:::     :::

เบื้องหลังความสำเร็จของ บาเยิร์น มิวนิค

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,507
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ภายใต้การดวลเดือดของคู่ชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนนี้ มีไฮไลท์เด็ด ๆ มากมายกระจายอยู่ตลอด 90 นาที และถึงแม้ในท้ายที่สุด เสือใต้จะอาศัยทีเด็ดทีขาดที่คมกว่าเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ แต่ในรายละเอียดของเกมนี้ มีเรื่องน่าสนใจให้พูดถึงมากมาย

1) ถุงมือเทวดาจาก มานูเอล นอยเออร์

ไม่พูดถึงคงไม่ได้จริง ๆ สำหรับลีลาการเซฟประตูที่ถือว่า "โคตรสำคัญ" ของ นอยเออร์ โดยเฉพาะ 3 จังหวะเน้น ๆ ที่ปฏิเสธการยิงของทั้ง เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ซึ่งเราสามารถใช้คำว่า "การเซฟระดับโลก" ได้เลยทีเดียว


ไหนจะบทบาทที่เปรียบเสมือน ลิเบอโร่ ตัวสุดท้ายให้ทีมนั่นอีก นอยเออร์มีส่วนต่อการออกมาหยุดเกมรุก เปแอสเช ได้หลายต่อหลายครั้ง เขาทำให้การพยายามโต้หรือเซตเกมของเปแอสเชตะกุกตะกัก จากสายตาการอ่านเกมและการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม อันเป็น 1 ในกุญแจสำคัญที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค เฉือนเอาชนะไปได้ในที่สุด


นอกจากนี้ นอยเออร์ ยังถือเป็นกัปตันทีมที่มาจากตำแหน่งผู้รักษาประตูคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ได้รับการชูถ้วยใบเขื่องเมื่อจบเกม ต่อจาก อิเคร์ กาซิยาส และ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล


แถมนอยเออร์ยังสามารถรักษาคลีนชีตในนัดชิงชนะเลิศ 2 ถ้วยสำคัญอย่าง ฟุตบอลโลก กับ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกด้วย



2) วาทยกรที่ชื่อ ติอาโก้ อัลคันทาร่า

หากนอยเออร์คือโคตรนายทวารในเกมนี้ ติอาโก้ ก็คือโคตรกองกลางที่เป็นหัวใจสำคัญของชัยชนะเช่นเดียวกัน


❍ จ่ายบอล 85 ครั้ง มากที่สุดในทีม

❍ แย่งบอลคืนมา 7 ครั้ง มากที่สุดในทีม

❍ สร้างโอกาสให้ทีม 2 ครั้ง

❍ ตัดบอล 2 ครั้ง 


ยังไม่รวมการคอนโทรลเกมต่าง ๆ ที่เปรียบได้กับวาทยากรของวงดนตรีคลาสสิค ซึ่งเป็นคนควบคุมจังหวะการเล่นของทีมได้อย่างไร้ที่ติจริง ๆ สายตาการอ่านเกม หรือกระทั่งการชี้นิ้วสั่งการเพื่ิอนร่วมทีมทั้งตอนรุกและรับ ทำให้ ติอาโก้ ได้รับคะแนนความสามารถจาก FotMob สูงถึง 8.0 พร้อมกับยังได้รับเลือกให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากเว็บเก็บสถิติดังกล่าวในเกมนี้อีกด้วย




3) กฏยิงประตูทีมเก่าของ คิงสลี่ย์ โกม็อง

ดาวเตะผิวสีรายนี้เก็บข้าวของเดินออกมาจาก เปแอสเช ตอนอายุ 18 ด้วยเหตุผลที่ว่า "ปารีสไม่มีอะไรให้ผมเรียนรู้อีกแล้ว"


เขาใช้เวลา 6 ปีนับจากนั้น กลับมาทำแสบใส่ต้นสังกัดเก่าชนิดที่สตาร์ดังอย่าง เนย์มาร์ ถึงกับหลั่งน้ำตาตอนจบเกม


เปแอสเช ใช้เงินไปกว่า 820 ล้าน นับตั้งแต่ โกม็อง ย้ายออกมา เพื่อพยายามสร้างทีมไปคว้าแชมป์ยุโรปให้ได้ แต่ตลกร้ายก็คือ พวกเขากลับโดนเด็กปั้นของตัวเองทำประตูชัยในนัดสำคัญ พร้อมกับถีบพวกเขาให้ตกไปเป็นรองแชมป์อย่างน่าเจ็บใจที่สุด


ร้ายกว่านั้น คือตอนที่เขาเสีย โกม็อง ไปให้ยูเวนตุส พวกเขาไม่ได้เงินคืนมาเลยสักเพนนีเดียว




4) วีเออาร์ พา เปแอสเช หัวร้อน

ก่อนหมดเวลา 15 นาที เราได้เห็นวิวาทะเกี่ยวกับเรื่อง วีเออาร์ อีกแล้ว


นั่นคือจังหวะที่ โจชัว คิมมิช พลาดเตะไปที่ส้นเท้าของ คิลเลี่ยน เอ็มบัปเป้ จนร่วง แต่ผู้ตัดสินชาวอิตาเลียนอย่าง ดานิเอลเล่ ออร์ซาโต้ กลับปฏิเสธที่จะเช็ควีเออาร์ในจังหวะนั้น จนทำให้ เปแอสเช พลาดการได้จุดโทษไปอย่างน่าเสียดาย


และนั่น ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมนี้เลยก็ได้ หากเปแอสเชได้จุดโทษจากจังหวะดังกล่าว


5) การเปลี่ยนมาใช้ ฮันซี่ ฟลิค

ข้อสุดท้ายนี้ น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญเลยที่ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค ก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ภายในระยะเวลาแค่ 9 เดือน


ฟลิค รับไม้ต่อจาก นิโก้ โควัช ตอนเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และพาทีมกวาดชัยชนะไปถึง 33 จาก 36 นัด แพ้ไปแค่ 2 และเสมอนัดเดียวเท่านั้น ยิ่งส่องกล้องมองไปที่การยิงประตูในยุคของเขา เราจะยิ่งตกตะลึงมากขึ้น เพราะทีมของฟลิึคเล่นกระซวกตาข่ายไป 116 ประตู เฉลี่ยยิงนัดละ 3 แถมยังเป็นคนที่ช่วยผลักดันนักเตะอีกหลายต่อหลายคนให้เล่นได้อย่างโดดเด่นขึ้นมา อาทิ อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์, ติอาโก้, แซร์จ นาร์บี้, อิวาน เปริซิซ เป็นต้น 


เว็บไซต์จอมเก็บสถิติอย่าง Squawka คำนวณเล่น ๆ ว่า ฟลิคนั้นสามารถพาทีมเป็นแชมป์ได้ในทุก ๆ 12 เกม แถมการเป็นแชมป์ยุโรปหนนี้ ยังเป็นการคว้า เทรปเปิ้ล แชมป์ ที่ทำให้แฟน ๆ นึกถึงยุคของปู่จุ๊ปป์กลาย ๆ เลยทีเดียว


ฟลิค เองเคยผิดหวังในถ้วยนี้มาแล้วสมัยเป็นนักเตะ โดยเขาอยู่ในชุดที่บาเยิร์น แพ้ ปอร์โต้ เมื่อปี 1987 แต่สามารถแก้มือได้ในปีนี้บนหัวโขนการเป็นโค้ช ซึ่งระบบการเล่นที่เขาฝังให้ลูกทีมนั้นกลายเป็นว่าเปลี่ยนจากทีมที่น่ากลัวอยู่เป็นทุนเดิม ให้กลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาในทุกภาคส่วนของสนาม


ประตูเก่ง กองหลังแน่น กลางสมดุล และเกมรุกดุดันขั้นสุด


ดังนั้น กุญแจสำคัญที่ทำให้บาเยิร์นกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกในฤดูกาลนี้ คงต้องยกเครดิตเกินครึ่งให้กับผู้ชายคนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ


ฮันส์ ดีทเตอร์ ฟลิค

ชายผู้ก้าวข้ามจาก Nobody มาเป็น Legendary ได้ในห้วงเวลาเพียง 9 เดือน


ขอคารวะและกระแทกมือให้จากก้นบึ้งหัวใจ




ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด