:::     :::

ในวันที่ทุกอย่างเป็นใจ

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,276
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถือเป็นวันชื่นคืนสุขของเหล่าพลพรรคเชลซี ที่สามารถผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพได้สำเร็จ

เพราะหลังจากความพ่ายแพ้ให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 0-3 ดูเหมือนว่าอะไรมันจะดูไม่แน่ไม่นอนไปหมดทั้งการทำอันดับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงในรายการอื่นๆ

ชัยชนะเหนือ นอริช ซิตี้ ในเกมก่อนหน้านี้ก็ดูเป็นผลงานที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ถือเป็นสามคะแนนทีหืดจับทีเดียว

การเดินลงสู่สนามในเกมตัดเชือกกับการเจอทีมที่ไม่แพ้ใครมา 19 เกมติดต่อกัน ดูจะเป็นงานที่หนักหนาสาหัสทีเดียวสำหรับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด


โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอด 3 เกมในซีซั่นนี้ที่เจอกันมา "สิงห์บลูส์" แพ้รวดด้วยสกอร์ 0-4 และ 0-2 ในลีก และ 1-2 ในศึกคาราบาว คัพ

ถือเป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าสิงโตน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนต้องมีความหวั่นเกรงอยู่บ้างว่ามันจะซ้ำรอยอีกครั้ง

นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด คิดอยู่ในหัวและทำให้มีการปรับแผนการเล่นแตกต่างจาก 3 เกมก่อนหน้านี้ที่เจอกันมา

จากระบบ 4-2-3-1 และ 4-3-3 เกมนี้นายใหญ่ทัพสิงห์เปลี่ยนโหมดมาเล่นในระบบ 3 เซนตอร์แบบ 3-4-3 โดยขยับเอา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า หุบเข้าไปเล่นร่วมกับ คูร์ท ซูม่า และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ โดยมี รีซ เจมส์ กับ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่เล่นเป็นตัวริมเส้น


ตรงกลางวาง จอร์จินโญ่ กับ มาเตโอ โควาซิช ส่วนแนวรุกเป็น วิลเลี่ยน, เมสัน เมาท์ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์

ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่ายกย่องกับการกล้าปรับของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในเกมนี้ ซึ่งที่ผ่านมาอย่างที่เห็นว่าแบ็คทั้งสองข้างคือปัญหาของทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ รีซ เจมส์ เล่นได้ดีสร้างความเสียดายที่จะเป็นสำรองทำให้ต้องโยก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปยืน ซึ่งหลายครั้งไม่ดีเท่ากับการเล่นทางขวาแม้ว่าจะเล่นได้ก็ตามที

ในขณะที่ฝั่งคู่แข่งปรับทัพพอสมควรทั้ง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, ปอล ป็อกบา และ เมสัน กรีนวู้ด ที่เป็นตัวหลักในช่วงหลังเป็นตัวสำรองกันหมด และปรับมาเล่นในระบบกองหลัง 3 คนเหมือนกัน แต่อยู่ในรูปแบบ 3-4-1-2


แน่นอนว่านั่นน่าจะส่งผลอยู่เหมือนกัน ยังไม่รวมการที่ เชลซี มีเวลาพักมากกว่า 2 วันด้วย

จุดเปลี่ยนของเกมน่าจะมาจากการที่ เอริก ไบยี่ ปะทะกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ในจังหวะขึ้นโหม่งจนเจ็บด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะทางรายแรกที่ถึงขั้นเล่นต่อไม่ได้ ส่วนรายหลังก็ถึงขั้นเลือดออกแต่ยังเล่นต่อได้

ผีแดงต้องเปลี่ยนตัวด้วยการเอา อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ลงสนามมาแทน นั่นหมายความทีมต้องปรับระบบการเล่นจากตอนเริ่มเกมมาเล่นกองหลัง 4 คนทันที และการปรับเปลี่ยนกระทันหันนำมาซึ่งการเสียประตูทันทีเมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า หลุดมาทางขวาก่อนเปิดบอลมาเสาแรก โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ โฉบมาชาร์จเข้าไปเป็น 1-0 


จากที่จะจบครึ่งแรกแบบไม่มีประตู กลายเป็นว่าทีมขึ้นนำสำเร็จ กลายเป็นได้เปรียบอย่างมหาศาลเลย

เท่านั้นไม่พอนาทีแรกของครึ่งหลัง เชลซี ยังมาได้ประตูที่สองแบบมีโชคเล็กๆจากจังหวะสับไกนอกเขตโทษของ เมสัน เมาท์ ซึ่งก็ดูไม่น่าจะมีอะไร แต่มันคือความผิดพลาดของฝั่งผีแดงตั้งแต่ แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ จ่ายบอลเข้ากลางพลาดให้ เมาท์ ลากมาถึงหน้าเขตโทษก่อนยิงบอลก็ไม่แรงแต่ ดาบิด เด เคอา กลับปล่อยบอลเข้าประตูไปแบบไม่น่าเชื่อ

นั่นยิ่งทำให้งานของทัพสิงห์บลูส์ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติทีมก็มีเกมรุกที่โต้กลับได้ดีอยู่แล้ว ยิ่งคู่แข่งต้องบุกใส่เปิดพื้นที่ยิ่งง่ายกว่าเดิมด้วย

        กระทั่งมาได้ประตูทิ้งขาด 3-0 จากจังหวะที่ มาร์กอส อลอนโซ่ เปิดบอลจากทางซ้ายเข้าเขตโทษ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พยายามป้องกันด้วยการเบียดมากับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แต่กลายเป็นสกัดเข้าประตูตัวเองไป

        

แม้ช่วง 5 นาทีสุดท้ายจะมาเสียประตูอีกลูกแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว เพราะในตอนนั้นทีมเล่นเหนียวแน่น ในขณะที่คู่แข่งเล่นอย่างลนลาน สุดท้ายคว้าชัย 3-1 เข้ารอบชิงชนะเลิศไปเจอกับ อาร์เซน่อล 

ถือเป็นเกมที่ทุกอย่างดูจะเป็นใจให้กับฝั่งสีน้ำเงิน ตั้งแต่การจัดทีมของคู่แข่ง, นักเตะเจ็บแบบสุดวิสัยแบบที่ไปชนกันเอง, ได้สองประตูในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ, คู่แข่งพลาด ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ทีมคว้าชัยในเกมนี้

แต่ก็ต้องปรบมือให้กับการวางแผนของ แฟร้งค์ แลพมาร์ด รวมถึงการปรับระบบการเล่นจนทำมีผลงานที่ดีในเกมนี้


ผลงานจากเอฟเอ คัพในปีนี้แสดงให้เห็นว่า "สิงห์บลูส์" คือจ้าวแห่งถ้วยนี้อย่างแท้จริง เพราะนับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยครั้งนี้ถือเป็นการเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 9 แล้ว และได้แชมป์ไปแล้ว 6 สมัย

และนี่เป็นการเข้าชิงชนะเลิศรายการนี้เป็นสมัยที่ 14 ของสโมสร มีแค่ อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด สองทีมที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุด ที่มากกว่า

ถึงตอนนี้ภารกิจยังไม่จบ เหลืออีก 2 เกมในพรีเมียร์ลีกที่จะไปเยือน ลิเวอร์พูล และกลับมาเล่นในบ้านเจอ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งยังต้องการแต้มเพื่อที่จะรักษาท็อปโฟร์ของตารางเอาไว้


จากนั้นก็มาถึงเกมชิงชนะเลิศกับ อาร์เซน่อล ที่เวมบลีย์ และอีกเกมคือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ดูจะไกลความเป็นจริงสักหน่อยกับการไปเยือน บาเยิร์น มิวนิค หลังจากที่เกมแรกแพ้ย่อยยับคาบ้าน 0-4

แต่ตอนนี้ทีมคงไม่มองไกลถึงตรงนั้นแล้ว เอาแค่ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกปีหน้าได้รวมถึงการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครอง

กับการทำงานปีแรกของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด หากทำได้สำเร็จล่ะก็สามารถเดินยืดได้เลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด