:::     :::

เจ้าพ่อเอฟเอ คัพ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล เพิ่มสถิติคว้าแชมป์ "เอฟเอ คัพ" มากที่สุดออกไปเป็น 14 สมัยได้สำเร็จหลังพลิกชนะ เชลซี ไปได้ 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนาม เวมบลีย์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นับเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกันที่ "ปืนใหญ่" ย้ำแค้นเอาชนะ "สิงห์บลูส์" ในรอบชิงชนะเลิศ ซ้ำรอยปี 2002 และปี 2017 

นอกจากสถิติแชมป์มากสุดแล้ว อาร์เซน่อล ยังเก็บชัยชนะได้ตลอด 7 นัดหลังสุดที่เข้าชิงชนะเลิศ เรียกได้ว่ายึดสโลแกน "เจ้าพ่อเอฟเอ คัพ" อย่างทรนงองอาจ 

ในรอบชิงชนะเลิศ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือมือใหม่ที่คุมทีมเต็มตัวได้เพียง 8 เดือน แทบไม่เปลี่ยนทีมจากรอบตัดเชือกที่ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 โดยเปลี่ยนเพียงตำแหน่งเดียวหากเทียบกับรอบตัดเชือกที่ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 คือ ร็อบ โฮลดิ้ง ได้เล่นแทน ชโคดราน มุสตาฟี่ ที่เจ็บ 

ผู้รักษาประตูยังเป็น เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ที่ฉวยโอกาสสร้างชื่อได้เต็มตัวในช่วงที่ แบรนด์ เลโน่ บาดเจ็บ ส่วน 3 เซนเตอร์แบ็กก็มี ดาวิด ลุยซ์ ปักหลักล่าสุด ขนาบข้างด้วย มุสตาฟี่ และ คีแรน เทียร์นี่ย์ 

วิงแบ็กซ้าย-ขวา เป็น เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส กับ เอคตอร์ เบเยริน ส่วนคู่มิดฟิลด์ตัวกลางเป็น กรานิต ชาก้า กับ ดานี่ เซบายอส โดยที่ 3 ตัวรุกใช้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง, อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และ นิโกล่าส์ เปเป้ 

ขณะที่ เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีผิดคาดเล็กน้อยเพราะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ วิลเลี่ยน ฟิตไม่ทัน จอร์จินโญ่ กับ เมสัน เมาท์ จึงได้เล่นแทน และยึดระบบหลัง 3 เช่นเคย 

ในช่วงแรก อาร์เซน่อล กับ เชลซี มีโอกาสฝั่งละหน ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ได้โขกลุ้นให้ปืนใหญก่อนแต่ไม่เข้ากรอบ ขณะที่ เมสัน เมาท์ ได้โอกาสสับไกหน้าเขตโทษ วิถีบอลพุ่งเข้ากรอบ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ ต้องออกแรงเซฟ 

การเล่นเพรสซิ่งและโจมตีเร็วของ เชลซี ได้ผลตั้งแต่นาทีที่ 5 เมื่อ คริสตียน พูลิซิช พลิกบอลได้ก่อนไกลเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายให้ เมสัน เมาท์ ได้ตบเข้ากลางแฉลบผู้เล่น อาร์เซน่อล โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ เขี่ยให้ พูลิซิช แตะหนี คีแรน เทียร์นี่ย์ ก่อนงัดบอลผ่าน มาร์ติเนซ เข้าไปอย่างเด็ดขาด

เชลซี ดีกว่าชัดเจนในช่วง 20 นาทีแรก เกมรุกที่นำโดย คริสเตียน พูลิซิช สามารถกดดันแนวรับ อาร์เซน่อล ได้ต่อเนื่อง ทีมปืนใหญ่ ไม่สามารถพาบอลไปถึงผู้เล่นเกมรุกอีกเลยหากไม่นับจังหวะต้นเกมเพราะเป็นฝ่ายตั้งรับเป็นส่วนใหญ่ 

ทีมของ มิเกล อาร์เต้า เริ่มได้โงขึ้นหลังผ่านครึ่งทางของครึ่งแรก เกมรุกเริ่มมีจังหวะต่อบอลสวยๆ หน้าเขตโทษ เชลซี และส่งบอลตุงตาข่ายได้จากลูกยิงของ นิโกล่าส์ เปเป้ ทว่า เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส ยืนล้ำหน้าอยู่ก่อน จึงพลาดได้ประตูอย่างน่าเสียดาย 

อย่างไรก็ตาม "ปืนใหญ่" ก็ตามตีเสมอได้สำเร็จจากจังหวะสาดบอลยาวของ คีแรน เทียร์นี่ย์ ที่ลอยโด่งไปถึง โอบาเมย็อง วิ่งเบียดกับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนถึงบอลก่อนและโดนกัปตันทีม เชลซี เหนี่ยวล้ม


โอบา ยิงประตูชัยอย่างเหนือชั้น

ผู้ตัดสิน แอนโธนี่ เทย์เลอร์ เป่าจุดโทษทันทีพร้อมรอสัญญาณจาก วีเออาร์ ยืนยัน ขณะที่ผู้เล่น อาร์เซน่อล พยายามรุมล้อมกดดันเพื่อให้ตะเพิด อัซปิลิกวยต้า ออกไป แต่ทัพสิงห์บลูส์ยังไม่แย่ขีดสุดเพราะ อัซปิฯ ได้เพียงใบเหลือง ก่อนเป็น โอบาเมย็อง รับหน้าที่สังหารจุดโทษเข้าไปอย่างเฉียบขาด ขณะที่ วิลลี่ กาบาเยโร่ พุ่งผิดทาง

โมเมนตัมของเกมเริ่มมาฝั่ง อาร์เซน่อล เพราะก่อนจบครึ่งแรก 10 นาที อัซปิลิกวยต้า ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อจนเล่นต่อไม่ไหว แฟร้งค์ แลมพาร์ด จึงต้องส่ง อันเดรียส คริสเตนเซ่น ลงเล่นแทน พร้อมปรับตำแหน่งการยืนใหม่ คูร์ท ซูม่า ขยับจากตัวสุดท้ายตารางมายืนแทนตำแหน่งของ อัซปิลิกวยต้า ส่วน คริสเตนเซ่น เล่นแทนตำแหน่งของ ซูม่า 

เริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียว สถานการณ์ของ เชลซี แย่ต่อเนื่องเมื่อ คริสเตียน พูลิซิช เจ็บเองไปอีกรายในจังหวะสปรินต์จากกลางสนามพาบอลเข้าไปยิงหน้าเขตโทษ ซึ่งจากภาพช้าเห็นชัดว่ามีอาการบาดเจ็บก่อนถึงจังหวะยิง 3 ก้าวด้วยซ้ำ 

เปโดร โรดริเกซ ที่เตรียมอำลาทีมหลังจบนัดชิงฯ เอฟเอ คัพ จึงถูกส่งลงมาแทน แข้งจอมเก๋าชาวสเปนมีจังหวะวูบวาบอยู่บ้างในจังหวะพาบอลลุยเอง แต่การประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมสู้ พูลิซิช ไม่ได้ 

อาร์เซน่อล ฉวยจังหวะพลิกนำในนาที 67 จากการลุยของ เบเยริน ที่ลากผ่านกลางสนามก่อนโดนผู้เล่น เชลซี เข้าบล็อกก่อนถึงหน้าเขตโทษ นิโกล่าส์ เปเป้ เก็บได้แล้วจ่ายขวางเข้าในให้ โอบาเมย็อง โชว์ความเหนือชั้นล็อกหนี คูร์ท ซูม่า ก่อนชิพด้วยซ้ายหนีมือ กาบาเยโร่ 

ประตูนี้ยอดเยี่ยมและบ่งบอกถึง "คลาส" ระดับท็อปของ โอบาเมย็อง ได้อย่างแท้จริง หมดจดและไร้ที่ติ

โมเมนตัมเหวี่ยงมาฝั่ง อาร์เซน่อล ทุกอย่างเพราะอีก 6 นาทีถัดมา เชลซี ต้องเหลือผู้เล่น 10 เมื่อ มาเตโอ โควาซิช โดนเหลืองสองกลายเป็นใบแดงในจังหวะฟาวล์คู่กรณีเดิม กรานิต ชาก้า 


อาร์เตต้า พาทีมได้แชมป์และได้ตั๋วยูโรปา ลีก

จังหวะนี้ถกเถียงกันมากว่าสมควรเป็นใบเหลืองหรือไม่เพราะในมุมของ เชลซี สามารถมองได้ว่า ชาก้า อาจจะทำฟาวล์ก่อนด้วยซ้ำซึ่งจังหวะ 50-50 แบบนี้ ผู้ตัดสินเช็กควรเช็กวีเออาร์เพื่อความชัดเจน การที่ แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ตัดสินใจให้ใบเหลืองทันทีทำให้ เชลซี เสียหายอย่างมากในช่วงเวลาที่ต้องไล่ตามตีเสมอให้ได้

อย่างไรก็ตาม กฎการใช้ วีเออาร์ ระบุว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของผู้ตัดสินในสนามได้หากเป็นเหตุการณ์ที่แจกใบเหลือง ความโชคร้ายจึงตกที่ เชลซี เพราะ โควาซิช มีเหลือติดตัวอยู่แล้ว จึงกลายเป็นได้เหลือง-แดง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ออกมาบอกหลังเกมว่า เอฟเอ ควรทบทวนกฎการใช้ วีเออาร์ ใหม่  

เปาเทย์เลอร์ ที่ยืนอยู่ตรงจุดเกิดและเห็นเหตุการณ์ต่อหน้า มองว่าจังหวะเข้าบอลของ โควาซิช พุ่งไปแรงกว่า ขณะที่ ชาก้า เจตนาเกี่ยวบอลหนี ไม่ได้เข้าอันตราย จังหวะที่เหมือนก่ำกึ่งจึงกลายเป็น โควาซิช เข้าหนักกว่าและเป็นคนฟาวล์

จากนั้นมีอีกจังหวะที่กังขาเมื่อ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ นายทวาร อาร์เซน่อล วิ่งออกมารับบอลโดยที่ตัวหลุดออกมานอกเขตโทษชัดเจน แต่ผู้ตัดสินมองว่าไม่ได้เป็นการแฮนด์บอลเพราะแม้ตัวจะออกนอกเขตโทษแล้วแต่จังหวะที่มือจับบอลนั้น บอลอยู่ตรงเส้นเขตโทษ ไม่ผิดกฎติกาแต่อย่างใด 

ในมุมของ เชลซี ย่อมคาใจและไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินและวีเออาร์ และรู้สึกเดือดมากขึ้นเเพราะย้อนไปในรอบชิงเอฟเอ คัพ ปี 2017 ที่ อาร์เซน่อล ชนะ เชลซี 2-1 สกอร์เดียวกันนี้ แอนโธนี่ เทย์เลอร์ ก็เป็นคนตัดสินในเกมนั้นและชักใบแดงไล่ วิคเตอร์ โมเสส ออกจากสนามหลังพยายามพุ่งล้มในเขตโทษ และในปี 2015 เปาเทย์เลอร์ ก็คือคนตัดสิน คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่ อาร์เซน่อล ชนะ เชลซี 1-0 


นอกจากนี้ก็เคยแจกใบเหลืองให้ เชส ฟาเบรกาส ตอนเล่นให้ เชลซีในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เพราะมองว่าพุ่งล้ม แต่จากภาพช้าถูกทำฟาวล์จริง ทำให้ในเวลาต่อมา ผู้ตัดสินวัย 41 ปีจากแมนเชสเตอร์ ได้ออกมาขอโทษต่อ เชลซี ต่อการคัดสินใจผิดพลาดดังกล่าว 

จึงกลายเป็นว่า 3 ผู้เล่นที่สำคัญที่สุดใน 3 ตำแหน่งของ เชลซี ทั้ง เซซาร์ อัซปิกวยต้า ในเกมรับ, มาเตโอ โควาซิช ในแดนกลาง และ คริสเตียน พูลิซิช ในแนวรุก มีเหตุให้ต้องออกจากสนามก่อนจบเกมทั้งหมด ขณะที่ เปโดร ที่ลงมาเป็นสำรองก็เจ็บเพิ่มถึงขั้นหามออกไปอีกราย

หลายเหตุการณ์เป็นใจให้ อาร์เซน่อล ทั้งการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน, วีเออาร์, ได้จุดโทษ และคู่แข่งโดนใบแดงและบาดเจ็บอีก 3 คน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดในชัยชนะของปืนใหญ่เพราะพวกเขาก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าตลอด 90 นาทีได้สู้เต็มที่เพื่อตำแหน่งแชมป์ แม้โดนนำก่อนต้นเกมแต่พยายามไล่ตามตีเสมอจนแซงชนะได้ 

ที่สำคัญ ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เล่นในเกมของตัวเองตลอด ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายคู่แข่งหรือเล่นสกปรกเพื่อให้ได้ชัยชนะ จังหวะปะทะกันในสนามเป็นจังหวะทั่วไปที่เราเห็นกันอยู่แล้วในเกมฟุตบอล เพียงแต่การตัดสินของผู้ตัดสินเป็นใจ ซึ่งหากพูดถึงเรื่องนี้ อาร์เซน่อล เองก็เคยเสียหายจากการตัดสินที่ไม่มีมาตรฐานมาหลายครั้งแล้ว  

เอฟเอ คัพ สมัย 14 ของ อาร์เซน่อล จึงเป็นตำแหน่งแชมป์ที่คู่ควร พวกเขาเป็นรองทั้ง แมนฯ ซิตี้ ในรอบตัดเชือก และเชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ แต่สามารถพลิกเป็นผู้ชนะได้ 

ไม่มีชัยชนะใดได้มาด้วยความบังเอิญเพราะทุกชัยชนะล้วนมาจากต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรีและพยายามจนถึงที่สุด


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด