:::     :::

"น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือผู้กุมหัวใจลูกทีม

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
2,453
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เฮดโค้ชแต่ละคนล้วนมีสไตล์และปรัชญาการคุมทีมที่แตกต่างกันออกไป ว่ากันว่าหากต้องการเค้นประสิทธิภาพของผู้เล่นออกมาให้มากที่สุด เรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือโค้ชและนักเตะต้องเป็นน้ำหนึ่งในเดียวกัน และโค้ชที่ดีนั้นบางครั้งการใส่ใจความสัมพันธ์แค่ในสนามอาจยังไม่เพียงพอ นอกสนามก็ต้องเอาชนะใจลูกทีมให้ได้เช่นกัน ผมกำลังกล่าวถึง "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม โค้ชที่ถูกกล่าวขานว่ามีวิธีการซ้อมที่เน้นความฟิตต้องมาก่อน เมนหลักคือการสั่งให้นักเตะวิ่งจนแทบอ้วก เขาคือกุนซือชุดยู19 ปีในตำนานที่ปัจจุบันแข้งเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ในไทยลีก และนักเตะเหล่านี้ก็ยังคงไม่ลืมความประทับใจในการร่วมงานกับกุนซือผู้นี้

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานสวดอภิธรรมและพิธีฌาปนกิจ อภินันท์ แก้วปีลา อดีตแข้งดังของ สมุทรสงคราม เอฟซี และ ทีโอที เอสซี ซึ่งผมได้เห็นธารน้ำใจของอดีตเพื่อนร่วมทีม และญาติสนิทมิตรสหาย รวมถึงแฟนบอล "ปลาทูคะนอง" จำนวนมากที่เดินทางจากทั่วทุกสารทิศมาอำลา "กัปตันนันท์" เป็นครั้งสุดท้าย ณ วัดผาสุกมณีจักร เมืองทองธานี จนพื้นที่ในวัดแน่นขนัด


แต่หนึ่งในคนที่สร้างความประทับใจให้ผมมากที่สุดนั่นคือ "น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือทีม หนองบัว พิชญ เอฟซี ในศึกไทยลีก 2 ซึ่งเคยเป็นอดีตเจ้านายเก่าของ อภินันท์ สมัยคุมทีม สมุทรสงคราม เหตุเพราะ "น้าฉ่วย" ในวัย 66 ปี ขับรถคนเดียวจาก จ.หนองบัวลำภู มาร่วมงานใช้เวลาเดินทางร่วม 10 ชม. (จากคำบอกเล่าของน้าฉ่วย) และรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพงานสวดวันสุดท้าย รวมถึงหาห้องพักเองเพื่ออยู่ร่วมงานฌาปนกิจในวันถัดมา ซึ่ง "น้าฉ่วย" ขึ้นไปมอบผ้าบังสุกุล บนเมรุ เป็นการสั่งลาอดีตลูกทีมที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ก่อนจะขับรถอีกเที่ยวเพื่อเดินทางกลับหนองบัวฯ

ผมได้เข้าไปทักทายพูดคุยกับ "น้าฉ่วย" ทั้งสองวัน "น้าฉ่วย" เล่าให้ผมฟังว่า อภินันท์ นั้นเป็นเด็กที่มีความผูกพันกับน้ามาก ตั้งแต่ที่ยืมจาก ม.กรุงเทพ มาเล่นในไทยลีก2 ในปีแรก (2550) ที่แกคุม สมุทรสงคราม จนช่วยกันพาทีมขึ้นชั้นสู่ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก จนถึงปี 2557 และหลังจาก อภินันท์ แขวนสตั๊ดไปทำงานเป็นโค้ชบางบัวทอง อคาเดมี่ แกก็ยังโทรคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันเรื่อยมา จนมาทราบว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องเข้าพักรักษาตัวที่ รพ.ปทุมธานี แกก็ตั้งใจจะเดินทางมาเยี่ยม แต่กลับได้รับข่าวร้ายว่า อภินันท์ ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น


น้าฉ่วยบอกผมว่ารู้สึกซาบซึ้งใจที่เห็นหลายๆ คนเดินทางไกลมาร่วมงานของนันท์ และแอบน้อยใจบางคนที่หายหน้าหายตาไปทั้งที่พิธีสวดจนวันฌาปนกิจรวม 5 วันแต่กลับเจียดเวลามาไม่ได้ ส่วนในวันฌาปนกิจ หลังจากที่น้าขึ้นไปมอบผ้าบังสุกุล และผมขึ้นไปวางดอกไม้จันเสร็จแล้ว ผมเข้าไปทักน้า ภาพที่ผมเห็นคือแววตาของน้ามีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ขณะยืนพูดคุยกับ "อ.บัง" อาคม สมุทรโคจร ผอ.ศูนย์กีฬาม.กรุงเทพ และ ทรงวุฒิ บัวเพชร อดีตกัปตันทีม "ปลาทูคะนอง" ทำให้ผมรู้สึกรับรู้ได้ว่าผู้ใหญ่คนนี้อาลัยรักและจริงใจกับ อภินันท์เป็นอย่างมาก 

หลังจากวันงานผมได้โทรคุยกับ "น้าฉ่วย" รวมถึงอดีตลูกทีมของแกอีกหลายๆ คน สมัยที่เคยร่วมงานกันทีมชาติไทยชุดยู-19 ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "น้าฉ่วย" เป็นคนที่น่านับถือไม่เพียงในฐานะโค้ชกับลูกทีมเท่านั้น แต่ยังคอยดูแลเกื้อหนุนกับทุกๆ คนตลอดมา วันนี้ผมจึงขอรวบรวมเรื่องเล่าถึงความประทับใจของนักเตะบางคนในชุดนั้นที่มีต่อ "น้าฉ่วย" ให้ได้อ่านกัน


ปกรณ์ เปรมภักดิ์ 

"ยู19 ชุดนั้นผมไปคัดตัวตั้งแต่รอบแรกเลยครับ ตอนนั้นผมอยู่ทีมตำรวจ มีผมกับ "จุ๊บ" ภิญโญ อินพินิจ ที่มาจากตำรวจ คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากบางกอก เอฟซี บ้าง หลายๆ คนก็ยังเล่นทีมโรงเรียนอยู่เลย อย่าง เจ ชนาธิป สรงกระสินธิ์ ตอนนั้นเพิ่งพา พณิชยการราชดําเนิน คว้าแชมป์บอลนักเรียนถ้วย ก แต่เจ ไปติดทีมนักเรียนไทย ตอนชิงแชมป์อาเซียนกับที่ไปแข่งแม่โขง คัพ ยังไม่ติด น้าแกก็พยายามไปขอจากเทโรมาจนได้มาเล่นตอนชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือกที่ไทยเลย 

ชุดนั้นต่างคนต่างที่มาครับ หลายๆ คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เวลาคัดตัวเก็บตัวฝึกซ้อมน้อยมากๆ แค่ 10 กว่าวันเท่านั้น น้าแกสั่งให้ซ้อมหนักมาก ให้วิ่งและลงทีมทุกวัน ขนาดวันแข่งจริงแกยังให้วิ่งในตอนเช้าเลย แต่พวกผมในวัยนั้นยังไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยหรอกครับ ชุดนั้นผมเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าเล่นมาตลอดจนถึงรอบสุดท้ายที่ยูเออี ผมคิดว่าถ้าน้าได้คุมต่อจนรอบสุดท้ายนะ (รอบสุดท้ายสมาคมฯเปลี่ยน อ.อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ เข้ามาคุมทีมแทน "น้าฉ่วย" ทั้งที่รอบคัดเลือกทีมยู-19ไทยทำผลงานคว้าแชมป์กลุ่มด้วยการชนะ เกาหลีใต้ 1-0, ชนะไต้หวัน 1-0, ชนะกวม 13-0, เสมอญี่ปุ่น 0-0) เราอาจจะได้ไปบอลโลกแล้วก็ได้ เพราะทีมกำลังต่อเนื่องด้วย 

สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจต่อน้าฉ่วย ก็คงเป็นความมุ่งมั่นทุ่มเทของแกครับ และแกไม่เคยทอดทิ้งลูกทีม ยังคอยช่วยเหลือตลอด อย่างบอล (ธนากร สายปัญญา กัปตันทีมยู-19 ชุดนั้น) น่าจะเป็นคนที่น้าแกพยายามช่วยสุดๆ แล้ว น่าเสียดายที่บอลมันเจ็บบ่อยจนกลับมาไม่ได้ ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วผมก็ไม่แน่ใจครับ และอาจจะใช้คำว่าน้าฉ่วยคือคนออกสูติบัตรให้ผมและคนอื่นๆ ได้มีโอกาสในครั้งนั้นก็ว่าได้ จนพวกเราเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นในเวลาต่อมาครับ"


วัชระ บัวทอง

"ทีมชาติไทยยู-19 ปีนั้นเป็นปีแรกเลยที่เขาเปลี่ยนระบบมาใช้เด็ก 19 ปีในการชิงแชมป์เอเชีย ก่อนหน้านั้นเขาจะใช้ 20 ปีมาตลอด ทำให้ชุดนั้นไม่มีตัวให้ใช้ แกมีเวลาแค่ 10 วันก่อนไปชิงแชมป์อาเซียนในการทั้งคัดผู้เล่นและเก็บตัวฝึกซ้อม ต้องเรียกนักเตะจากทั่วประเทศที่เกิดหลังปี 2536 มาคัดหลายร้อยคน วิธีซ้อมของแกก็คือให้วิ่งอย่างเดียวเลย พอตอนเย็นก็ลงทีม เป็นแบบนี้ทุกวัน

นักเตะชุดนั้นที่แกเลือกมาหลายๆ คนยังโนเนมมากๆ คนที่เล่นอยู่ในลีกแล้วติดน่าจะมีแค่ นิว ฐิติพันธ์ (พ่วงจันทร์) ที่เมืองทองฯ ปล่อยไปให้ สุพรรณบุรี ยืม ที่เหลือยังไม่เคยเล่นไทยลีกสักคน แต่หลังจากชิงแชมป์เอเชียที่ยูเออี ก็ถือเป็นการแจ้งเกิดของพวกเราเลย หลายๆ คนมีทีมใหญ่มาติดต่อไปเล่น ตอนนี้ก็อยู่ในไทยลีกกันแทบทั้งนั้น

ผมเคยแต่งเพลงให้แกด้วย เพราะวิธีการซ้อมของแกอาจจะไม่เหมือนใคร อาจจะมีคนวิจารณ์แกเยอะ แต่น้าพิสูจน์ได้ด้วยผลงาน นักเตะยู-19 ชุดนั้นหลายๆ คนหลังจากที่แยกย้ายกันไปหลังจบทัวร์นาเม้นท์ น้าก็ยังคอยช่วยเหลือ คอยติดต่อแนะนำหาทีมให้ น้าแกเป็นคนที่รักเด็กที่แกร่วมงานด้วยทุกคน อย่างพี่ อภินันท์ แกก็คงจะรู้สึกผูกพันมากเพราะร่วมงานกันมานาน

เวลาแกด่าพวกเรา อารมณ์แกด่าแบบประมาณน้าค่อมน่ะพี่ คือด่าหยาบแต่รู้สึกว่าไม่หยาบ สำหรับผม น้าเหมือนเป็นลุงข้างบ้านมากกว่าเป็นโค้ชอีกนะ คือเหมือนคนที่เราสามารถเข้าไปพูดคุยได้อยู่เสมอ และแกก็พูดกับทุกคนตรงๆ ผมเชื่อว่านักบอลที่เคยอยู่กับแก ถึงแกจะซ้อมให้วิ่งหนักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครโกรธเกลียดแกแน่นอนครับ


อดิศร พรหมรักษ์

"ตอนนั้นผมเรียนอยู่สวนกุหลาบอยู่เลยครับ ยังไม่มีทีมเล่นเลย ผมมาคัดตัวตั้งแต่แรก สมัยนั้นผมก็เล่นทั้งกลางรับ, แบ็คขวา, เซนเตอร์ แต่น้าฉ่วยจับผมมายืนเซนเตอร์คู่กับบอล ธนากร (สายปัญญา) แล้วก็ลงตัวครับ ผมน่าจะเป็นคนที่ถูกน้าแกด่าบ่อยที่สุดแล้ว มีแมตช์นึงที่ผมลากขึ้นมายิงไกลครึ่งสนามแล้วแกโมโหขว้างหมวกลงพื้น แต่เวลาแกด่าก็ไม่ได้ด่าด้วยอารมณ์หรือความเกลียดชังเลยครับ ทุกคนรู้ว่าแกด่าเพราะอยากให้เราทำตามคำสั่งเพื่อให้ผลงานออกมาดีอย่างที่แกต้องการ

ถ้าน้าไม่เรียกผมติดทีมชาติชุดนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตนักเตะของผมจะมาเป็นอย่างทุกวันนี้ จะได้เล่นไทยลีก จะได้ติดทีมชาติหรือเปล่า เพราะรุ่นนั้นจริงๆ แล้วกองหลังมีเก่งๆ หลายคน แต่แกก็ยังไว้ใจผม หลังจากเล่นชุดนั้น เวลาเจอกัน ผมก็เข้าไปสวัสดีทักทายแกตลอดครับ น้าแกก็ชอบมาหยอกว่าไปอยู่ด้วยกันมั้ยกูให้เงินเดือนมึง 20,000 แล้วก็หัวเราะใหญ่เลย

ผมจำได้ว่าช่วงนั้นเรามีซ้อมลงทีมทุกวัน ตระเวนไปทั่วเลย เราต้องไปเยือนทุกทีม แล้วมีอยู่แมตช์นึงอุ่นเครื่องรู้สึกว่าจะลงทีมกับอยุธยา พอซ้อมเสร็จมันก็มืดแล้ว น้าฉ่วยแกขับรถพาผมกับเพื่อนอีกคนกลับบ้านเก่าผมที่วิภาวดีตรงอาร์มี่น่ะครับ แล้วตอนอยู่บนทางด่วนแกทำท่าเคลิ้มๆ มีสับปะหงก ผมกับเพื่อนก็จะคอยเรียกแกตลอดทางเลยครับกลัวแกหลับ พวกเราขอบคุณแกมากๆ ที่เอาใจใส่พวกเราไม่ใช่แค่ในสนาม นอกสนามแกก็เอาใจใส่พวกเรามาตลอดเหมือนกัน แกน่ารักมากครับ"


นิติพงษ์ เสลานนท์

"สมัยนั้นผมเรียนอยู่ที่ชลชาย (โรงเรียนชลราษฎรอำรุง) เป็นอคาเดมี่ของทีมชลบุรีครับ ตอนที่เดินทางมาคัดตัว เขาให้เลือกว่าจะไปคัดทีมนักเรียนไทยหรือทีมชาติไทย ผมก็เลือกมาคัดทีมชาติมีคนมาคัดเยอะมากครับเกือบพันคนได้มั้งจากทั่วประเทศเลย แล้วเวลาคัดตัวมันสั้นมากประมาณแค่ 10 วันเท่านั้นก่อนชิงแชมป์อาเซียน แต่ละวันเขาก็จะแบ่งเป็นกลุ่มเข้าฐานต่างๆ การซ้อมก็คือให้วิ่งอย่างเดียวเลย แล้วก็มีลงทีมทุกวันครับ สนามซ้อมเปลี่ยนไปเรื่อยเลยครับ มีทั้งที่สนามกกท.1, สนามที่ท่าเรือที่อยูด้านนอก, หนองจอก บ้าง มีนบุรี บ้าง แต่ละวันไม่มีใครรู้ว่าจะต้องไปสนามไหน แต่ที่ซ้อมบ่อยสุดก็คือที่ รพ.สิรินธร จริงๆ ตอนแรกๆ ผมจะไม่มาแล้วเพราะคิดว่าเราคงไม่ติดหรอก เพราะเรายังไม่เคยเล่นให้ทีมในลีกไหนมาก่อนเลย  แต่ผมก็มาคัดตัวผ่านมาเรื่อยๆ ในแต่ละรอบจนประกาศชื่อครั้งสุดท้ายมีชื่อเราติดผมดีใจมากครับ 

