:::     :::

งานนี้ขอให้ "เชื่อแป้ง"

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,624
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
มีหลายคนอินบ็อกซ์เข้ามาอยากให้ผมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องที่ "มาดามแป้ง" คุณนวลพรรณ ล่ำซำ มอบเงินสนับสนุนสมาคมฟุตบอลเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ VAR ในไทยลีกฤดูกาลนี้ พร้อมทั้งส่งจดหมายเปิดผนึกตั้งคำถาม 7 ข้อถึงนายกสมาคมฯ การออกมาเคลื่อนไหวของ "มาดามแป้ง" ในครั้งนี้นั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและเสมือนเป็นกระบอกเสียงแทนสโมสรสมาชิกทั้งหมด ผมจึงอยากขออนุญาตแสดงความคิดเห็นและลองวิเคราะห์ในมุมมองถึงประเด็นต่างๆ

วิเคราะห์กันไปทีละจุด เริ่มแรก มีหลายคนสงสัยว่าทำไมต้องเป็น "มาดามแป้ง" แม้ในวันแถลงข่าวจะมีทั้งคุณขจร เจียรวนนท์ บิ๊กบอส ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และ คุณวิลักษณ์ โหลทอง แห่ง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด มาร่วมโต๊ะด้วยก็ตาม แต่สปอตไลท์ของงานคือ "มาดามแป้ง" ที่เสมือนเป็นเจ้าภาพใหญ่ นั่นเพราะสำหรับในวงการฟุตบอลแล้ว เธอสวมหัวโขนอยู่ 2 บทบาทคือ ประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี หนึ่งในสโมสรสมาชิก และประธานบมจ.เมืองไทยประกันภัย หนึ่งในสปอนเซอร์รายใหญ่ของสมาคม อีกทั้งเธอไม่ได้มีตำแหน่งในสภากรรมการของสมาคมชุดนี้ด้วย ซึ่งทราบมาว่ายังมีอีกหลายสโมสรที่ไม่ได้ออกมาแสดงตัวในครั้งนี้ ก็ผ่านการหารือเรื่องนี้กับทาง "มาดามแป้ง" มาแล้ว


เสียงของคนระดับ "มาดามแป้ง" นั้นดังพอให้คนทั้งประเทศต้องรับฟัง ซึ่งเหล่านี้แหละคือเหตุผลสำคัญ การตั้งคำถามของ "มาดามแป้ง" เสมือนเป็นการพูดแทนทุกภาคส่วนทั้ง สโมสรสมาชิก, สปอนเซอร์ และทุกคนที่เกี่ยวข้องในวงการฟุตบอล เพราะเธอเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ดังนั้นการออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ จึงไม่มีใครเหมาะสมเท่า "มาดามแป้ง" อีกแล้ว

"บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าอยากให้ทุกๆ คนที่ชอบวิจารณ์ขึ้นมาชกบนเวที อย่าไปชกข้างเวที 

ในวันงานแถลงข่าว "มาดามแป้ง" เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า เธอเป็นหนึ่งในคะแนนเสียงที่เลือก "บิ๊กอ๊อด" ทั้ง 2 สมัย เพราะเชื่อมั่นว่าจะนำพาไปสู่เป้าหมายได้ รวมถึงออกตัวไว้ก่อนว่าหวังว่า นี่เป็นการพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ชกใต้เข็มขัด หวังว่า "บิ๊กอ๊อด" จะไม่โกรธกับการออกมาเปิดประเด็นในครั้งนี้ เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยน เป็นการประกาศให้ทราบว่านี่คือการแสดงเจตนาอันบริสุทธิ์ มิใช่การตั้งตัวเป็นขั้วฝ่ายตรงข้ามสมาคมแต่อย่างใด แต่หลังจากเข้าประเด็น ทุกคำถามทั้ง 7 ข้อไม่มีการอ้อมค้อม ไม่ต้องวนรอบเวที หากเปรียบเป็นมวยก็คือสไตล์บู๊ ที่มีลีลาสวยงาม ไม่วืดวาด แต่ละหมัดเป็นการปล่อยหมัดพาวเวอร์พันช์เข้าเป้าเต็มๆ ทั้งสิ้น 

สำหรับจดหมายเปิดผนึกที่ "มาดามแป้ง" ส่งถึงนายกสมาคมฯ นั้น สามารถไปย้อนอ่านได้ที่ลิงค์ข่าวนี้ https://www.thsport.com/news-94200.html

ต้นเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเพราะ COVID-19 ซึ่งไม่ใช่แค่วงการฟุตบอล ทุกภาคส่วนเดือดร้อนกันหมด ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์การระบาดจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ไม่เพียงแต่สโมสรฟุตบอล สมาคมเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ปัญหานี้ทุกคนเข้าใจ แต่สำหรับผมมองว่า ปัญหานั้นมีอยู่ 2 แบบ คือปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ และปัญหาที่สามารถควบคุมได้ 

ปัญหาที่ควรจะควบคุมได้คืออะไร ผมขอยกตัวอย่างคำถามข้อ 4 และ ข้อ 5 ในจดหมายเปิดผนึกที่ระบุว่า

4. ขอความชัดเจน “เรื่องลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสด” ที่หายไป ใครจะถ่ายทอดสด จะถ่ายจำนวนกี่แมตช์ เพราะไม่ได้กระทบแค่กับสมาคมฯ แต่รวมถึงคำสัญญาของสโมสรที่มีให้กับผู้สนับสนุนของตนเอง ที่จะได้เจอโลโก้หรือสื่อประชาสัมพันธ์ของตนเองผ่านการถ่ายทอดสดในแต่ละนัดก็หายไปด้วย กระทบทุกด้าน และผู้สนับสนุนเหล่านี้ บริษัทส่วนใหญ่มักจะปิดรอบบัญชีกันในเดือนธันวาคม 2563 ความชัดเจนจึงสำคัญมากเพื่อให้สโมสรสามารถวางแนวทางเดินต่อได้

5. ขอความตรงไปตรงมาจากสมาคมฯ เพราะในวันที่มีการประชุมร่วมกับสโมสรสมาชิก เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ได้ให้สโมสรสมาชิกลงมติจัดการแข่งขันจบแบบข้ามปี (จบเดือนพฤษภาคม) โดยสมาคมฯ ไม่ได้มีการชี้แจงให้สโมสรสมาชิกทราบ ถึงผลที่จะตามมาเกี่ยวกับทรู หรือ “ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด” ซึ่งเรื่องดังกล่าวส่งผลเป็นอย่างมากต่อเงินสนับสนุนที่จะมอบให้กับสโมสรสมาชิกในฤดูกาลนี้ (ดังที่ได้ชี้แจงในข้อ 4.) จึงเป็นที่มาว่าทำไม สโมสรสมาชิกจึงมีมติลงคะแนนให้ดำเนินการจัดการแข่งขันข้ามปีได้

เอาจริงๆ ข้อ 5 นี่แหละคืออีกหนึ่งต้นตอของปัญหา ที่ทาง "มาดามแป้ง" ชี้ว่าเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารและความชัดเจนของสมาคมที่จัดการประชุมเมื่อวันที่ 14 เม.ย. แบบไม่ครบองค์ประชุม (ขาดตัวแทนผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, สปอนเซอร์หลัก และสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ)

ลองเหลือบไปดูลีกของชาติอื่นๆ ที่กลับมาแข่งขันกันได้ บางลีกแข่งจนจบไปแล้วและกำลังจะเริ่มฤดูกาลใหม่ ทั้งที่สถานการณ์ COVID19 ของบ้านเขารุนแรงกว่าประเทศไทย ทำไมเขาดำเนินการได้ คำตอบก็คือ ประเทศเหล่านั้นเขายึดถือการปฏิบัติตามข้อสัญญากับสปอนเซอร์และผู้ถือลิขสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรก จะใช้วิธีอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเหลือแข่งเลกเดียวจบ, แข่งทุกๆ 3 วันต่อนัด ฯลฯ สุดท้ายแล้วกรอบคือต้องแข่งให้จบตามสัญญากับสปอนเซอร์ เพื่อให้ได้รับเงินในการดำเนินการจัดการแข่งขันและนำไปสนับสนุนสโมสรสมาชิก

นั่นหมายความว่าก่อนจะลงมติอะไรกันก็ตาม เขาให้ความสำคัญกับการตกลงกับคนจ่ายเงินก่อน เมื่อคุยกับคนจ่ายเงินจนได้กรอบที่ชัดเจนมาแล้วจึงค่อยแจ้งให้สโมสรที่เข้าร่วมแข่งขันทราบและปฏิบัติตามอย่างมีบรรทัดฐานเท่าเทียมกัน แจ้งทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อให้สโมสรสามารถวางแผนการเตรียมทีมและเดินหน้าเจรจากับผู้สนับสนุนของทีมแต่ละราย

ตอนนี้หลายๆ สโมสรที่ประสบปัญหาสปอนเซอร์ระงับการสนับสนุน หรือแม้กระทั่งถูกสปอนเซอร์ทวงเงินคืน เพราะจำนวนแมตช์แข่งขันและ Eye Views ที่ตกลงกันไว้ไม่เป็นไปตามสัญญา TOR ผลกระทบก็คือไม่ใช่แค่ไม่มีเงินบริหารจัดการทีม  แต่ยังต้องกลายเป็นลูกหนี้อีกด้วย เพราะเงินที่ได้รับมาก็นำไปใช้บริหารจัดการทีมตั้งแต่ต้นซีซั่นไปแล้ว นั่นคือสาเหตุที่หลายๆ ทีมขอพักสิทธิ์ หรือหนักสุดก็ถึงขั้นยุบทีมไปเลย เพราะทนต่อพิษบาดแผลไม่ไหว

ทีนี้มาถึงเรื่อง VAR บ้าง เอาจริงๆ แล้ว การประกาศงดใช้ VAR มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น ว่าจำเป็นต้องลดงบประมาณในการจัดการแข่งขัน เพราะอย่าง เจลีก ของญี่ปุ่น ก็ทำเหมือนกัน แต่ความแตกต่างก็คือ ที่เจลีกเขาบอกไม่ใช้ก็คือไม่ใช้ทุกเกมไม่มีคำว่าใช้เฉพาะเกมสำคัญเช่นรอบรองหรือรอบชิงบอลถ้วย ไม่มีคำว่าหากสโมสรไหนมีความประสงค์ก็ใช้ได้ แต่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งตรงนี้มันทำให้เกิดข้อกังขาและโต้แย้งกันไปมา เหมือนอย่างที่ "มาดามแป้ง" กล่าวไว้ดังข้อ 1

1. หลายสโมสรยินยอมจ่ายเงินซื้อระบบการใช้งาน VAR เพื่อตอบโจทย์ความชัดเจนและความยุติธรรมให้กับการแข่งขัน และเพื่อไม่ให้ผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ในสนามต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แต่แล้ววันนี้สมาคมกลับบอกว่าทำไม่ได้ จึงควรต้องมีเหตุผลที่จะอธิบายสร้างความกระจ่างชัดแก่สมาชิกอย่างสมเหตุสมผล เพื่อการจัดการแข่งขันแบบมืออาชีพต้องโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่สร้างข้อกังขา หรือการโต้แย้งกันไปมา

การออกข่าวเกี่ยวกับ VAR ของสมาคมในแต่ละครั้งนั้น ก็ยิ่งชวนให้ขมวดคิ้วเหลือเกิน ครั้งแรกบอกว่าจะไม่ใช้เพราะต้องการเซฟคอสต์ ครั้งต่อมาบอกว่าถ้าสโมสรไหนต้องการใช้ให้แจ้งความจำนงค์ แต่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ตกเกมละ 82,000 บาท ครั้งที่สาม บอกว่าเพื่อความเป็นกลางของทุกๆ ทีม จะไม่ใช้ VAR แล้ว แต่หากเกมไหนจำเป็นเช่นนัดสุดท้ายของฤดูกาล หรือเกมบอลถ้วยรอบรองและรอบชิง สมาคมอาจจะใช้และจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งถัดไปอีกหรือไม่ 

เรื่อง VAR โดยส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าประกาศจะไม่ใช้ก็ไม่ต้องใช้ไปเลย แค่นั้นจบ! หรือถ้าจะใช้ก็ต้องใช้ให้เท่าเทียมกันทุกทีม ไม่มีเกมไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ หรือว่าใครมีเงินไม่มีเงินจ้าง แต่สำหรับมุมมองคนทำทีมอย่าง "มาดามแป้ง" ยิ่งแน่นอนกว่า เพราะเธอประกาศว่าเงิน 16,000,000 บาทที่ เมืองไทยประกันภัย จะจ่ายเพื่อเป็นค่าสนับสนุนสมาคมเรื่องทีมชาติ ขอให้เปลี่ยนแปลงนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ VAR ทุกเกมในไทยลีกได้เลย


มันก็เลยเกิดประเด็นขึ้นมาว่า วัตถุประสงค์ของผู้ให้กับผู้รับเงินไม่ตรงกัน มันจะเกิดปัญหาตามมาหรือไม่ เพราะในหนังสือขอการสนับสนุนจากทางสมาคมระบุว่าเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทีมชาติ แต่หนังสือของคนจ่ายเงินแจ้งว่าให้นำไปใช้เรื่อง VAR ซึ่งทาง "บิ๊กอ๊อด" เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เงินค่า VAR มาจ่ายให้สมาคมไม่ได้ ต้องไปให้บริษัท ไอสปอร์ต ที่รับสัมปทานเกี่ยวกับงานโปรดักชั่นของการแข่งขันฟุตบอลโดยตรง


ผมจะขออธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้ เผื่อบางท่านอาจยังไม่เข้าใจ สมาคมฟุตบอล นั้นคือองค์กรในรูปแบบที่ไม่แสวงหากำไร การจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพ ต้องแยกการทำงานออกมาในรูปแบบนิติบุคคล ในนามบริษัท ไทยลีก จำกัด ซึ่งทางบริษัทไทยลีกก็จะไปว่าจ้างบริษัทอื่นๆ เช่น ไอสปอร์ต ในเรื่องโปรดักชั่นในการถ่ายทอดสด ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็จะมีบริษัท Plan B เข้ามาดูแลรับผิดชอบซึ่งเม็ดเงินต่างๆ ทั้งรายรับและรายจ่าย จะต้องนำมาบริหารจัดการภายในสมาคมให้ดำเนินการต่อไปได้เท่านั้น

ด้วยความที่สมาคมฟุตบอลเป็นองค์กรกีฬาที่ไม่แสดงหาผลกำไร จึงสามารถรับเงินสนับสนุนหรือเงินบริจาค โดยที่ผู้สนับสนุนสามารถนำไปเป็นรายจ่ายเพื่อหักลดหย่อนภาษีได้ แต่บริษัทอื่นๆ ที่ร่วมงานกับสมาคมนั้นไม่เกี่ยวนะ ดังนั้นจ่ายให้สมาคมกับจ่ายให้บริษัทมันจึงแตกต่างกัน 


ทีนี้มาว่ากันต่อว่า เงิน 16 ล้านบาทที่ เมืองไทยประกันภัย ของ "มาดามแป้ง" มอบให้กับสมาคมฟุตบอล นั้น สามารถนำไปใช้ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่สมาคมทำเรื่องขอได้หรือไม่ คำตอบก็คือมีทั้ง "อาจได้" และ "ไม่ได้" 

เอาที่ "ไม่ได้" ก่อน ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ องค์กรบริหารงานด้วยคณะสภากรรมการ และได้เงินค่าบำรุงฯจากสโมสรสมาชิก ถ้านำเงินไปใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ ทำไปโดยพลการโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากมติในที่ประชุมใหญ่ รวมถึงความยินยอมจากผู้ให้เงิน ก็ทำไม่ได้แน่ๆ นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาคมจึงยังไม่เคยพูดว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้สำหรับ VAR เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องระมัดระวัง

ส่วนที่ "อาจได้" อันนี้ใช้คำว่าอาจเพราะผมไม่แน่ใจในเรื่องกฏหมายหรือข้อบังคับสมาคม แต่ว่ามีผู้ใหญ่ที่เคยอยู่ในวงการฟุตบอลท่านหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ว่า เรื่องนี้สามารถนำเข้าวาระใหญ่ในการประชุม เพื่อขอมติเร่งด่วน แจ้งว่าด้วยเหตุผลเรื่องสถานการณ์ COVID-19 เพื่อเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ในการนำเงินสนับสนุนไปใช้สำหรับ VAR เพื่อใช้ในการจัดการแข่งขัน และเชื่อว่าสโมสรสมาชิกรวมถึงสภากรรมการไม่น่าจะขัดข้อง เพราะมองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญจริงๆ

ทาง เมืองไทยประกันภัย คงไม่ได้มองหรอกครับว่าทางสมาคมจะต้องมีขั้นตอนยุ่งยากอย่างไร สมาคมจะต้องไปถ่ายเงินส่งต่อให้บริษัทไทยลีก แล้วไปจัดจ้างบริษัท ไอสปอร์ต แล้วมันจะผิดข้อบังคับหรือข้อกฎหมายหรือไม่ อันนั้นเป็นเรื่องของสมาคมที่จะต้องดำเนินการหาทางออกเอง แต่ทาง เมืองไทยประกันภัย ระบุวัตถุประสงค์ในการมอบเงินไว้ชัดเจนแล้วว่า เพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ VAR ดังนั้นถ้านำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของผู้สนับสนุน อันนั้นก็อาจจะมีปัญหาตามมาถ้าตกลงกับผู้จ่ายเงินไม่ได้

แต่กลับมามองในมุมของสมาคม หัวหนังสือที่ขอการสนับสนุน ลงวันที่ 14 ม.ค. ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทย ทางสมาคมเองก็อาจจะเตรียมแผนสำหรับฟุตบอลทีมชาติเอาไว้แล้ว หรืออาจจะออกเงินแอดวานซ์เองไปก่อนแล้วก็ได้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทาง เมืองไทยประกันภัย เพิ่งส่งหนังสือแสดงวัตถุประสงค์ให้เปลี่ยนไปใช้กับ VAR ในวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งถือว่าเป็นการขอเปลี่ยนแปลงในภายหลัง

ซึ่งถ้ามองเรื่องนี้อย่างใจเป็นกลาง สมาคมเองก็ประกาศออกมาแล้วว่า เงินสนับสนุนจากเมืองไทยประกันภัย จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์เดิมคือช่วยบอลทีมชาติ และจะหาเงินจากส่วนอื่นมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ VAR ให้ได้อย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าทุกฝ่ายน่าจะเข้าใจได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น อยู่ที่การตัดสินใจของทางสมาคมแล้วล่ะว่า จะดำเนินการต่อไปอย่างไร แต่บอกได้เลยว่าเสียงจาก "มาดามแป้ง" ในครั้งนี้ โดนใจทั้งสโมสรสมาชิก, สื่อมวลชน และแฟนบอล ที่ออกมาช่วยตั้งคำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบ แบบ "ชัดเจนและตรงประเด็น" สุดๆ


ผมมั่นใจเหลือเกินว่า ถ้าสถานการณ์ต่างๆ ไม่ถึงที่สุดจริงๆ ไม่เดือดร้อนกันจริงๆ งานแถลงข่าวในวันนั้นคงไม่เกิดขึ้นแน่นอน และขอทิ้งท้ายไว้สั้นๆ ว่า

งานนี้ "#เชื่อแป้ง" เถอะครับ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด