนเต็ดเองก็พร้อมที่จะลุยสู่เวมบลีย์แล้ว

ทางด้านโซลชาที่ปีก่อนพายูไนเต็ดเข้าถึงรอบ8ทีมสุดท้ายนี้เมื่อปีที่แล้ว ในปีนี้เขาพาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จและสร้างสถิติส่วนตัวขึ้นใหม่ด้วยการคุมแมนยูไนเต็ดไม่แพ้ใครมา14เกมติดเข้าไปแล้ว

ครึ่งแรกที่เล่นกันแบบซังกะตาย ถูกแก้ไขด้วยการเล่นในครึ่งหลังโดยการขึ้นนำก่อนจากอิกาโล่ ก่อนที่แคนท์เวลล์จะตามตีเสมอในเวลาต่อมา และสุดท้ายก็เป็น "ประตูลูกที่3ในฤดูกาลนี้ของแฮรี่ แมกไกวร์" ที่เป็นประตูพาเขาไปสู่เวมบลีย์ได้เป็นครั้งที่2


โซลชากล่าวถึงแมตช์รอบ8ทีมกับนอริชที่ผ่านมาเอาไว้ว่า "มันเป็นเกมบอลถ้วยเกมนึงที่เราอาจจะไม่ได้เล่นกันอย่างสุดยอด แต่ผมรู้สึกว่าเราเก็บบอลกันไว้ได้โอเคแล้ว ขาดแต่แค่ยังหาโอกาสบุกให้มันกดดันใส่พวกเขาได้ไม่มากพอ"

"นักเตะหลายๆคนไม่ได้ลงเล่นในเกมที่แล้ว และอยู่ๆขา2ข้างต้องถูกใช้งานเต็ม 90 หรือ120นาที แต่เราก็ยังเข้ารอบมาได้เรื่อยๆ ดังนั้นถือว่าทำมาได้ดีแล้ว"

"พวกเรามีการเปลี่ยนแปลงในทีมหลายๆอย่างเลย ผมยังคิดอยู่ว่านักเตะที่ลงไป120นาทีวันนี้น่าจะยังฟิตพอสำหรับใช้เจอไบรจ์ตันในวันอังคาร ดังนั้นผมอาจจะทำให้นักเตะเหนื่อยขึ้นหน่อย ซึ่งมันดีมากเลยที่ตอนนี้ผมมีตัวเลือกให้หมุนเวียนนักเตะพอควร อ็องโตนี่ มาร์กซิยาลนั้นลงสนามและทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก แต่อิกาโล่ช่วยให้ผมสามารถที่จะโรเตชั่นตำแหน่งกองหน้าได้ และเขาก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นจอมถล่มประตู และมีส่วนร่วมทั้งสองลูกในเกมเลย"

"เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆที่ควรจะมีอยู่ในห้องแต่งตัวของทีมเรา"

ส่วนกัปตันทีมอย่างแมกไกวร์นั้น ก่อนที่จะยิงได้เขามีจังหวะเกือบโหม่งพังประตูในช่วงท้าย ขึ้นโขกบอลจากลูกเตะมุมของบรูโน่ แฟร์นันด์ส และขวิดไปทางมุมขวาซึ่งลูกนี้คล้ายๆกับประตูที่เขาโหม่งใส่เชลซีที่สแตมฟอร์ดบริดจ์เป๊ะ แต่กลับถูกปฏิเสธโดยฝ่ามือของทิม ครูล อย่างไม่น่าเชื่อ

ซึ่งการสำแดงฤทธิ์จากปอล ป็อกบาอีกครั้งทำให้ยูไนเต็ดสามารถฝ่าการอุดหน้าประตูททั้งทีมเข้าไปเป็นประตูชัยได้ในที่สุด

"มันเป็นเกมที่ยากและต้องทำงานกันอย่างหนักมากๆ เราอาจจะไม่ได้เล่นในฟอร์มที่ดีที่สุดในวันนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ก็มักจะมีอยู่บ่อยๆเวลาเป็นเกมบอลถ้วยเสมอ ซึ่งเรามีแมตช์ที่เล่นกันลำบากมากเพราะอากาศที่ร้อนมากจากเกมวันพุธที่ผ่านมา แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างหรอกเพราะเราก็มีการเปลี่ยนตัวหลายตำแหน่งไปแล้ว ดังนั้นเอาจริงๆผมไม่สามารถฟันธงได้หรอกว่าวันนั้นมันเป็นเพราะอะไร เราอาจจะต้องย้อนกลับไปนั่งดูแล้วลองวิเคราะห์ดูอีกครั้ง"

ไม่ต้องวิเคราะห์หรอก แค่ทิมครูลมักจะแปลงร่างเป็นซุปเปอร์ไซย่าเสมอเวลาเจอแมนยูแค่นั้นแหละ -.,-

"เราเล่นกันช้านิดหน่อย แล้วก็ใช้การเจาะพื้นที่ตรงกลางมากเกินไป เกมนั้นเราอาจจะควรต้องเล่นเกมถ่างไปริมเส้นมากกว่านี้ แต่มันก็ไม่สำคัญแล้วแหละ เพราะเราผ่านเข้ารอบรองฯเรียบร้อย นั่นล่ะสำคัญกว่า"

"ผมพึงพอใจเสมอในยามที่ได้มีส่วนร่วมอยู่ในเรื่องต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นสกอร์สำคัญในช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลาพิเศษ ซึ่งจริงๆแล้วผมออกจะผิดหวังด้วยซ้ำที่เพิ่งจะยิงให้ทีมได้แค่3ประตู มันเป็นสิ่งที่ผมกำลังพยายามอยู่เพื่อที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นในช่วงเวลานี้เลย และรวมถึงหลังจากจบฤดูกาลแล้วด้วย"

แฮรี่ แมกไกวร์นั้นยังไม่เคยคว้าโทรฟี่ใดๆเลยในการเทิร์นโปรอาชีพนักฟุตบอลเต็มตัวของเขา แต่เขานั้นทำให้แมนยูไนเต็ดได้เห็นโอกาสในการคว้าแชมป์ถ้วยเอฟเอคัพรางๆแล้ว

"การคว้าแชมป์เอฟเอคัพคือทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะผมย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะคว้าแชมป์ให้ได้ มันเป็นรายการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมรายการหนึ่ง และก็หวังว่าเราจะเล่นกันได้ดีกว่าคืนนี้นะตอนที่เตะรอบรองชนะเลิศ"

แมกไกวร์ปิดท้ายคำให้สัมภาษณ์นี้ด้วยการตอกย้ำและชี้ให้เห็นอีกครั้งว่า เขามาที่นี่ ไม่ได้จะมาเพียงแค่อุดรูรั่ว หรือทำให้แมนยูไนเต็ดดีขึ้นเท่านั้น (ซึ่งแฟนผีหลายๆคนอาจจะหวังเพียงแค่นั้นแหละ แค่มาทำให้เกมรับเรามั่นคงขึ้น)

แต่สิ่งที่attitudeของแมกไกวร์สื่อสารออกมาผ่านการคำให้สัมภาษณ์ต่างๆอย่างเช่นหลังแมตช์นอริชนั้น ทำให้เราได้รู้ซึ้งกันทันทีว่า เขาไม่ได้จะมาแค่ช่วยเกมรับแมนยูไนเต็ดอย่างเดียวเหมือนที่ใครหลายคน รวมถึงผู้เขียนด้วยเข้าใจ

แต่แมกไกวร์มาเพื่อที่จะเป็นแชมป์เท่านั้น

ทัศนคติที่เต็มไปด้วยความทะเยอะทะยานอันทรงพลังต่อเป้าหมายที่วางเอาไว้สูง มันจะเป็นแรงขับที่ผลักดันให้ทีมก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากที่สุด เมื่อเราวางเป้าหมายเอาไว้สูงมากๆ มันจะส่งผลเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเองโดยตรงทันที

สิ่งนี้คือเรื่องของการ "วางเป้าหมายให้ไกลและใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" ซึ่งนักกีฬาหลายๆคน หรือรวมถึงนักคิดต่างๆก็จะมีวิธีคิดเช่นนี้ในการdriveตัวเองให้สามารถประสบความสำเร็จ