ช่วงนั้นผมอยู่ชลบุรี ก็จะนั่งรถสองแถวไปต่อรถตู้ ตั้งแต่ตี5ครึ่งเป็นคิวแรกของวินเลย เพื่อเดินทางมาคัดตัวทุกวัน จะมีช่วงหลังๆ ที่ผมไปพักอยู่บ้านของเติร์ก (สุรวิช โลกาวิทย์) คือเติร์กเขาเรียนอยู่อัสสัมชัญ ศรีราชา อยู่ชลบุรี เหมือนกันแล้วไปคัดตัวด้วยกัน ก็จะอาศัยนั่งรถของพ่อเติร์กไปกลับด้วยครับ แต่ชุดนั้น เติร์ก ไปหลุดรอบ 36 คน คือทีมชาติเขาจะนัดซ้อมประมาณ 8 โมง ผมก็จะมาถึงเตรียมตัวก่อนซักชั่วโมงนึงหรือครึ่งชั่วโมง มาถึงก็โดนสั่งให้วิ่งเลยครับ วิ่งเช้าวิ่งเย็นทุกวัน ถามว่าเหนื่อยมั้ยมันก็ไม่ค่อยเหนื่อยนะพี่ เพราะวัยนั้นมันไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย ผมมองว่าวิธีของแกก็ดีเหมือนกันนะสำหรับเด็กในวัยนั้น เพราะพวกเราต่างคนต่างมา ต่างอยากโชว์อยากได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองกันทั้งนั้น แกก็ทำให้พวกเราอยู่รวมตัวกันได้ และนักเตะชุดนั้นก็สนิทกันมาจนถึงทุกวันนี้

ตอนนั้นส่วนใหญ่ผมจะเล่นเป็นปีกขวาครับ มีสลับลงไปเล่นแบ็กขวาบ้าง แต่แบ็กขวาชุดนั้นมี ต้น นฤบดินทร์ (วีรวัฒโนดม) เป็นตัวหลัก ถือว่าชุดนั้นแข็งแกร่งมากๆ นะครับ ตอนชิงแชมป์อาเซียนเราได้แชมป์ พอชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกเราก็ได้แชมป์กลุ่มอีก แต่พอไปรอบสุดท้ายที่ยูเออีน้าฉ่วยแกไม่ได้คุมทีมต่อ มันก็เลยขาดความต่อเนื่องไป ผมว่าถ้าเราเตรียมทีมต่อเนื่องน่าจะมีลุ้นได้มากกว่านี้

หลังจากทีมชาติชุดนั้น น้าฉ่วยแกก็พยายามหาทีมให้ผมเล่นนะ ก่อนจะมาคุมยู-19 น้าแกคุมจันทบุรีอยู่ ผมถามแก แกก็บอกผมว่าอย่าเพิ่งมาเลยเพราะแกอยู่ทีมไหนไม่ค่อยนาน แล้วแกก็แนะนำให้ผมไปให้ทีม สระบุรี ยืมตัว คือถ้าไม่ได้น้าเลือกผมติดทีมยู-19 และคอยช่วยเหลือในตอนนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีผมอย่างในทุกวันนี้หรือเปล่า น้าคือคนที่ทำให้พวกเรานักเตะในชุดนั้นแจ้งเกิดจริงๆ ครับ"


ณัฐพงษ์ ขจรมาลี

"ประตูในชุดนั้นจะมี วัชระ บัวทอง เป็นมือหนึ่ง มีผมเป็นมือสอง แล้วก็ประพัฒน์ ยศไกร เป็นมือสามครับ จริงๆ รุ่นนั้นมี "ต้น" สมพร ยศ ที่เทโรเขาไม่ปล่อยมา แล้วก็ "ปั๊ม" (ทัตพิชา อักษรศรี) ที่อยู่เมืองทอง แต่ไปติดทีมนักเรียนไทย ผมก็ไปคัดตัวมาตั้งแต่รอบแรกเหมือนกันครับ มีประตูมาคัดเยอะมาก ผมเองก็ยังไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยครับ ตอนนั้นกำลังขึ้นปี1 ที่จุฬาฯ หมาดๆ เลย แต่น้าก็เลือกผมมาติดทีม ผมประทับใจที่ตอนมีชื่อติดแกเรียกชื่อเองทุกคน แล้วบอกเหตุผลทุกคนว่าเลือกมาเพราะอะไร ชุดนั้นผมไม่ได้ลงเล่นเลยครับ จริงๆ เกมที่เจอกวม ผมจะได้ลงอยู่แล้ว แต่ดันไปบาดเจ็บตอนซ้อมวอร์มก่อนแข่ง นัดนั้นรู้สึกจะเป็น แบงค์ (ประพัฒน์ ยศไกร) ที่ได้ลง 

ผมไม่แปลกใจเลยที่น้าฉ่วยแกเดินทางไปร่วมงานศพพี่อภินันท์ เพราะแกผูกพันและจริงใจกับลูกทีมมากๆ โดยเฉพาะคนที่ร่วมงานอยู่กับแกนานๆ ผมอาจจะไม่ได้มีการติดต่อกับน้ามากเหมือนคนอื่นๆ แต่ถ้ามีโอกาสเจอกันก็จะเข้าไปไหว้แกตลอดครับ 

อย่างตอนงานบวชผมที่สมุทรปราการ ผมก็เชิญแกไปร่วมงานด้วยเพราะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพ แต่ไม่ได้คาดคิดว่าแกจะมาจริงๆ ปรากฎว่าแกมาด้วยครับ โดยที่ไม่ได้บอกผมก่อนด้วยว่าจะมา เป็นเรื่องที่ประทับใจแกมากๆ เพราะแกเอาใจใส่คนที่เคยร่วมงานด้วยมากจริงๆ ครับ"


รายชื่อนักเตะทีมชาติไทย ยู-19 ชิงแชมป์เอเชีย 2011 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มอี ภายใต้การคุมทีมของ สมชาย ชวยบุญชุม

ผู้รักษาประตู : วัชระ บัวทอง, ณัฐพงษ์ ขจรมาลี, ประพัฒน์ ยศไกร

กองหลัง : อาทิตย์ วิเศษศิลป์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, อดิศร พรหมรักษ์, สุวรรณภัทร กิ่งแก้ว, ธนากร สายปัญญา (กัปตันทีม), พีรพัฒน์ โน๊ตชัยยา

กองกลาง : กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์, นิติพงษ์ เสลานนท์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, สุบรรณ เงินประเสริฐ, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ชนาธิป สรงกระสินธุ์, อดิศักดิ์ กลิ่นโกสุมภ์, ภิญโญ อินพินิจ

กองหน้า : ปกรณ์ เปรมภักดิ์, ชญาวัต ศรีนาวงษ์, จาตุรงค์ พิมพ์คูณ, ฉลองชัย โพธิ์ทอง, เอกภพ แสนสระ, นภพล ศรีประทีป



ผลงานรอบแบ่งกลุ่ม

ชนะเกาหลีใต้ 1-0 (ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์)

ชนะ ไต้หวัน 1-0 (ปกรณ์ เปรมภักดิ์)

ชนะ กวม 13-0 (ปกรณ์ เปรมภักดิ์(4), จาตุรงค์ พิมพ์คูณ(3), สุบรรณ เงินประเสริฐ(2), กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์(2), ภิญโญ อินพินิจ, ชนาธิป สรงกระสินธุ์)

เสมอ ญี่ปุ่น 0-0

สรุป ไทย ชนะ 3 เสมอ 1 ยิง 15 ไม่เสียประตู เก็บ 10 แต้ม เข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ก่อนที่รอบสุดท้ายจะมีการเปลี่ยนโค้ชเป็น อ.อาจหาญ ทรงงามทรัพย์ และทำผลงาน ชนะ จีน 2-1 แพ้ เกาหลีใต้ 1-2 และแพ้ อิรัก 0-3 ชวดไปฟุตบอลโลกยู20 อย่างน่าเสียดาย



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด