ได้แชมป์แต่ไม่ได้อยู่ต่อ
ใช่ครับ เขาไม่ใช่คนแรกที่ต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
ต้องยอมรับว่าทีมอย่าง ยูเวนตุส ไม่ต่างจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง แค่แชมป์ลีกนั้นไม่พอ เพราะพวกเขามีศักยภาพและเงินเหนือกว่าคู่แข่ง ดังนั้นเรื่องแชมป์ลีกบอร์ดบริหารมองว่ายังไงก็ต้องได้
นี่เป็นแค่คนล่าสุดที่เจอเรื่องแบบนี้ ที่ผ่านมายังมีอีกไม่น้อยที่พาทีมได้แชมป์ แต่ลงเอยด้วยการโดนปลดจากตำแหน่งในช่วงซัมเมอร์
ลองดูว่าจะมีใครกันบ้าง
เมาริซิโอ ซาร์รี่
สโมสร : ยูเวนตุส
ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่ มัสซิมิลิอาโน่ อัลเลกรี่ ที่พาทีมประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมจากการแข่งขันในประเทศ
แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าในอิตาลีนั้นทัพยูเวนตุสแทบจะมองว่าพวกเขาไร้คู่ต่อกรไปแล้ว จากการได้แชมป์มา 8 สมัยติดต่อกัน
การมาของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ จึงไม่ใช่แค่การที่ทีมจะต้องได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครอง เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแชมป์บอลถ้วยในรากยารอื่นๆด้วย
โดยเฉพาะในรายการอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ทีมไม่ได้แชมป์มานานนับตั้งแต่ปี 1996 กลายเป็นถ้วยสุดปรารถนาทีทีมต้องได้มาครอบครองอย่างที่สุดและทำได้ใกล้เคียงในยุคของ อัลกลรี ที่เข้าชิงชนะเลิศแต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ไป
ดังนั้นไม่แปลกที่แม้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ จะพาทีมได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มาครอง แต่สุดท้ายก็ต้องตกงานทั้งที่เพิ่งคุมทีมได้แค่ปีเดียวเท่านั้น
สิ่งที่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของ ซาร์รี่ ในปีนี้ก็คือการที่เขาได้รับการจารึกชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่อายุเยอะทีเดียวสุดได้แชมป์ลีกสูงสุดของอิตาลีที่ 61 ปี 198 วัน ทำลายสถิติของ นีลส์ ไลด์โฮล์ม อดีตเทรนเนอร์ที่พา โรม่า ได้แชมป์เมื่อปี 1982/83 ด้วยวัย 60 ปี 219 วัน
สถิตินี้คงจะอยู่ไปอีกนาน แม้จะโดนไล่ออก แต่ชื่อของ ซาร์รี่ ยังคงถูกบันทึกไว้ในฐานะผู้จัดการทีมที่อายุมากที่สุดที่พาทีมได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อาไป
อูไน เอเมรี่
ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง
อดีตนายใหญ่ของ เซบีย่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก 3 สมัยซ้อนในปี 2013/14, 2014/15 และ 2015/16 ก่อนที่จะโยกมาคุม ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศส
ปีแรกที่ทำผลงานก็เจอกับความยากลำบากเขาให้เมื่อทีมจบแค่อันดับ 2 ในลีก หยุดสถิติที่ทีมคว้าแชมป์ลีกมา 4 ปีติด แถมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลับโดน บาร์เซโลน่า พลิกเอาชนะอย่างน่าเจ็บปวดใฝนรอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งที่เกมแรกชนะมา 4-0 แต่ที่สองกลับโดนถล่ม 1-6 โดยเฉพาะการเสีย 3 ประตูนาทีที่ 88, 90+1 และ 90+5 ตกรอบไปหน้าตาเฉย
ยังดีที่แชมป์บอลถ้วยทั้ง 3 รายการยังสามารถต่ออายุให้ได้คุมทีมต่อไป และทีมก็เสริมทีมครั้งใหญ่ด้วยการดึง เนย์มาร์ มาด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก รวมถึง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่ยืมมาจากโมนาโกเผื่อผนึกกำลังกันกับ เอดินสัน คาวานี่ และ อังเคล ดิ มาเรีย ในแนวรุก
ปีนี้ทีมได้แชมป์บอลถ้วยในประเทศมาทั้ง 3 รายการเหมือนเดิม แถมยังพ่วงด้วยแชมป์ลีก เอิงด้วย แต่ทว่าในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกลับพบกับความผิดหวังอีกครั้งด้วยการพ่าย เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์รวม 2-5 ตกรอบ 61 ทีมสุดท้ายอีกครั้ง
สุดท้ายสัญญา 2 ปีที่เซ็นกันไว้เมื่อปี 2016 ไม่ได้รับการขยายต่อจนต้องโบกมืออำลาทีมไป เรียกได้ว่าเพราะถ้วยยุโรปแท้ๆทำให้ไม่ได้ทำหน้าที่ต่อ
อันโตนิโอ คอนเต้
สโมสร : เชลซี
หลังประสบความสำเร็จด้วยการพา ยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี 3 สมัยซ้อน ก่อนไปคุมทีมชาติอิตาลีลุยยูโร 2016 และพาทีมเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการพ่ายจุดโทษให้เยอรมัน อันโตนิโอ คอนเต้ กลับมารับงานคุมทีมสโมสรอีกครั้งกับ เชลซี
เป้าหมายไม่มีอะไรมากคือการพา เชลซี ขึ้นมาเป็นทีมแถวหน้าของอังกฤษให้ได้หลังจากที่มี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยกระดับขึ้นมาเป็นขาใหญ่ประจำประเทศ
ผลงานในปีแรกของ คอนเต้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยการพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองตั้งแต่ปีแรกที่คุมทีม หลังจากที่ปีก่อนหน้าทีมหล่นไปไกลถึงอันดับ 10 ของตาราง
แม้แต่ในปีที่ 2 ในลีกจะไม่ดีเท่าไรนัก แต่ก็ยังมีสถิติพาทีมชนะ 50 เกมแรกด้วยการคุมทีมเพียง 73 นัดในพรีเมียร์ลีก มีแค่ โชเซ่ มูรินโญ่ (63 เกม) และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (69 เกม) ที่เหนือกว่า รวมถึงมีถ้วยเอฟเอ คัพมาฝากแฟนๆเหมือนกัน แต่ทว่าเจ้าตัวกลับโดนบอกเลิกสัญญาหลังจบฤดูกาล 2017/18 ซึ่งเรื่องราวยืดเยื้อกว่าจะออกจากสโมสรจริงๆก็ปาเข้าไปกลางเดือนกรกฎาคม มีเวลาให้เทรนเนอร์ใหม่ซึ่งก็คือ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงเดือน
ถึงกระนั้นสุดท้าย คอนเต้ ก็เอาชนะความไม่ยุติธรรมนี้ด้วยการฟ้องร้องคดีและศาลตัดสินให้เขาชนะได้เงินชดเชยร่วม 25 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
หลุยส์ ฟาน กัล
สโมสร : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สุดยอดกุนซือชาวฮอลแลนด์ที่เข้ามาพร้อมกับความหวังว่าจะพาทีมกลับมาประสบความสำเร็จหลังการวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้วทีมหันไปใช้ เดวิด มอยส์ ซึ่งผลออกมาค่อนข้างเละทีเดียว
ด้วยประสบการณ์คุมทีมระดับอ๋องที่ไปอยู่กับสโมสรไหนก็มีแชมป์เสมอตั้งแต่กับ อาแจ็กซ์, บาร์เซโลน่า, อัลค์มาร์ และ บาเยิร์น มิวนิค ย่อมไม่แปลกที่เหล่าสาวกปีศาจแดงจะตั้งความหวังอย่างสูง
แต่ผลงานปีแรกถือว่าน่ผิดหวังสุดๆ เปิดหัวด้วยการตกรอบลีก คัพตั้งแต่การลงสนามนัดแรกในรอบ 2 ด้วยการพ่ายทีมระดับลีก วันอย่าง มิลตัน คีนส์ ด้วยสกอร์เละทะ 0-4 ซึ่งควรจะเป็นถ้วยที่ควรจะลุยให้ได้มาเพราะไม่มีโปรแกรมฟุตบอลยุโรปอยู่แล้ว
ขณะที่ในเอฟเอ คัพ เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่าย อาร์เซน่อล คาบ้าน, สิ่งเดียวที่พอโอเคอยู่ก็คือคว้าท็อปโฟร์มาครองได้ ผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกสำเร็จ
ทวาในปีที่สองผลงานทีมไม่ได้กระเตื้องขึ้นจากปีแรกเลย โดยเฉพาะในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ร่วงตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่มี โวล์ฟสบวร์ก, พีเอสวี และ ซีเอสเคเอ มอสโก ซึ่งแฟนบอลมองว่าอย่างน้อยต้องผ่านรอบต่อไปได้
อันดับ 3 ของกลุ่มยังได้สิทธิ์เล่นรอบ 32 ทีมในยูโรปา ลีก แต่สุดท้ายก็จอดแค่รอบ 16 ทีมในการเจอกับคู่ปรับร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูล
ในบอลถ้วยอย่าง ลีก คัพ ก็จอดตั้งแต่รอบที่ 4 ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกก็ได้อันดับ 5 อีก สิ่งเดียวที่พอชุ่มชื่นใจบ้างกับแชมป์เอฟเอ คัพ ที่ถือว่าโชคดีสุดๆที่คู่แข่งในแต่ละรอบถือว่าอ่อนชั้นทั้ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, ดาร์บี้, ชรูว์บิวสรี่, เวสต์แฮม, เอฟเวอร์ตัน และ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ
แม้จะมีแชมป์แต่ 2 วันหลังจากได้ถ้วยสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ประกาศปลด หลุยส์ ฟาน กัล และทีมงานออกจากทีมตำแหน่งไป แต่อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นคนให้โอกาส มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้สัมผัสเกมชุดใหญ่ละกันน่า
บีเซนเต้ เดล บอสเก้
สโมสร : เรอัล มาดริด
หนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุดบนโลกลูกหนัง แทบจะคว้าแชมป์มาทุกรายการที่คุมทีมลงสนาม โดยเฉพาะกับทีมชาติสเปนที่พาทีมได้ทั้งแชมป์โลก 2010 และแชมป์ยูโร 2012
แน่นอนว่ากับที่ เรอัล มาดริด เองก็เช่นกัน ตลอด 4 ปีในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว บีเซนเต้ เดล บอสเก้ พาทีมคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน 2 สมัย, ซูเปร์โคปา เด เอสปันญ่า 1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และ อินเตอร์คอนติเนนตัล 1 สมัย
แต่ทว่าในปี 2003 หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ เจ้าตัวกลับโดน เรอัล มาดริด ปลดออกจากตำแหน่งซะอย่างงั้น ทั้งที่ประสบความสำเร็จมากมาย
หนึ่งในข้อถกเถียงที่หลุดออกมาถึงสาเหตุปลดจากตำแหน่งมาจากการที่ บีเซนเต้ เดล บอสเก้ เป็นกุนซือที่โลว์โฟรไฟล์ ไม่มีอะไรโดดเด่น ซึ่งสโมสรต้องการนำให้ทีมเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยความโดดเด่นและทันสมัย
หรือจะเรียกว่ารูปไม่หล่อนั่นแหละ ในขณะที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ต้องการสร้าง "กาลาคติกอส" ให้ทีมเป็นศูนย์รวมของดาวดังระดับโลก ไม่เว้นแม้แต่ผู้จัดการทีม
หลังจากนั้นจนถึงปี 2010 "ราชันชุดขาว" เปลี่ยนกุนซือถึง 9 คนใน 7 ปี จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือที่ไร้เหตุผลที่สุดคนหนึ่งของวงการลูกหนังเลย