ยกตัวอย่างง่ายๆ หากสมมติว่าแมกไกวร์พูดเอาไว้ว่า "พวกเราจะเล่นให้ดีที่สุดครับ และขอแค่เข้าไปรอบชิงได้ก็พอใจแล้ว" หรือในลีกเช่น "อ๋อเดี๋ยวพวกเราจะรอลุ้นให้แมนซิตี้โดนแบนครับ ได้แค่อันดับ5เราก็จะสามารถไปUCLได้เหมือนกัน"

ทัศนคติที่วางเป้าหมายต่ำๆ ที่ทำได้ง่ายๆแบบนี้ มันจะส่งผลให้ไม่เกิดแรงกระตุ้นใดๆเลยในการที่จะทำให้คนเราต้องพยายามอัพเกรดตัวเองให้มากกว่าเดิม เพราะเพียงแค่ฝึกซ้อมไปวันๆตามปกติทั่วไป ก็อาจจะทำเป้าหมายพวกนี้สำเร็จแล้วโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยอะไร (ได้อันดับ5ในลีก / แค่เข้ารอบชิง)

ทัศนคติที่จะพาแมนยูไนเต็ดไปถึงระดับแชมป์เท่านั้นของแมกไกวร์ที่ให้สัมภาษณ์ออกมา คือทองคำแห่งผู้ชนะที่อยู่ในความคิดของผู้ชายคนนี้นี่เอง

แฮรี่ แมกไกวร์นั้นถือเป็นนักเตะคนสำคัญมากที่สุดคนนึงของแมนยูไนเต็ดในยุคนี้ ที่ย้ายมาในฐานะ "กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก" ณ ตอนนี้ที่80ล้านปอนด์ ทำลายสถิติของVVDที่ 75ล้านไปเรียบร้อย ซึ่งเมื่อราคาสูง ความคาดหวังของแฟนผีที่มีต่อเขาจึงสูงมาก

เพราะถ้าดูที่ราคา ใครๆก็หวังว่าแมกไกวร์จะมาเป็นกองหลังที่เก่งสุดยอด มีผลงานระดับเทพที่โอลด์แทรฟฟอร์ดอย่างแน่นอน

แต่จริงๆแล้วการคาดหวังเช่นนี้เป็นวิธีการคิดที่อาจจะไม่ถูกต้องสักหน่อย โอเคว่า นักเตะราคาแพงก็จริง สโมสรก็ควรจะได้รับอะไรดีๆกลับมา อันนั้นเป็นตรรกะที่สมเหตุสมผล

แต่การเป็นกองหลังที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก มันก็หมายความตรงตัวว่า เขา"ค่าตัวแพงที่สุด" ในการซื้อขายเท่านั้นเอง

เขาอาจจะเป็น.. หรือไม่ได้เป็นกองหลังที่เก่งที่สุดในโลกก็ได้ เพราะความเก่งกับค่าตัวมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน มันสัมพันธ์กันก็จริง แต่ที่แพงมันก็มีหลายๆปัจจัยประกอบด้วยเช่น ต้นสังกัดไม่อยากขายคีย์แมน / คนซื้อพร้อมทุ่มเงินให้เพื่อยอมปล่อยตัวออกมา ฯลฯ มันมีเหตุผลเหล่านี้ประกอบด้วย

ดังนั้นในด้านของ "ความคาดหวัง" ต่อแมกไกวร์นั้น ถ้าจะให้ถูกและดีที่สุดแล้วนั้น ก็ไม่ควรที่จะคาดหวังเขาจากเพราะค่าตัวแพงระยับอย่างเดียว แต่เราควรจะไปหวังว่า เขาทำอะไรให้ทีมได้ และเขาพร้อมที่จะทุ่มเทพาทีมไปให้ไกลได้แค่ไหน นั่นต่างหากที่สำคัญกว่าการคอยแต่จะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับเวอร์กิล ฟานไดค์เพียงอย่างเดียวเพียงเพราะค่าตัวที่ต้องจ่ายมากกว่า

แฟนผีรู้ ทุกคนรู้ ว่าแมกไกวร์คือกองหลังทีมชาติอังกฤษที่ดีที่สุด และเป็นตัวท็อประดับแนวหน้าที่มีชื่อเสียงแน่อยู่แล้ว ดังนั้นมันก็สมกับราคาที่ต้องจ่ายไป ซึ่งเม็ดเงิน80ล้านปอนด์ในยุคนี้ก็ต้องถือว่าเป็นเงินที่มหาศาลอยู่ดี

แต่ในโลกฟุตบอลที่กลายเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงมากๆ หากเงินก้อนนี้ที่จ่ายไปมันสามารถสร้างอิมแพ็คและมอบผลตอบแทนที่เห็นชัดกลับมาได้นั้น เงินก้อนที่ว่าจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยทันที

ซึ่ง ณ ตอนนี้ผ่านมาเกือบครบซีซั่น มันก็กลายเป็นเช่นนั้นไปแล้ว แมกไกวร์ มีความสำคัญต่อทีม และลงรับใช้แมนยูไนเต็ดจนคุ้มค่าตัวไปไกลแล้ว

สิ่งที่ทำให้เรากล้าที่จะพูดว่า เขานั้นมีค่ามากกว่าเงินแค่80ล้านปอนด์ที่จ่ายไปซะอีกนั้น มันคือความหนักหน่วงของภาระที่เขาแบกเอาไว้บนสองบ่า ที่ตั้งอยู่บนหมายเลข5 อันเป็นของตำนานกองหลังแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

เหมือนที่ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานกองหลังและโรลโมเดลรุ่นพี่ทีมชาติอังกฤษของแมกไกวร์ที่ได้เคยใส่เอาไว้นั่นเอง

..แล้วแมกไกวร์แบกอะไรเอาไว้บ้าง?

1.แบกความมั่นคงของเกมรับ

อย่างแรกสุดเลยก็แน่นอนล่ะ หมอนี่เป็นกองหลัง เราซื้อมาก็ต้องหวังเกมรับของเขาอยู่แล้ว ซึ่งแนวรับยูไนเต็ดนับตั้งแต่เซอร์อเล็กซ์วางมือไป เราก็ยังไม่สามารถหาตัวหลักที่แน่นอน และดีพอจะไว้วางใจให้ยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็คถาวรของทีมได้เลย ไม่ว่าจะเป็นโจนส์, บลินด์, โรโฮ หรือแม้กระทั่งคนที่ใกล้เคียงที่สุดอย่าง คริส สมอลลิ่งเอง ก็ยังไม่สามารถฝากผีฝากไข้เอาไว้ได้ในระยะยาว เพราะฟอร์มที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ตลอดเวลา บางทีก็ดีเป็นช่วงๆ คู่CBของทีมถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ และถ้าให้ตอบว่าใครเป็นกองหลังแมนยูตัวหลักในช่วงที่ผ่านมา ก็อาจจะมีเพียงคริส สมอลลิ่งเพียงคนเดียวจริงๆที่ตอบในข้อนี้ได้

แต่สมอลลิ่งก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการยืนเป็นกองหลังตัวหลักของแมนยูไนเต็ดได้อยู่ดี

เกมแล้วเกมเล่าที่เราต้องลุ้นกับฟอร์มการเล่นของเซ็นเตอร์ในทีม เราต้องมาลุ้นกันว่าโจนส์ที่ฟอร์มดีสุดๆนัดสองนัด ไม่รู้ว่าจะเจ็บไปอีกวันไหน หรือสมอลลิ่งที่บางทีก็โดนเผาเครื่องเละเทะเช่นกัน และไม่สามารถเอาตัวรอดจากการโดนเพรสซิ่งสูงได้เวลาเจอทีมที่เหนือชั้นกว่ามากๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของเกมสมัยใหม่ที่นำเอาการเพรสซิ่งมาใช้ในแทคติกค่อนข้างเยอะ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอทีมแบบนั้น เขาก็มักจะเล่นลำบากเสมอ

แฮรี่ แมกไกวร์ ที่มีคุณสมบัติเป็นกองหลังประเภทBall-Playing Defenderนั้น ถูกพิจารณามาเพื่อที่จะเล่นเกมรับในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งจะดีกว่าสมอลลิ่งที่เป็นกองหลังดักทางแบบเก่าในสไตล์ช่วงยุค2000sต้นๆ

ความมั่นคงของเกมรับที่เราอยากได้จากแมกไกวร์นั้นมีอะไรบ้าง ที่เห็นก็สามอย่างชัดๆ นั่นก็คือ

"ลูกกลางอากาศ" ที่หากใครจำได้ แมนยูมักจะเจอปัญหาเสมอเวลาโดนลูกบอมป์เข้าใส่ ซึ่งทั้งๆที่สมอลลิ่งเองเป็นตัวที่มีสกิลลูกกลางอากาศดีระดับต้นๆของโลกเช่นกัน ก็ยังไม่สามารถเอาอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเราเลือกที่จะเปลี่ยนตำแหน่งกองหลังมาเป็นแมกไกวร์แทน เขาจะสามารถป้องกันลูกโด่งให้ทีมได้

"การขึ้นเกมจากแดนหลัง" ซึ่งก็ตามที่บอกไว้ แมกไกวร์เป็นกองหลังสายดักทางที่เล่นกับบอล คอนโทรลบอลได้ดี มีสกิลจ่ายบอลที่ใกล้เคียงมิดฟิลด์ และสามารถพาบอลขึ้นหน้าเองได้อีกด้วย เหมือนที่เขาเป็นกองหลังตัวซ้ายในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งในโลกยุคที่ทุกทีมเพรสซิ่งกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งนอริชเมื่อวันก่อนก็เพรสยันโรเมโร่นั้น  สกิลของแมกไกวร์จำเป็นมากๆในการแกะเพรสและตั้งเกมจากแนวหลังของทีมได้

"การควบคุมไลน์ป้องกัน" ข้อนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับกองหลังที่อย่างน้อยจะต้องมีคนนึงที่เป็นเหมือนคอนดักเตอร์คอนโทรลแผงกองหลังทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกไลน์ล้ำหน้า การดันเกมต่างๆ แมกไกวร์นั้นเป็นอีกคนที่มักจะสั่งการแนวรับในสนามเสมอๆ

2.แบกออฟชั่นในเกมรุก

แน่นอนเกมวันก่อนเราได้เห็นกันแล้วว่า เขาคือออฟชั่นเกมรุกที่สุดยอดมากอีกอันนึงของเรา ถือเป็นอาวุธ(ไม่ลับ)ที่งัดมาเล่นงานคู่ต่อสู้ได้เป็นประจำเวลาที่อาวุธหลักๆอย่างพวก แรช หมาก บรูโน่ พวกนี้ยิงกันจนเมื่อยตีนแล้วยังเจาะไม่เข้า เกมบุกทางเลือกที่ใช้งานแมกไกวร์ได้ก็อย่างที่หลายคนเห็นในเกมนอริชเลย

การเติมสูงในจังหวะลูกเซ็ตพีซที่เป็นฟรีคิกหรือเตะมุม แมกไกวร์จะเติมขึ้นมาหาจังหวะโหม่งได้ตลอด และเป็นเหมือนเป้าในการเปิดบอลของเพื่อนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการไปรอโหม่งตั้งจากเสาไกล หรือการจะเทคตัวโขกเพื่อเอาประตูในจังหวะเดียวก็ตามที การทำประตูจากลูกกลางอากาศของแมกไกวร์นั้นทำให้เราได้เห็นหลายครั้งแล้ว

นอกจากนี้อีกอย่างนึงที่สำคัญก็คือ แมกไกวร์ยังสามารถใช้ไปค้ำในกรอบเขตโทษได้เลยยามคับขันที่ต้องเล่นเสี่ยงเพื่อจะเอาประตูให้ได้ ด้วยรูปร่างใหญ่ที่สามารถไปยืนเป็นกองหน้าตัวพิเศษ ที่ทำหน้าที่กึ่งๆเป็นตัวเป้าTarget Man ใหญ่ๆที่รอรับบอล หรือโขกทำประตูด้วยตัวเอง ก็สามารถใช้เขาไปยืนในหน้าที่นี้ได้สบายๆ โดยที่แดนหลังก็อาจจะทิ้งตัวที่มีสปีดไวๆเอาไว้ เพื่อที่จะได้วิ่งไล่ตามคู่แข่งได้ทันเวลาโดนสวน 

รูปแบบการใช้แมกไกวร์เป็นกองหน้าตัวละครลับก็ได้ผลลัพธ์ชัดๆไปแล้วนั่นไง

3.แบกภาวะผู้นำในการนำน้องๆในทีม

ข้อนี้สำคัญจริงๆที่ทีมจะต้องมีนักเตะที่มีประสบการณ์อยู่ด้วย เพื่อที่จะเป็นแกนหลักในการดูแลและนำน้องๆให้ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องได้ เพราะหากจะสร้างทีมที่มีแต่เด็ก บางครั้งมันจะเจอสถานการณ์ที่วัยรุ่นพวกนี้ไม่เคยเจอมาก่อน และอาจจะรับมือได้ไม่ดีเท่าตัวเก๋าๆที่เล่นมานานแล้ว ซึ่งแมกไกวร์ในวัย27ปีนั้น สำหรับกองหลังก็ถือว่ามีประสบการณ์มากเพียงพอแล้ว

แถม"เข้าช่วงพีค"พอดีด้วย

ซึ่งนอกจากการเป็นตัวเก๋านำน้องแล้วนั้น สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "ภาวะผู้นำ" ที่สูงลิบลิ่วของแมกไกวร์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการที่จะนำพาเพื่อนร่วมทีมไปสู่จุดหมายที่วางไว้ได้

สืบเนื่องจากตลอดช่วงระยะหลังที่ผ่านมา แมนยูไนเต็ดนั้นขาดนักเตะสายพันธุ์ที่จะมาเป็น "ลูกพี่" ของทีมมานานพอสมควร ไม่มีใครเลยที่จะมีบุคลิกเป็นผู้นำ และเป็นเหมือนหัวโจกที่จะคอยต่อสู้ และออกหน้าแทนเพื่อนๆในทีม ไม่มีใครที่เก๋าและมีลักษณะแบบนี้มากพอเลย

ในทีมที่ไม่มีผู้นำทีม ไม่มีลูกพี่ มันก็จะ"ยุบ"ได้ง่ายเวลาที่เจอเล่นงานหนักๆทั้งจากคู่ต่อสู้ หรือเวลาโดนสถานการณ์บีบคั้น เพราะมีแต่ตัวหงอๆไม่มีใครกล้าสู้กล้างัดเลยสักคน เวลาเป๋มันเลยเป๋หนักนั่นแหละ

นอกจากนี้แมนยูยังเหมือนเป็นมะเร็งในจุดนี้มานานด้วยซ้ำ เมื่อ"ซีเนียร์"ในทีมหลายๆคนในยุคที่ผ่านมานั้น ไม่สามารถที่จะมาเป็นผู้นำที่น้องๆเคารพหรือฝากฝังความหวังได้เลย เมื่อนักเตะอายุมากในทีมก็มีแต่อย่างลินการ์ดที่เป็นตัวอย่างรุ่นพี่แย่ๆ, โจนส์ สมอลลิ่ง ที่ไม่มีปากมีเสียงอะไรเลย, กระทั่งแอชลีย์ ยัง ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นผู้นำอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ และด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ ก็ไม่สามารถเป็นยืนหลักให้ทีมได้เหมือนกัน

ปัญหาที่เรื้อรังมานานของเรานี้ จบลงทันทีเมื่อฤดูกาล2019/20 เริ่มขึ้น เมื่อแมกไกวร์ที่เพิ่งซื้อมาและได้ลงสนามเพียงแค่นัดสองนัด เขาก็ได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมอันทรงเกียรติของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทันที  ทั้งๆที่ยังมีนักเตะ"ซีเนียร์" คนอื่นๆในทีมที่เล่นอยู่กับสโมสรมานานมากๆยังอยู่เต็มไปหมดด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเดเคอาเองก็ตามที่อยู่มาใกล้จะ10ปีแล้ว

การที่เขาได้ปลอกแขนทันทีเลยอย่างไม่น่าเชื่อทำให้แฟนบอลรู้ได้ทันทีว่า ภาวะผู้นำของแมกไกวร์นั้น "เป็นของจริง"

4.แบกความหวังแฟนผีทั้งโลกในการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

เมื่อเจอข้อนี้ เทียบกับบรรดา3ข้อที่ผ่านมานั้น ดูจะเล็กน้อยและเป็นแค่เรื่องในเชิงกายภาพของฟุตบอลไปทันที เมื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งที่สุดเท่าที่บ่าอันผึ่งผายไหล่กว้างของเขาจะต้องรับไว้นั้น นั่นก็คือความหวังของแฟนผีเราที่จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่อีกครั้งโดยการกลับมาแข็งแกร่งและคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ให้ได้ โดยเฉพาะแชมป์ลีกที่แฟนผียุคนี้ต้องรอกันมานานมากๆถึง7ปี

ซึ่งมันเป็นความคาดหวังที่ค่อนข้างหนักหน่วงทีเดียว เพราะมันคือเป้าหมายสูงสุดแล้ว

เมื่อแฟนบอลเราต้องการที่จะกลับมาใหญ่และไม่อยากถูกใครกดไว้ใต้เท้านั้น เราจึงคาดหวังกับตัวที่แพงที่สุดที่เราซื้อมาซีซั่นนี้กว่าปกติ มากกว่าบิสซาก้าที่ค่าตัวยังไม่ได้ถึงกับแพงมากนัก

และดีไม่ดี"80ล้าน" อาจจะโดนกดดันเรื่องฟอร์มมากกว่าทาง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่มาตอนตลาดมกราคมด้วยที่ค่าตัวถูกกว่าแมกไกวร์เกือบครึ่ง

ซึ่งเมื่อแฟนผีบางส่วน "มองแมกไกวร์ที่ค่าตัว" แล้วนั้น พอเขาก่อความผิดพลาดอะไรขึ้นมา จึงมักจะถูกจับตาเกินกว่าที่ควรทั้งๆที่นักเตะทุกคนมันก็พลาดกันได้

ส่วนหนึ่งคือเรื่องของการเล่นตำแหน่งกองหลัง เป็นตำแหน่งที่ทำดีเสมอตัว ทำพลาดรอโดนเหยียบอย่างเดียวอยู่แล้วอย่างที่ทราบกัน ต่อให้สกัดบอลจังหวะสำคัญๆยังไง มันก็ยังไม่เด่นเท่าคนทำประตูอยู่ดี(อันนี้เรื่องจริง) แต่เมื่อไหร่ที่พลาดโดนเจาะให้เห็นขึ้นมาละมึงเอ๊ย เด่นกว่าคนทำประตูซะอีก!(ฮา)


เอาจริงๆย้อนกลับไปตอนต้นอีกครั้ง ขอย้ำซ้ำว่า การเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก ไม่ได้หมายความว่า เขาจำเป็นที่จะต้องเล่นเก่งที่สุดในโลกเหมือนที่หลายคนหวังกับเขาไว้เช่นนั้น

แมกไกวร์ไม่ได้เก่งที่สุดในโลก และอาจจะไม่ได้เก่งที่สุดในเกาะอังกฤษด้วยซ้ำ ข้อนี้ทุกคนควรที่จะยอมรับและมองเขาในแบบนี้ก่อน  เพราะหากมองเช่นนี้ เราจะเข้าใจได้ว่า นักเตะก็เป็นแค่คนๆนึงที่อาจจะสร้างความผิดพลาดขึ้นมาได้

แถมเป็นตำแหน่งกองหลังแล้ว ยิ่งหนักเป็นเท่าตัวเมื่อคูณมันเข้ากับค่าตัวแสนแพง เหมือนโดนยกกำลังสองอัตโนมัติ

แมกไกวร์นั้นมีจุดอ่อนให้เห็นมากมายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความคล่องตัวหรือสปีดต้นที่ช้า ตามสภาพการเป็นกองหลังตัวใหญ่ๆมันก็จะออกตัวช้าหน่อย เมื่อเวลาที่เจอนักเตะที่มีความเร็วสูง และไปกับบอลได้คล่องๆและจี๊ดจ๊าด ก็อาจจะโดนเผาเครื่องและหลุดไปได้ง่ายๆ เหมือนเกมรีสตาร์ทนัดแรกที่เขาโดนเบิร์กไวจ์น เล่นงานจนหลุดไปยิงประตูโล่งๆนั่นเอง

นอกจากนี้แมกไกวร์ยังมีปัญหาเรื่องของการเข้าบอลด้วยที่บางครั้งก็มีเข้าบอลพลาดให้เห็นบ่อยๆยามที่ต้องเป็นstopperจำเป็น เข้าบอลจังหวะแรกให้เพื่อน ซึ่งไม่ใช่สิ่งถนัดสำหรับกองหลังสาย "ดักทาง" ที่ถนัดในการอ่านเกมและคอยรองบอลให้เพื่อนมากกว่าอย่างเขา

ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นกองหลังที่มีจุดอ่อน และอาจจะมีเล่นพลาดได้ ก็อยากให้แฟนผีทุกคนเข้าใจส่วนตรงนี้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะงั้นเวลาที่กองหลังพลาดขึ้นมาเช่นนี้ก็อย่าเพิ่งโจมตีกันให้จมดินซะขนาดนั้น เหมือนที่แฟนเราบางคนพยายามจะเรียกเขาให้เป็น "แมกกรวย" ให้ได้ เพียงเพราะความผิดพลาดจังหวะนั้นลูกเดียว

ถึงฮีจะโดนเลี้ยงผ่านเป็นกรวยไปจริงๆก็เถอะ แต่แฟนบอลควรจะมองอย่างเข้าใจ และก็ให้เกียรติให้กำลังใจนักเตะของเราบ้าง อย่าพยายามสร้างสังคมแห่งการด่าสาดเสียเทเสียกันอย่างเดียว  ถ้ามันฟอร์มแย่หนักๆแบบกลางรุกในทีมเราบางคนขนาดนั้นค่อยด่าตามเนื้อผ้า ก็ว่าไปอย่าง

แต่นอกจากจังหวะนั้นแล้วแมกไกวร์ช่วยทีมเอาไว้นับไม่ถ้วน

ซึ่งกับการที่เขาเข้ามาแล้วเป็น"กองหลังตัวยืน"ที่จำเป็นต้องลงสนามทุกเกมในซีซั่นนี้ เพื่อที่จะประคองทีมให้แข็งแกร่งและไม่เสียทรงการเล่นมากจนเกินไป  ลงสนามอาทิตย์นึง2-3นัด เสาร์อาทิตย์ กลางสัปดาห์ เสาร์อาทิตย์ เช่นนี้มาตลอดซีซั่นโดยไม่มีโอกาสได้พักจากการโรเตชั่นเหมือนนักเตะคนอื่นๆเลย แต่ต้องเล่นเต็ม90นาทีทุกเกมโดยไม่มีโอกาสได้หยุดฟื้นฟูร่างกาย

การช่วยทีมลงทุกนัดเต็ม90นาทีไม่ได้พัก การทำให้ฟอร์มการเล่นของเราคงเส้นคงวาตลอดซีซั่น ทำให้เรายังอยู่ในพื้นที่การลุ้นแชมป์บอลถ้วยสำคัญสองรายการ และโอกาสในการคว้าโควตาไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก พูดจริงๆว่าคุ้มเกินราคา80ล้านปอนด์ไปนานแล้ว

ภาระหนักหนาทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ชายคนนี้แบกมันเอาไว้บนแผ่นหลังหมายเลข5ที่เห็นแล้วอุ่นใจทุกครั้ง ถ้าในอดีตเรามีโกลในตำนานอย่าง แฮรี่ เกร็กก์ ผู้ซึ่งเป็นฮีโร่ปกป้องผู้คน ช่วยชีวิตคนออกมาจากซากเครื่องบินที่มิวนิคแล้วละก็ ในยุคปัจจุบันนี้ก็มีแฮรี่อีกคนหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และเขาก็พร้อมที่จะปกป้องสโมสรเรา เหมือนที่ปู่เกร็กก์เคยทำอย่างแน่นอน

Harry Maguire "กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด"

-ศาลาผี-

Reference

https://utdreport.co.uk/2020/06/27/solskjaer-and-maguire-react-to-late-norwich-win21/?amp=1

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด