:::     :::

ปืนใหญ่สไตล์บราซิเลียน (ตอน 1)

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล ในช่วง 20-25 ปีหลังมีนักเตะต่างชาติย้ายมาร่วมทีมจำนวนมากและ "บราซิล" คือหนึ่งในกลุ่มนักเตะที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเล่นให้ปืนใหญ่มากพอสมควรโดยเฉพาะกับทีมชุดปัจจุบัน

2 ผู้เล่นใหม่ของ อาร์เซน่อล ในซัมเมอร์นี้ต่างเป็น "บราซิเลียน" ไม่ว่าจะเป็น วิลเลี่ยน ปีกจอมเก๋าที่ได้ฟรีมาจาก เชลซี และ กาเบรียล มากัลเญส เซนเตอร์อนาคตไกลที่ดึงมาจาก ลีลล์ ในลีก เอิง ฝรั่งเศส

เมื่อรวมกับดูโอต่างวัย ดาวิด ลุยซ์ และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ที่ย้ายมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนก็ทำให้ตอนนี้ อาร์เซน่อล มีก๊วนแซมบ้าในทีมมากถึง 4 คน มากกว่าต่างชาติอื่นๆ ในทีมตอนนี้ แม้กระทั่งฝรั่งเศสที่เคยเป็นขาใหญ่มาหลายยุคหลายสมัย 

เราจะย้อนกลับไปดูกันว่าในอดีตที่ผ่านมา มีนักเตะสายพันธุ์แซมบ้าคนใดบ้างที่เคยมาเล่นให้ อาร์เซน่อล และฝากผลงานอะไรให้แฟนบอลได้จดจำกันบ้าง 


ซิลวินโญ่ (1999-2001)

ลงเล่นทั้งหมด : 72 นัด 

อาร์แซน เวนเกอร์ ดึงตัว ซิลวินโญ่ มาจาก โครินเธียนส์ ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์เพื่อเป็นแบ็กอัพให้กับ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น ที่โรยราเต็มที โดยกลายเป็นนักเตะบราซิเลียนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เล่นให้ อาร์เซน่อล 

ซิลวินโญ่ เป็นตัวหลักให้ทีมตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ลงเล่นมากกว่า 40 นัดจากทุกรายการ พาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า คัพ ก่อนพ่ายจุดโทษต่อ กาลาตาซาราย ทำให้ได้เพียงรองแชมป์อย่างน่าเสียดาย


แม้รูปร่างเล็กและผอมบาง แต่ ซิลวินโญ่ ก็มีจุดเด่นที่ความคล่องตัว เติมเกมรุกอย่างเป็นธรรมชาติ และมีความขยัน เป็นมิติการเล่นที่แตกต่างจากวินเทอร์เบิร์น และหนึ่งในภาพจำของแฟนบอลคือลูกยิงติดไซด์ก้อยสุดเฉียบในเกมพบ เชลซี 

ฤดูกาลที่สอง ซิลวินโญ่ ยังทำได้ดีจนติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ทว่าการก้าวขึ้นมาอย่างน่าจับตามองของ แอชลี่ย์ โคล ก็เป็นสิ่งที่ เวนเกอร์ ไม่อาจมองข้ามได้ ทำให้ท้ายที่สุด เวนเกอร์ จำต้องปล่อยแบ็กสายพันธุ์แซมบ้าไปให้ เซลต้า บีโก้ ก่อนย้ายไปคว้าแชมปยุโรป 2 สมัยกับ บาร์เซโลน่า  

ความสำคัญของ ซิลวินโญ่ กับการเล่นให้ อาร์เซน่อล คือการเป็น "รอยต่อ" ระหว่างยุคของ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น กับ แอชลี่ย์ โคล ที่ทำให้ตำแหน่งแบ็กซ้ายของทีมไม่ขาดตอน


ฮวน (2001-2003)

ลงเล่นทั้งหมด : 2 นัด

ฮวน หรือ ฮวน มัลโดนาโด้ ไฮเมซ ย้ายจาก เซา เปาโล มาร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 2001 หลังการย้ายออกไปของ ซิลวินโญ่ 

เขาได้ลงเล่นให้ อาร์เซน่อล เพียง 2 นัดในฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ซึ่งนัด 2 ที่ลงเล่นหรือเป็นนัดสุดท้าย ฮวน ทำได้ดีทีเดียวในการเล่นตัวรุกฝั่งซ้ายและเป็นคนเลี้ยงลุยก่อนจ่ายให้ เรย์ พาร์เรอร์ ซัดปิดท้ายชนะ จิลลิงแฮม 5-2 ในเอฟเอ คัพ 

น่าเสียดายที่ ฮวน ได้ลงเล่นให้ อาร์เซน่อล เพียงแค่นั้น เขาได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2002 และทำให้ชีวิตค้าแข้งในทีมปืนใหญ่จบสิ้นลง ขณะที่รูปร่างอันที่สูงเพียง 5  ฟุต 5 นิ้วก็ทำให้เขาถูกมองตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่น่าแจ้งเกิดได้กับการเล่นในพรีเมียร์ลีก 


ฮวน ถูกปล่อยให้ มิลล์วอลล์ ยืมใช้งานก่อนย้ายกลับบ้านเกิดร่วมทีม ฟลูมิเนนเซ่ ต่อด้วย ฟลาเมงโก้ และ เซา เปาโล ซึ่งช่วงนี้เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนกระทั่งก้าวขึ้นไปติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ 2 นัดในปี 2008 

แข้งร่างเล็กที่เล่นได้ทั้งตรงกลางและริมเส้นฝั่งซ้ายเพิ่งแขวนสตั๊ดไปเมื่อปีที่แล้วกับ เบาวิสต้า ทีมในระดับดิวิชั่น 4 ของบราซิล 


เอดู (2001-2005)

ลงเล่นทั้งหมด : 127 นัด 

เอดู เกือบได้ย้ายมาเล่นให้ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ปี 2000 แต่พบว่าเขาถือพาสสปอร์ตปลอมของโปรตุเกส แต่เมื่อเคลียร์ทุกอย่างลงตัว เขาก็ย้ายมาร่วมงาน อาร์แซน เวนเกอร์ ในอีกหนึ่งปีถัดมาซึ่งท้ายที่สุดก็นับว่าเป็นการรอคอยที่คุ้มค่าทีเดียว

อดีตแข้งโครินเธียนส์ ย้ายมาในต้นปี 2001 ก่อนเริ่มต้นได้ดั่งฝันร้ายลงเล่นเป็นสำรอง 15 นาทีในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ได้รับบาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนออก พอหายเจ็บกลับมาได้ลงเล่นอีก 4 นัดในครึ่งฤดูกาลแรกกับทีม

ฤดูกาลต่อมา เอดู มีบทบาทกับทีมมากขึ้นด้วยการลงเล่น 14 นัดในลีก และลงเป็นสำรองในเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศที่ชนะ เชลซี 2-0 ถือว่ามีส่วนสำคัญในการคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองและเป็นนักเตะบราซิเลียนคนแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก


ความสำคัญของ เอดู กับ อาร์เซน่อล คือการเป็นอะไหล่ชั้นดีในตำแหน่งกองกลางตัวรับ ฤดูกาลต่อมา เวนเกอร์ ดึง จิลแบร์โต้ ซิลวา มาจับคู่กับ ปาทริค วิเอร่า แต่ เอดู ก็ได้สลับสับเปลี่ยนลงเล่นอยู่บ่อยครั้งในช่วงที่ วิเอร่า บาดเจ็บและติดโทษแบน  

ฤดูกาล 2003-04 ที่ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไร้พ่ายคือฤดูกาลที่ดีสุดของ เอดู จากการลงเล่นให้ทีมเกือบ 50 นัดในทุกรายการ และฤดูกาลต่อมาก็พาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ ส่งท้ายก่อนย้ายไป บาเลนเซีย ในซัมเมอร์ 2005 

ปัจจุบัน เอดู กลับมาทำงานให้ อาร์เซน่อล ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนแรกของสโมสรซึ่งบทบาทที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวในการสนับสนุนการทำงานของ มิเกล อาร์เตต้า 


จิลแบร์โต้ ซิลวา (2002-2008)

ลงเล่นทั้งหมด : 244 นัด 

จิลแบร์โต้ ซิลวา คือแข้งแซมบ้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาลของ อาร์เซน่อล เขาอยู่ในยุคยิ่งใหญ่ของทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่าย และสร้างมาตรฐานการเล่นอันยอดเยี่ยมชนิดที่ไม่มีใครทดแทนได้ 

ผลงานในการเป็นผู้ปิดทองหลังพระช่วยให้ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์โลก 2002 ทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ดึงตัว จิลแบร์โต้ ซิลวา มาจาก อัตเลติโก มิเนโร่ ในลีกบราซิล ด้วยค่าตัวเพียง 4.5 ล้านปอนด์

จิลแบร์โต้ เข้ามาจับคู่กับ ปาทริค วิเอร่า ได้อย่างลงตัว ไม่แพ้ช่วงที่ วิเอร่า ประสานงานกับ เอ็มมานูเอล เปอตีต์ โดยทำหน้าที่คอยซ้อนหลัง "กัปตันปั๊ต" ที่ได้อิสระในการช่วยเกมรุกมากขึ้น 

ด้วยการเล่นที่มีวินัย อ่านเกมแม่นยำในการตัดบอล ทำให้การเล่นเกมรับของ "น้าจิล" ไม่ได้ทำฟาวล์พร่ำเพรื่อ และอยู่ถูกที่ถูกทางตลอดในจังหวะทำลายเกมรุกคู่แข่งจนทำให้ได้รับฉายา "กำแพงล่องหน" (Invisible Wall) 


กองกลางดีกรีแชมป์โลกเกือบพาทีมได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2006 แต่พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า หวุดหวิด 1-2 ในรอบชิงชนะเลิศ จากนั้นเล่นให้ทีมอีก 2 ฤดูกาลก่อนย้ายไป พานาธิไนกอส 

ว่ากันว่าการปล่อยตัว จิลแบร์โต้ ซิลวา ออกไปในปี 2008 คือหนึ่งในการตัดสินใจผิดพลาดของ เวนเกอร์ เพราะแม้ "น้าจิล" จะอายุย่าง 32 ปีในตอนนั้น แต่ประสิทธิภาพในการเล่นไม่ได้ดร็อปลงไปมากนัก 

แดนกลาง อาร์เซน่อล หลัง จิลแบร์โต้ ซิลวา ย้ายออกไปถือว่าห่างไกลกับคำว่าสมบูรณ์แบบ และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครสามารถเล่นในระดับที่ "กำแพงล่องหน" จากแดนแซมบ้าสร้างเอาไว้ได้เลย


ชูลิโอ บาปติสต้า (2006-2007)

ลงเล่นทั้งหมด : 35 นัด 

ชูลิโอ บาปติสต้า เป็นนักเตะที่ อาร์แซน เวนเกอร์ หมายตาเอาไว้ตั้งแต่สมัยเล่นให้ เซบีย่า ก่อนได้ร่วมงานกันในฤดูกาล 2006/07 หรือฤดูกาลแรกที่ย้ายสังเวียนเหย้าจาก ไฮบิวรี่ มาเล่นที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

ในซัมเมอร์ 2006 เวนเกอร์ ปรับแนวรุกใหม่หลังการแขวนสตั๊ดของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ และการย้ายออกไปของ โรแบร์ ปิแรส ขณะที่ อันโตนิโอ เรเยส มีปัญหาเรื่องการปรับตัวในอังกฤษ บาปติสต้า จึงถูกดึงมาร่วมทีมด้วยสัญญายืมตัว ขณะที่ เรเยส ได้ย้ายสวนทางไปเล่นใน ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ด้วยสัญญายืมตัวเช่นกัน

ฟอร์มการเล่นในพรีเมียร์ลีกของแข้งร่างใหญ่ไม่ดุดันมากนักเพราะทำได้เพียง 3 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์จาก 24 นัด ทว่าทำได้ดีในบอลถ้วยลีก คัพ ที่กดไป 6 ประตูโดยมีนัดแห่งความทรงจำซัลโวคนเดียว 4 ประตูพาทีมบุกชนะ ลิเวอร์พูล 6-3 ส่วนอีก 2 ประตูเกิดขึ้นในรอบตัดเชือกกับ สเปอร์ส


ในฤดูกาลนั้น บาปติสต้า ช่วยให้ อาร์เซน่อล ผ่านเข้าชิงชนะเลิศลีก คัพ ได้สำเร็จ ทว่าพ่ายต่อ เชลซี 1-2 ในเกมที่ เวนเกอร์ เลือกใช้บริการดาวรุ่งและสำรองเหมือนเช่นทุกรอบที่ผ่านมา ขณะที่ เชลซี ใช้งานชุดใหญ่เต็มอัตราศึกนำโดยคู่กองหน้า ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา กับ อันเดร เชฟเชนโก้

เวนเกอร์ ต้องการเซ็นสัญญาถาวรกับ บาปติสต้า แต่ไม่สามารถสู้ราคาที่ เรอัล มาดริด ตั้งเอาไว้ได้ทำให้ได้ร่วมงานกันเพียงฤดูกาลเดียว โดยแข้งเจ้าของฉายา "อสูรร้าย" ลงสนามทั้งหมด 35 นัดจากทุกรายการ ทำได้ 10 ประตู

"ผมอำลาสโมสรในช่วงเวลาที่ดีสุดของตัวเอง ผมปรับตัวเข้ากับชีวิตใน ลอนดอน ได้แล้ว และภาษาอังกฤษของผมก็ดีขึ้นตามลำดับ แต่สิ่งแย่คือ ผมอยู่กับทีมในสัญญายืมตัวและท้ายที่สุด อาร์เซน่อล ไม่สามารถจัดการให้ผมย้ายถาวรได้เพราะพวกเขาสู้ค่าตัวที่ เรอัล มาดริด ตั้งเอาไว้ไม่ไหว" บาปติสต้า เล่าถึงช่วงเวลานั้น 

(โปรดติดตามในตอนที่ 2)


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด