:::     :::

10 เรื่องจริงหลังเสือใต้ซิวแชมป์ยุโรป

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
1,291
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เป็นอีกครั้งที่ต้องจารึกเอาไว้เลยวำหรับ บาเยิร์น มิวนิค ว่าฤดูกาล 2020/21 คือปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของสโมสร

หลังความผิดหวังในเดเอฟเบ ซูเปอร์ คัพ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ทัพ "เสือใต้" เกิดการเปลี่ยบนแปลงในเดือนพฤศจิกายนเมื่้อทีมสั้งปลด นิโก้ โควัช แล้วตั้ง ฮันซี่ ฟลิค เข้ารับตำแหน่ง

ตลอดระยะเวลาการทำหน้าที่ 5 เดือนของ ฟลิค มีข่าวเรื่องการตั้งนายใหญ่คนใหม่มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งที่สุดท้ายทีมตัดสินใจมอบสัญญา 3 ปีให้หลังทีมมีผลงานที่ยอดเยี่ยม

จากเดินหน้าชนะ 19 จาก 20 เกมสุดท้ายของฤดูกาล เข้าป้ายคว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมันไปครอง ตามด้วยแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ที่ถล่ม เลเวอร์คูเซ่น เรื่อยมาจนโชว์ฟอร์มสุดยอดในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก


เป็นการประกาศศักดาของยักษ์ใหญ่จากเยอรมันที่คว้าแชมป์ทั้งในและนอกประเทศอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง

โดยเฉพาะในเวทียุโรปที่เป็นที่กล่าวขานจากการไล่ถล่ม บาร์เซโลน่า เละทเะ จนยอดทีมจากสเปนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ลองไปดูว่า 10 เรื่องจริงของพี่เสือแห่งเมืองเบียร์กับเส้นทางการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่นนี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

สถิติ 100 เปอร์เซ็นต์

บาเยิร์น มิวนิค กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ที่คว้าชัยรวดตั้งแต่เกมรอบแบ่งกลุ่มจนกระทั่งก้าวไปคว้าแชมป์มาครอง รวมทั้งสิ้น 11 เกม

และต้องบอกว่าแต่ละเกมนั้นยิงประตูได้เป็นว่าเล่น มีแค่นัดเดียวที่ยิงน้อยกว่า 2 ลูก ก็คือเกมนัดชิงชนะเลิศเหนือ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง นี่เอง

ในรอบแบ่งกลุ่มทีมอัด เร้ด สตาร์ เบลเกรด สอิงเกมด้วยสกอร์รวม 9-0, ชนะ สเปอร์ส สองเกม 10-3 และ ชนะ โอลิมเปียกอส สองเกม 5-2 

รอบ 16 ทีมยังเล่นสองเกมอัด เชลซี ด้วยสกอร์รวม 7-1 ตามด้วยรอบ 8 ทีมที่เล่นนัดเดียวรัว บาร์เซโลน่า 8-2 ตามด้วย ลียง 3-0 ในรอบตัดเชือก และ เปแอสช 1-0 ในเกมชิงชนะเลิศ

ทีมที่สองที่ได้ "ทริปเปิ้ลแชมป์" ครั้งที่สอง


ย้อนกลับไปเมื่อปี 201213 ภายใต้การนำทัพของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส บาเยิร์น มิวนิค โชว์ผลงานสุดยอดด้วยการกวาดแชมป์ทุกรายการที่ลงสนามเช่นเดียวกับในปีนี้ แต่ในครั้งนี้ในเดเอฟเบ ซูเปอร์ คัพ ก็ได้มาครอบครองด้วย

มาปีนี้เป็นอีกครั้งที่ทีมคว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" มาครองได้อีกครั้ง ซึ่งถือว่าสุดยอดมากนับเป็นครั้งที่สองที่ทีมทำได้ โดยก่อนหน้านี้มีแค่ บาร์เซโลน่า ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้ในปี 2009 และ 2015

การคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ทำให้ตอนนี้มีแค่ เรอัล มาดริด (13) และ เอซี มิลาน (7) ที่นำหน้าพวกเขาอยู่

แต่เชื่อเถอะว่าจะมีหลายคนแซะว่าในเยอรมันมันไร้คู่แข่งอยู่แล้ว เหลือแค่แชมเปี้ยนส์ ลีกเท่านั้นแลหะที่ว่ายาก

ก็ว่ากันไปนั่นแหละ

500 ประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก


ประตูชัยของ คิงสเล่ย์ โกมัน ที่ช่วยให้ทีมเอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถือเป็นประตูที่ 500 พอดีของทีมในการเล่นในรายการยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ถือเป็นการฉลองทีเดียวสองเด้งที่ยิงได้ถึงหลักครึ่งพัน แถมยังมีโทรฟี่แชมป์เป็นรางวัลอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประตูนี้พวกเขายังไม่ใช่ทีมที่ยิงได้มากที่สุดของศึกถ้วยใหญ่ของยุโรป โดยพวกเขาเป็นแค่อันดับ 3 เท่านั้น

แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เรอัล มาดริด ทีมที่ได้แชมป์ราสยการนี้มากที่สุด 13 สมัย ทำไปทั้งสิ้น 567 ประตู ส่วนอันดับสองเป็นของ บาร์เซโลน่า ที่ 517 ประตู

สถิติประหลาดของ คิงสเล่ย์ โกมัน

อันนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องทีสลักสำคัญอะไร แต่ก็รู้เอาไว้คุยกับเพื่อได้ก็แล้วกัน


คิงสเล่ย์ โกมัน ผู้ทำประตูได้ในเกมนี้สวมเสื้อหมายเลข 29 ให้กับทีม ซึ่งนี่กลายเป็นนักเตะที่มีหลานเลขเสื้อที่ตัวเลขสูงที่สุดที่ทำได้ในเกมรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเลย

ก่อนหน้านี้คนที่เคยยิงได้ในเกมชิงแชมป์และสวมเสื้อเลขสูงที่สุดเป็นของ โธมัส มุลเลอร์ เพื่อนร่วมทีม บาเยิร์น มิวนิค นี่เอง ที่สวมเสื้อหมายเลข 25 

คิดเอาฮาก็เป็นว่าทำลายสถิติไปละกัน ส่วนอนาคตใครจะใส่เสื้อหมายเลขที่สูงกว่านี้แล้วยิงได้ในเกมชิงชนะเลิศก็ค่อยมาว่ากัน

ประตู, ประตู และ ประตู

บาเยิร์น มิวนิค ปิดฉากเส้นทางยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้ด้วยการเป็นทีมที่ยิงประตูมากที่สุดถึง 43 ลูก มากกว่าทีมอื่นอย่างน้อยถึง 18 ประตูเลยทีเดียว

คิดออกมาเป็นค่าเฉลี่ยสูงถึง 3.9 ลูกต่อเกม ซึ่งต้องบอกว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แชมปเปี้ยนส์ ลีกเลย

เอาเฉพาะเกมรัวใส่ บาร์เซโลน่า 8 ลูก ก็เป็นการเสียประตูถึง 8 ลูกเป็นครั้งแรกในรอบ 74 ปีของ "เจ้าบุญทุ่ม" เข้าให้แล้ว

คงจะพูดไม่ได้ว่าในรอบ 8 ทีมและรอบรองชนะเลิศหากไม่เหลือเกมเดียวอาจจะยิงได้มากกว่านยี้ เพราะการวางแผนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด เอาเป็นว่านี่ถือเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมละกัน

คู่หูสอยตาข่ายที่ดีที่สุดในแชมเปี้ยนส์ ลีก


15 ประตูในบอลยุโรปซีซั่นนี้ของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อาจจะไม่ได้เป็นตัวเลขที่สูงสุดในการยิงต่อหนึ่งฤดูกาล เพราะยังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยทำได้ถึง 17 ลูกในปี 2013/14 รวมถึงในปี 2015/16 ที่้ทำไป 16 ลูกด้วย

แต่ดาวยิงทีมชาติโปแลนด์ไม่ได้มาคนเดียว เขายังมี แซร์ช นาบรี้ ที่กดไป 9 ลูกเป็นตัวเสริม กลายเป็นคู่หูสุดอันตรายที่สุเในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ ลรก

ทั้งสองคนรวมกันยิงไป 24 ลูก น้อยกว่าทีมรองแชมป์อย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ยิงรวมกันทั้งทีมที่ 25 ลูกแค่ประตูเดียวเท่านั้น

ปีหน้าฟ้าใหม่นี่จะเป็นคู่หูดูโอสุดอันตรายที่ใครก็ตั้งระมัดเป็นอย่างยิ่ง

ยากที่จะหยุดยั้งความร้อนแรง

นับตั้งแต่กลับมาจากการเบรกของการระบาดของไวรัสโควิด-19 บาเยิร์น มิวนิค เก็บชัยชนะมารวดทั้ง 15 เกมจาก 3 รายการ

ซึ่งหากนับย้อนสถิติกลับไปก่อนหน้านี้ "เสือใต้" เก็บชัยชนะมารวดถึง 21 เกมติดต่อกัน และไม่แพ้ใครมาถึง 30 เกมรวด แบ่งเป็นชนะ 29 และเสมอนัดเดียวเท่านั้น


ทีมสุดท้ายที่ชนะพวกเขาได้ก็คือ มึนเช่นกลัดบัค ที่ชนะ 2-1 ในเกมบุนเดสลีกา เยอรมันเมื่อ 7 ธันวาคม เท่ากับว่าในปีนี้ทีมของ ฮันซี่ ฟลิค ยังไม่แพ้ใครเลย

นอกจาอกนี้ตลอดทั้งฤดูกาล 2019/20 บาเยิร์น มิวนิค ยังยิงไม่ได้แค่นัดเดียวเท่านั้นคือเกมเปิดบ้านเสมอ ไลป์ซิก ไร้สกอร์ 0-0

ฟลิค กับการยกเทียบชั้น เฟอร์กูสัน, เป๊ป, มูรินโญ่, ไฮย์เกส และ เอ็นรีเก้

จากเทรนเนอร์ที่แทบไม่มีใครรู้จัก ไม่ได้เป็นกุนซือทีมชุดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2005 ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ ฮันซี่ ฟลิค

กุนซือวัย 55 ปีพอเป็นที่รู้จักในเยอรมันช่วงที่เป็นนายใหญ่ของ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในปี 2000-2005 จากนั้นก็เป็นผู้ช่วยโค้ช ซัลซ์บวร์ก ในปี 2006 และเป็นทีมงานของ โยอาคิม เลิฟ ในทีมชาติเยอรมันช่วงปี 2006-2014 เจ้าตัวก็ว่างงานมานานกว่า 5 ปี กระทั่งมาเป็นมือขวาของ นิโก้ โควัช

หลังเทรนเนอร์ชาวโครเอเชียโดนปลด ฟลิค ก็ถูกดันขึ้นมาทำหน้าที่ชั่วคราว ก่อนที่จะได้สัญญาอย่างเป็นทางการ

แต่ตอนนี้เจ้าตัวถูกยกขึ้นไปอยู่ในทำเนียบเทรนเนอร์ "3 แชมป์" ร่วมกับเหล่าสุดยอดกุนซือชั้นนำอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (1999 กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (2009 กับ บาร์เซโลน่า), โชเซ่ มูรินโญ่ (2010 กับ อินเตอร์ มิลาน), จุ๊ปป์ ไฮย์เกส (2013 กับ บาเยิร์น มิวนิค) และ หลุยส์ เอ็นรีเก้ (2015 กับ บาร์เซโลน่า) เป็นที่เรียบร้อย

อีกเดือนเดียวกับการลุ้นแชมป์รายการถัดไป


นับจากวันที่ชูถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกไปแล้ว ก็เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือนเศษก่อนที่ บาเยิร์น มิวนิค จะมีโอกาสได้ชูถ้วยแชมป์อีกครั้ง

นั่นก็คือในรายการยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ที่จะทำการแข่งขันในวันที่ 24 กันยายน โดยจะเจอกับแชมป์ยูโรปา ลีกอย่าง เซบีย่า สโมสรดังจากสเปน ที่ ปุสกัส อารีน่า ในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี

ที่ผ่านมาในการเล่นรายการนี้ทั้งหมด 4 หน "เสือใต้" ได้แชมป์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เกิดขึ้นในหนล่าสุดเมื่อปี 2013 โดยชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 หลังเสมอกันในเวลา 2-2

เช่นเดียวกันกับ เซบีย่า ที่ได้แชมป์แค่ครั้งเดียวจากการเข้าชิง 5 ครั้ง 

รอดูว่า บาเยิร์น มิวนิค จะทำให้แฟนๆได้เฮกันต่อเนื่องหรือไม่

สถิติของ โธมัส มุลเลอร์


โธมัส มุลเลอร์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากทมี่สุดคนหนึ่งในเวทีลูกหนังโลก กับการคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่นกับต้นสังกัดอย่าง บาเยิร์น มิวนิค แถมยังเคยได้แชมป์โลกกับทีมชาติเยอรมันมาแล้ว

เกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปีนี้ถือเป็นการลงเล่นในรอบชิงถ้วยใหญ่ของยุโรปเป็นครั้งที่ 4 ของ มุลเลอร์ ทำให้เจ้าตัวเป็นนักเตะจากเมืองเบียร์ที่เล่นรอบชิงชนะเลิศรายการนี้มากที่สุดเท่ากับ โทนี่ โครส 

แต่ว่า มุลเลอร์ ได้แชมป์ไป 2 หน ส่วนอดีตเพื่อนร่วมทีมเสือใต้ได้ไป 3 หน เกิดขึ้นกับการค้าแข้งที่ เรอัล มาดริด ทั้งหมด

ตอนนี้ในวัย 30 ปี ถือว่ายังเหลือเวลาอีกหลายฤดูกาลที่จะแซงไปยืนหนึ่งในตำแหน่งนี้ได้ และเมื่อมองศักยภาพของ บาเยิร์น มิวนิค ก็อาจจะไปถึงแชมป์ได้อีกด้วย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด