:::     :::

3 เกมสุดท้ายชี้ชะตา

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
2,870
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ดูเหมือนว่าจากที่จะได้ไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้แบบไม่ยากเย็นของพลพรรค เชลซี มันชักจะเริ่มไม่แน่ซะแล้ว

หลังความพ่ายแพ้ให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0-3 ในเกมล่าสุด แม้ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะรั้งอยู่ในอันดับ 3 ของตาราง แต่มีโอกาสที่จะเสียตำแหน่งหาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชน เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ในเกมวันจันทร์นี้

ต้องบอกว่าทีมโชคดีไม่น้อยที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ผลงานแย่ต่อเนื่อง ทำให้คะแนนไม่ได้ทิ้งห่างออกไป แถมกลายเป็นตามหลังไปแล้วด้วย

แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ของทีมก็ไม่ได้เหนือกว่าอะไรมากมายพราะมีแต้มนำ "สุนัขจิ้งจอก" อยู่เพียงแแต้มเดียวเท่านั้น

เกมที่ บรามอลล์ เลน อย่างที่รู้ว่าจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของทีมสีน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอน แม้ว่าฟอร์มในภาพรวมของทีมต้องบอกว่าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่สกอร์ออกมา


ครองบอล 76%, โอกาสยิง 15 ครั้ง, เข้ารอบ 4 หน และเตะมุมอีก 6 ครั้ง ต้องบอกว่าเหนือกว่าเจ้าบ้านทุกกระบวนท่า เพียงแต่ไม่สามารถแปรเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูเท่านั้น

แตกต่างกันฝั่ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่จากการยิงเข้ากรอบ 4 หน พวกเขาเปลี่ยนให้เป็นประตูได้ถึง 3 ลูก 

ถือเป็นเกมที่ความแตกต่างทางการครองบอลห่างกันมากที่สุด แต่ทีมที่เหนือกว่ากลับพ่ายแพ้นับตั้งแต่เกมลีกเมื่อปี 2003/04 เลย

และนั่นทำให้เกมนี้เป็นความพ่ายแพ้ยับเยินที่สุดในพรีเมียร์ลีกในยุคของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นับตั้งแต่ที่โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่ม 0-4 ในเกมเปิดสนามเลย


แน่นอนว่าจากสถิติโดยรวมของทีมทำได้ดี แต่หากเจาะลึกลงไปถึงเรื่องของฟอร์มการเล่นเป็นรายบุคคล ต้องบอกว่าแข้งแต่ละคนล้วนทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง

เริ่มจาก เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูที่มีสถิติเปอร์เซ็นต์การเซฟแย่ที่สุดในลีก และจาก 42 ประตูที่มือกาวชาวสเปนเสียไปในเกมลีกฤดูกาลนี้ ทำให้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูของ เชลซี ที่เสียประตูในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในซีซั่นเดียว มีแค่ ดิมิทรี คาริเน่ ในปี 1993/94 ที่เสีย 48 ลูกเท่านั้นที่มากกว่า

หากดูจาก 3 เกมที่เหลือกับการเจอ นอริช ซิตี้ (เหย้า), ลิเวอร์พูล (เยือน) และ วูล์ฟแฮมป์ตัน (เหย้า) อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่จะโดนเจาะตาข่ายเพิ่มมากกว่านี้ และอาจจะจารึกชื่อว่าเสียมากกว่าเพื่อน

ในตำแหน่งคู่เซนเตอร์ดูจะเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่โดนวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ดูจะไม่พอใจการปรสานงานของคู่นี้เป็นอย่างมาก


อันเดรียส คริสเตนเซ่น ทำให้เจ้านายมองว่าคิดถูกแล้วที่เลือกให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง ฟิคาโย่ โทโมรี่ (เจ็บลงเล่นไม่ได้) และยิงมาจับคู่กับ คูร์ท ซูม่า ที่ไร้ความแน่นอนก็ยิ่งพากันออกทะเล โดยเฉพาะประตูแรกที่ปฏิกิริยาแย่ยืนมอง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เซฟ ปล่อยให้ เดวิด แม็คโกลดริค พุ่งเข้าไปซ้ำง่ายๆ

นั่นยังรวมถึงประตูที่สองที่ปล่อยให้ โอลิมเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ได้ขึ้นโหม่งคนเดียวด้วย

การเปลี่ยน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ลงสนามทันทีเมื่อเมื่อครึ่งหลังเป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าปราการหลังทีมชาติเดนมาร์กคือจุดอ่อนของทีม

หากไม่มี รือดิเกอร์ ปักหลักบัญชาเกมดูเหมือนว่าเกมรับของทีมจะยืนตำแหน่งกันผิดพลาดเสมอ


ทาง รีซ เจมส์ ขยันวิ่งขึ้นลงซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาชัดๆเลยคือเรื่องของการผ่านบอลที่ต้องฝึกกันอีกเยอะ ส่วน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ถูกโยกไปเล่นทางซ้าย เอาจริงๆการเล่นทางฝั่งนี้แต่ละครั้งของกัปตันทีมชาวสเปนดูไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก 

จริงอยู่ว่าเล่นได้ทั้งสองฝั่ง แต่จะดีกว่าไหมที่จะได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัดมากกว่า เข้าใจว่าเสียดาย รีซ เจมส์ ที่กำลังห้าวและทำผลงานได้ดี แต่ก็อย่างที่เห็น มันยังดูไม่เข้าที่เข้าทาง

ยิ่งทีมเปิดเกมบุกก็ยิ่งเปิดพื้นที่ว่างมากขึ้น มันก็เลยเกิดเหตุการณ์อย่างที่เห็น

จอร์จินโญ่ ที่บัญชาเกมอย่างที่เราเห็นมาตลอด แต่เกมนี้กลับดูช้าลงไป และเมื่อทีมต้องเล่นเกมรับ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่งานถนัดของกองกลางทีมชาติอิตาลีเลย การเข้าสกัดบอลไม่หนักแม้จะอ่านเกมได้ดีแต่นั่นเป็นการเก็บบอลจังหวะสองมากกว่า


เมสัน เมาท์ ที่โดดเด่นในช่วงต้นซีซั่นเหมือนโดนใช้งานหนักจนเกินไป สุดท้ายร่างกายรับไม่ไหวกลายเป็นส่งผลต่อผลงานในสนาม การขับเคลื่อนเกมแทบไม่มีให้เห็น กลายเป็นนักเตะที่แค่วิ่งไปวิ่งมากเท่านั้น สุดท้ายลงเอยแบบเดียวกับ อันเดรียว คริสเตนเซ่น โดนเปลี่ยนตัวตั้งแต่จบครึ่งแรก

คนที่โดดเด่นที่สุดของทีมในนัดนี้หนีไม่พ้น รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่พยายามอย่างหนักในการขับเคลื่อนเกมไปข้างหน้า พยายามเดินหน้าลุยอยู่ตลอด แต่ในพื้นที่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้กับเกมที่อัดแน่นของคู่แข่ง

ในส่วนของเกมรุก ต้องบอกว่านี่คือเกมที่แย่ที่สุดของ วิลเลี่ยน นับตั้งแต่กลับมารีสตาร์ทแข่งกันอีกครั้ง และคงเป็นหนึ่งในเกมที่แย่ที่สุดในฤดูกาลนี้ของเจ้าตัวด้วย สตาร์ทีมชาติบราซิลไม่สามารถพาบอลเลี้ยงหลบคู่แข่งได้เลย รวมถึงการเปิดบอลเข้าเขตโทษก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง

เช่นเดียวกันกับ คริสเตียน พูลิซิช ที่ไม่มีการทะลุทะลวงแนวรับคู่แข่งแบบที่เราเห็นก่อนหน้านี้ แข้งความหวังที่ก้าวขึ้นมาทำได้ดีในช่วงหลังไม่มีพื้นที่ในการเล่นเลยเพราะคู่แข่งไม่เปิดพื้นที่ให้ กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้ ทีเด็ดจากจังหวะยิงไกลก็ไม่มีให้เห็น


สุดท้ายในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าเป็นอีกเกมที่น่าผิดหวังของ แทมมี่ อบราฮัม หลังก้าวขึ้นมาเป็นตัวความหวังในแดนหน้าของทีมพร้อมผลงานอันยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนว่าไปๆมาๆจนยืนระยะไม่อยู่รึเปล่า

10 เกมหลังสุดที่ลงสนาม แทมมี่ ทำได้แค่ประตูเดียว ซึ่งแม้ว่าช่วงหลังจะเล่นเป็นสำรองซะส่วนใหญ่จากปัญหาเจ็บข้อเท้าและเพิ่งกลับมา แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใด

เหล่าตัวสำรองที่ถูกส่งลงมาอย่าง อันโตนิโอ รือดิเกอร์, มาร์กอส อลอนโซ่ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ล้วนลงมาทำให้เกมดีขึ้นบ้าง (แม้ รือดิเกอร์ จะสกัดบอลให้คู่แข่งสอยเม็ดที่ 3 ก็ตาม)

แต่ด้วยสกอร์ที่ตามหลังไปแล้วสองลูกกับการถอยไปรับแน่นของคู่แข่งทำให้เกมมั่นยิ่งยากไปอีก 


หรือแม้แต่ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และ รูเบน ลอฟตัส ชีค ที่มาเสริมอีกก็ช่วยอะไรได้ยาก

คืนวันอังคารนี้จะเป็นการแก้ตัวกับการเจอ นอริช ซิตี้ ที่ตกชั้นไปแล้ว ทีมต้องการ 3 แต้มเท่านั้นไม่ต้องไปมองเกมหน้าในเอฟเอ คัพรอบรองชนะเลิศที่ต้องเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลย เอาเกมนี้ก่อน

หรือจะบอกว่าเกมที่เหลือในลีกสำคัญมากกว่าบอลถ้วย เพราะมีเดิมพันเป็นเม็ดเงินมหาศาลในศึกถ้วยใหญ่ของยุโรป

ไม่อย่างนั้นหากเกิดชวดโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกขึ้นมา สิ่งที่ทำมาตลอดทั้งฤดูกาลต้องบอกว่าพังไปเลย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด