:::     :::

"ไดนาโมคู่เพลิงน้ำแข็ง" VDB & Mctominay หลักประกันระยะยาวปีศาจแดง

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
5,938
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การเข้ามาของฟานเดอเบค ไม่ได้จะมาเพื่อฆ่าเด็กปั้นสโมสรอย่างแม็คโทมิเนย์แล้วแย่งตำแหน่งไป แต่กลับกัน ดอนนี่มาเพื่อเป็นคู่หูระยะยาวที่จะเป็นแกนหลักอันแข็งแกร่งในแดนกลางของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในอีกหลายปีข้างหน้า

ในขณะที่บทความนี้อัพขึ้นให้ได้อ่านกัน ก็เป็นวันแรกของซีซั่น 2020/21 ที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกำลังจะเปิดโอลด์แทรฟฟอร์ดลงทำศึกสำคัญกับคริสตัลพาเลซในเวลา 23.30 น. ตามเวลาในบ้านเรา ขอเปิดคอลัมน์เพื่อเริ่มต้นซีซั่นอย่างเป็นทางการ

ซึ่งสิ่งน่าสนใจประเด็นหนึ่งที่จะนำมาพูดถึงนี้มันคือเรื่องการเข้ามาในทีมของ Donny van de Beek ที่มาเติมคุณภาพเชิงลึกให้กับแผงมิดฟิลด์เราเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ประโยชน์ของการซื้อตัวเขาเข้ามา มันจะไม่ได้มีเพียงแค่เพื่อเป็นตัวสำรองเผื่อว่าป็อกบาหรือบรูโน่เจ็บอย่างแน่นอน เพราะจริงๆแล้วฟานเดอเบคสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นเยอะในแผนการเล่นของโซลชา แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่หลายๆคนมองข้ามไป นั่นก็คือประเด็นเรื่องราวของ "สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์" ที่ว่า โอกาสในการลงเล่นของเขาจะเกิดปัญหาหรือไม่ และเข้ามาแล้วบดบังแย่งตำแหน่งกันเองรึเปล่านั้น บทความนี้จะเป็นคำตอบทั้งหมดที่"ตรงกันข้าม"กับสิ่งที่หลายๆคนกังวลด้วยซ้ำ

1. โอกาสแย่งตำแหน่งมีเพียงแค่ "1ใน3" จริงหรือ?

ประเด็นแรกสุดก็คือ ฟานเดอเบคเข้ามาแล้ว นั่นแปลว่าโอกาสของน้องแม็คยิ่งน้อยตามลงไปอีก เพราะว่า 3 slots ในพื้นที่กลางสนามตามปกติแล้วก็จะเป็นของสองสุดยอดมิดฟิลด์ตัวรุกอย่าง ป็อกบา กับ บรูโน่ ไปแล้วเสีย2ที่ นั่นก็คือแปลว่าจะเหลือที่ว่างที่เดียวให้แย่งกันระหว่าง4มิดฟิลด์อย่าง แม็ค เฟร็ด มาติช และ ดอนนี่ ใช่หรือไม่

คำตอบคือ "ไม่ใช่"

ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนัดคริสตัลพาเลซนี่แหละที่ก็ไม่มีคนรู้ว่าสุดท้ายแล้วโอเล่จะส่งใคร และป็อกบาจะฟิตลงทันหรือไม่เพราะมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ "สถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่านักเตะคนไหนจะพร้อมหรือไม่พร้อมบ้าง" เพียงแค่เริ่มต้นนัดแรกของซีซั่นพวกคุณก็ได้สัมผัสมันด้วยตาตัวเองแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ 3 slots ที่ถูกจองโดยป็อกบา กับ บรูโน่ แต่อย่างใด

แต่มันคือ "3 โอกาส" สำหรับมิดฟิลด์ทุกคนในทีมต่างหาก

เพราะตอนนี้มีโอกาสที่ป็อกบาอาจจะไม่ได้ลง11ตัวจริงก่อนตั้งแต่แรก ดังนั้นมันก็จะเหลือพื้นที่ 3 ให้กับ 5มิดฟิลด์ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า ทันทีที่มี1คนในแผงกลางไม่พร้อม พื้นที่ในการแย่งตำแหน่งกันจะ "ง่ายขึ้นมาก" มันก็จะเหลือ 3ที่ต่อ5คน คล้ายๆเก้าอี้ดนตรี ซึ่งจะมีแค่ 2คนเท่านั้นเองที่ไม่ได้ลงเป็นตัวจริง

แต่ถามว่า ฟุตบอลมันจะเล่นกันแค่ 3มิดฟิลด์ที่ว่านั้นไปตลอดทั้งเกม90นาทีหรือไม่ ก็ไม่อีกนั่นแหละ

ดังนั้นมันจึงต้องมีการเปลี่ยนตัวอย่างแน่นอนระหว่างเกม ซึ่งต้องมีการสลับเปลี่ยนกันลงไปเล่นบ้าง นั่นก็แปลว่าอย่างต่ำๆ 5คนที่เหลือที่ลงไป3 นั่งข้างสนาม2

1ใน2ข้างสนาม ได้ลงเล่นชัวร์ๆตามปกติวิสัย และถ้ามีอะไรเพิ่มเติมอีก คนที่เหลืออีกคนก็อาจจะได้ลงไปด้วยถ้าจำเป็น

ดังนั้นจะเห็นว่าจากการจำลองสถานการณ์เบื้องต้นเอาไว้คร่าวๆว่า ถ้า1ใน6มิดฟิลด์ของเรา มีตัวที่ไม่ฟิตสมบูรณ์พร้อมจะลงสนามได้คนเดียว การแย่งตำแหน่งกันในแผงกองกลางจะกลายเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมากๆ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การที่ 4คนอย่าง แม็คเฟร็ดมาติชดอนนี่ จะต้องมาแย่งเก้าอี้ตัวเดียวกันเสมอไป

ได้ยินงี้แล้วเฮียสบายใจจริง

แต่กลับกัน 6คนนี้ต่างหากที่มี3เก้าอี้ที่ต้องคอยสลับหมุนเวียนกันลงอย่างสมดุลต่างหาก จึงจะตรงกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด และนี่แค่เพียงนัดเดียวในลีกด้วยซ้ำ คุณยังมี "เกมกลางสัปดาห์" ให้ลงอีกไม่ว่าจะเป็นเกมยุโรป หรือบอลถ้วยในประเทศ

คิดง่ายๆว่า คุณจะให้นักเตะแค่ป็อกบา บรูโน่ มันวิ่งในเกมวันเสาร์แล้ว จะจับมันลงวิ่งต่อทั้งคู่ในคืนวันพุธอีกหรือไม่ ถ้าเพื่อรักษาความสดของนักเตะเอาไว้ใช้ให้ได้ตลอดฤดูกาล คุณควรจะต้องพักrotationนักเตะจึงจะดีที่สุด ยิ่งเป็นตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ภาคการเล่นจริงๆในสนามนั้นถือว่าเป็นตำแหน่งที่ใช้พลังงานและร่างกายในการเล่นเยอะที่สุดกว่าแอเรียอื่นๆ ยิ่งต้องสลับกันลงเล่นไปใหญ่

หวังว่ายังคงจะไม่ลืมว่า คู่แม็คเฟร็ด ต้องแบกกองกลางของทีมเอาไว้แบบกระดูกแทบจะป่นทุกนัดตลอดฤดูกาล กว่าที่จะมีบรูโน่กับป็อกบากลับมาช่วยในภายหลัง

2. น้องแม็คไม่ได้ถูกแย่งตำแหน่ง แต่VDBเข้ามาเพื่อจับคู่กันระยะยาว

ประโยคนี้ชัดเจน และเป็นจริงในระดับที่อาจจะพูดว่าfactเลยก็ว่าได้ เพราะหลายๆคนยังคงมองแต่ว่า กองกลางเราคนอื่นๆโอกาสลงสนามจะน้อยลงๆ แต่นั่นคือการมองโดยที่เอาฟานเดอเบคเป็นตัวตั้งว่า จะต้องให้เขาลงได้แค่คนเดียว เพราะอีกสองที่คือ ป็อกบา บรูโน่ ป็อกบา บรูโน่ แค่นี้ ซึ่งนั่นคือมายาคติที่ผิดโดยสิ้นเชิง

เพราะดังที่กล่าวเอาไว้ในหัวข้อที่1.แล้วว่า ไม่มีทางที่ ป็อก-บรู จะลงเป็นตัวจริงคู่กันทุกนัดได้ขนาดนั้น อาจจะต้องพยายามเซฟเอาไว้ใช้ในนัดที่ยากๆด้วยซ้ำ ดังนั้นโอกาสในพื้นที่3ตำแหน่งกองกลางยังเปิดกว้างอยู่

ซึ่งนั่นหมายความว่า ดอนนี่ กับ แม็ค อาจไม่ได้ต้องแย่งตำแหน่งกันเอง เพราะน้องอาจจะได้ลง"พร้อมกัน"ก็ได้

สิ่งนี้ผมเคยเขียนเอาไว้ในโพสต์ของแฟนเพจศาลาผีเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ขยายความมากนัก เพราะทุกคนจะยังไม่เห็นภาพ แต่หากใครที่ได้ติดตามข่าวการลงปรีซีซั่นอุ่นเครื่องกับแอสตันวิลล่าบ้าง หากเห็นไลน์อัพวันนั้นคุณจะต้องคิดตามบทความนี้ทันทีว่า เพียงแค่นัดแรกเท่านั้นของการลงอุ่นเครื่องให้แมนยู  VDBก็ต้องลงยืนเป็นคู่กลางแบบdouble pivot กับ Mctominay เลยทันทีนับตั้งแต่เกมแรกแบบไม่เป็นทางการ

ดังนั้นเรื่องการยืนคู่กันนี้ผมเชื่อว่าแฟนผีจะได้เห็นแบบนี้บ่อยครั้งในสนามแน่นอนจากการrotationและปรับแผนในแต่ละเกม

ผมค่อนข้างเชื่อและมั่นใจว่า ดอนนี่ กับ แม็คโทมิเนย์ จะกลายเป็น "คู่มิดฟิลด์" ตัวหลักของเราอย่างแน่นอนในอนาคตระยะยาวตรงแดนกลาง เพราะหลายคนไปโฟกัสอยู่แต่ที่ตัวของดอนนี่คนเดียวว่า เขาจะลงตรงไหน เขาจะเล่นอะไรได้บ้าง และลงแทนที่ใคร ฯลฯ แต่ไม่ได้มองว่าเขาเหมาะจะจับคู่กับใคร จากเคสที่น่าเป็นห่วงนักเตะเก่าอย่างแม็คว่าจะอดลงเล่น โดนเบียดบังตำแหน่ง

แต่ตรงข้าม แม็คโทมิเนย์กลับจะได้ประโยชน์จากการเข้ามาของVDBแบบเต็มๆ

สิ่งที่ทั้งสองคนแตกต่างกันนั่นก็คือเรื่องราวของแนวทางการเล่นที่แม็คโทมิเนย์ค่อนข้างที่จะเป็นสายปะทะที่มีมิติเกมป้องกันอันแข็งแกร่ง ส่วนทางด้านดอนนี่ ฟานเดอเบคนั้น เป็นมิดฟิลด์เชิงรุกอย่างแท้จริง

พลังงานมหาศาลสองขั้วที่มีความแตกต่างกัน มันก็เหมือนขั้วไฟน้ำแข็งที่ถูกจับมาประกบกันเพื่อสร้างคู่มิดฟิลด์ไดนาโมสายทำลายล้างกลางสนามนั่นเอง

Flazzard ถูกใจสิ่งนี้

ถ้าให้นึกภาพออกง่ายๆก็น่าจะเหมือนยุคที่เรามีพอล สโคลส์ กับ รอย คีน ซึ่งทั้งสองคนนี้ก็เป็นกลางรุก กับกลางรับเช่นกัน และเราไม่ได้จะบอกว่า ดอนนี่กับแม็ค จะเก่งเหมือนสโคลส์กับคีน แต่มันมีมิติอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกได้ว่ามันจะคล้ายๆแบบนั้น ถ้าให้อธิบายน่าจะบอกว่า "vibe มันได้" บรรยากาศมันคล้ายๆกับคู่คีนสโคลส์มั้งในเรื่องของความรู้สึก แต่แน่นอนว่า สไตล์การเล่นของ ดอนนี่แม็ค ต่างกับ คีนสโคลส์อย่างสิ้นเชิงเพราะว่าเล่นกันคนละยุค

ดอนนี่ กับแม็คโทมิเนย์นั้นทั้งคู่เป็นมิดฟิลด์สายall-aroundแบบสมัยใหม่ที่ทำหน้าที่ได้หลายๆอย่าง และรับผิดชอบหน้าที่เยอะขึ้นมากในสไตล์ของ Box to Box ซึ่งน้องแม็คเนี่ย B2Bชัดเจนอยู่แล้ว ขึ้นสุดลงสุด แต่ทำได้ดีในเกมปะทะเอาชนะกันกลางสนาม

แต่ส่วนของฟานเดอเบคนั้น ที่เขาสามารถเล่นBox to Box ได้เพราะว่าความสามารถรอบด้านมันล้นเหลือ พลังงานการเล่นที่เต็มเปี่ยมจนสามารถวิ่งพล่านได้ทุกจุด และทุกหน้าที่ไม่ว่าจะเกมรับ / เกมรุก / หรือการคอนโทรลเกมลักษณะของการโฮลดิ้งก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จริงๆแล้วที่ถนัดที่สุดสำหรับฟานเดอเบคนั่นก็คือการเติมเกมรุก ที่จะทำได้ดีกว่าน้องแม็คหน่อย เพราะตำแหน่งที่ดีที่สุดจริงๆของVDBคือ Attacking Midfielder ที่เป็น"มิดฟิลด์แท้"แต่ว่าเติมเกมรุกได้ดีมากๆในขณะที่มิติของกองกลางยังมีอยู่ครบถ้วน

ซึ่งเมื่อทั้งสองคนมีความแตกต่างกันแล้วนั้น มันย่อมที่จะสามารถไปด้วยกันได้ยาวๆ เพราะต่างฝ่ายต่างเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้กันได้ทั้งคู่ไม่ว่าจะมิติไหนๆ เพราะแม้แต่แม็คเองยังเติมสูงขึ้นไปหาช่องยิงได้เหมือนกัน มันก็เหมือนหยินหยางที่อยู่คู่กัน เพราะหากว่าทั้งสองคนมีสไตล์การเล่นเหมือนกันเป๊ะๆนั่นแหละ อันนั้นค่อยน่าเป็นห่วงหน่อย แต่นี่ไม่ใช่

สิ่งทีน่าสนใจก็คือ ทั้งแม็คและดอนนี่คือเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันที่ตอนนี้อายุ23ปีเท่ากันทั้งคู่เป๊ะๆ ด้วยอายุยังน้อย และการเล่นที่น่าจะจับคู่กันได้สบายๆและเติมพลังงานให้กลางแมนยูเต็มเปี่ยมไปด้วยทั้ง powerและperformance ดังนั้นผมจึงมองว่า ในยามที่สักวันนึงในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า อาจจะสัก4-5ปี หากว่าป็อกบาหรือบรูโน่ถดถอยลงไป หรือไม่อยู่ในทีมแล้ว คู่ดอนนี่กับแม็คนี่แหละที่จะยืนเป็น "คู่กลางแห่งอนาคต" ที่จะเป็นแกนหลักของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปอีกระยะยาวมากได้อย่างแน่นอน ซึ่ง5ปีข้างหน้าสองคนนี้ก็จะ28พอดี

นั่นคือช่วงพีคที่สุดของตำแหน่งมิดฟิลด์แล้ว ด้วยประสบการณ์และฝีเท้าที่พัฒนาไปจนถึงขีดสุด ลองนึกสภาพสองคนนี้พีคพร้อมกันแล้วขนลุก นี่ก็ตั้งตารอดูอยู่เหมือนกันว่าจะสร้างตำนานคู่กลางคล้ายๆคีนสโคลส์ได้ไหม ผมว่าpotentialของสองคนนี้มีพอจะไปถึงจุดนั้นได้ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เหมือนคู่คีนสโคลส์เป๊ะๆ แต่พีคได้เหมือนกัน

3.การเติมเต็มทั้งคุณภาพและปริมาณใน Depth Chart จะทำให้ทีมมีฟอร์มการเล่นสม่ำเสมอ

3.1 Depth Chart

ข้อสามนี้สำคัญที่สุดยิ่งกว่าเหตุผลใดๆเลยในการที่เราซื้อดอนนี่ ฟานเดอเบคเข้ามา นั่นก็คือเรื่องของsquad depth ที่คุณจะเห็นได้ทันทีจาก depth chart แบบคร่าวๆว่า ทำไมตอนนี้ตรงกลางของเราจึงสมบูรณ์พร้อมยิ่งกว่าทีมอื่นขนาดไหน

เปรียบเทียบdepthของแต่ละตำแหน่งตรงนี้โดยการยึดโยงกับแผนการเล่นปัจจุบันของทีมที่มีอยู่สองแผนหลัก ณ ปัจจุบันเท่าที่โอเล่ใช้ก่อน (ยังไม่พูดถึงแผนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตนะ) ซึ่งก็มี 4-2-3-1 กับ 3-5-2 ซึ่งก็มีตำแหน่งต่างๆในแผงมิดฟิลด์ที่มีความลึกเป็นดังนี โดยที่จะรวมเอาตัวสำรองคนอื่นที่ลงในตำแหน่งเหล่านี้อย่างเช่น Mata / Lingard / Pereira / TFM / Tuanzebe  มารวมด้วยให้เห็นว่าsquad depthกองกลางมันเยอะขนาดไหน โดยที่นับพวกหลังนี้เป็นตัวเสริมก็ได้

depthของมิดฟิลด์ทุกหน้าที่ในสูตร 4-2-3-1 และ 3-5-2

Deep-Lying Playmaker  : Pogba / Matic / van de Beek / Fred

Half-Back   : Matic / Mctominay / Fred / Fosu-Mensah / Tuanzebe

Ball-Winning Midfielder : Mctominay / Fred / Matic / Fosu-Mensah

Box to Box Midfielder  : Mctominay / Fred / van de Beek

Central Midfielder : Pogba / van de Beek / Fred / Mctominay / Matic / Bruno / Pereira

Attacking Midfielder : van de Beek / Bruno / Pogba / Mata / Lingard

Advance Playmaker : Bruno / Pogba / van de Beek / Mata / Pereira / Lingard

Depth Chart By ศาลาผี

คำอธิบายหน้าที่ในแผนการเล่นของแมนยูของบทบาทเหล่านี้ก็คือ

DLP เพลย์เมคเกอร์ตัวต่ำ ตัวโฮลด์บอล เปิดบอลจากแนวลึก สร้างสรรค์เกมได้ แน่นอนป็อกกับฟานเดอเบคเล่นได้แน่ๆ ส่วนมาติชก็เล่นได้เช่นกัน

Half-Back กลางต่ำที่จะลงไปตั้งshapeหลัง3 เป็นกองหลังชั่วคราว และตั้งเกมจากแดนหลังในสูตรเรา มาติชยืนหนึ่ง เฟร็ดก็สามารถเล่นได้ ในขณะที่แม็คนี่แทบจะลงไปเป็นกองหลังถาวรยังได้เลย

Ball-Winning ตัวแย่งชิง ตัวตัดบอลกลางสนาม จะไม่เห็นชัดเจนเท่าไหร่แต่จะรวมเอาไว้ใน B2Bของแผนเรา แต่ก็มีให้เห็นหน้าที่นี้ในทีมอยู่ตลอด ตัวชิงบอลเก่งๆมี แม็ค เฟร็ด และมาติชในวันที่ฟิตๆสดๆ พี่แกก็วิ่งเอาเรื่องอยู่นะ แถมยังใช้TFMมาเป็นตัวกวาดแถมได้อีกตัวด้วยถ้าต้องการ

B2B ตัวลูกหาบที่เติมการเล่นทุกจุดในสนามและซัพพอร์ตตัวรุก ขึ้นสุดกรอบลงสุดกล่อง แน่นอนว่า แม็ค ฟดบ เฟร็ด ยืนหนึ่งเรื่องปิ้งย่าง

แม็คเฟร็ด แบกทีมคู่กันด้วยการเล่นBox to Box ในลักษณะdouble pivotหน้าแผงหลังเรา พาทีมฝ่าวิกฤตมาแล้วในซีซั่นก่อน

CM มิดฟิลด์คุมพื้นที่ตรงกลางสนามเพื่อรักษาทรงการเล่นไว้ เป็นศูนย์กลางการออกบอลต่อบอล เชื่อมเกมเป็นหลัก ตัวที่ทำได้มีแทบจะทั้งทีม 6คนหลักๆในแดนกลางของเราสามารถเล่นCMได้หมดนะจริงๆแล้ว อลังการมาก ซึ่งเป็นหน้าที่สมดุลที่มีอยู่ในแผนการเล่น

AM ตำแหน่งนี้อย่าสับสนระหว่าง มิดฟิลด์ตัวรุก กับ เพลย์เมคเกอร์ มันคนละหน้าที่กัน เพราะว่าAMจะยังคงเล่นด้วยการรักษาหน้าที่ของมิดฟิลด์อยู่เป็นหลักๆ ชื่อก็บอกอยู่ว่ามิดฟิลด์ ดังนั้นการลงต่ำมากลางสนามเพื่อคอนโทรลบอล รักษาสมดุลพื้นที่ต้องทำได้ แต่ขณะเดียวกัน เกมรุกก็ห้ามขาด คนที่เล่นได้ก็คือ ป็อกบา บรูโน่ ดอนนี่

Advance Playmaker (ตัวนี้ผมไม่ค่อยเห็นเขาใช้ตัวย่อกันเลยต้องเขียนเต็มๆ) นั่นก็คือเพลย์เมคเกอร์ตัวแอดวานซ์ที่ทำทุกอย่างตั้งแต่สอดไปสนับสนุนกองหน้า ถ่างออกปีก รวมถึงเติมไปยิงเอง แน่นอนว่า บรูโน่ป็อกบาเรารู้ดีอยู่แล้วว่าสองคนนี้ตำแหน่งและการเล่นมันใช่เลย โดยเฉพาะป็อกบาในยามที่เล่นอย่างอิสระไม่ต้องคุมพื้นที่มิดฟิลด์ สกิลมันโหดมากๆ แต่ขณะเดียวกัน ฟานเดอเบคก็สามารถจะช่วยเล่นเป็นเพลย์เมคเกอร์ให้ทีมได้ เพราะทักษะก็มีไม่แพ้ใคร

*และตรงนี้สำคัญว่า อย่าลืมเรามีนักเตะในทีมคนอื่นๆอีกที่ไม่ใช่กลาง6ตัวหลัก เพราะว่า Mata , Pereira ,Lingard ยังสามารถช่วยลงเล่น(ในยามจำเป็นจริงๆ)ในหน้าที่playmakerได้อีกด้วย

จะเห็นว่ามีroleหน้าที่อยู่อย่างนึงที่ขาดหายไปจากชาร์ทอันนี้ เพราะว่าแผนการเล่นทีมเรานั้นไม่ได้ Defensive Midfielder มิดฟิลด์ตัวรับในแบบเดแคลน ไรซ์ และ Anchor man ที่เป็นกองกลางตัวผึ้งงานคล้ายๆกองเต้ เพราะในสูตรทีมเราไม่มีกลางตัวไหนที่ต้องรับผิดชอบเกมรับในสัดส่วนที่มากกว่าตำแหน่งอื่น เพราะต้องช่วยๆกันเล่นรับกันทั้งทีม กองกลางที่ลงมาเล่นแค่ป้องกันอย่างเดียวจึงไม่มีในแผนของโอเล่ แต่ถ้าวันนึงจะใช้จริงๆก็ยังมีคนที่เล่นตรงนี้ได้อีกดังนี้

Anchor man : Fosu-Mensah / Mctominay / Tuanzebe

Defensive Midfielder : Fred / Mctominay / Fosu-Mensah

สองคนนี้ดึงขึ้นมาเล่นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมได้ด้วยน้า

ตัวอย่างของ Depth Chart อันนี้ที่ลองเขียนขึ้นมาดู มันเป็นตัวที่บ่งบอกถึง "หลักประกันของแต่ละตำแหน่งในกองกลาง" ว่าในทีมเรามีใครที่ลงหน้าที่ไหนได้บ้าง ขาดใครแล้วจะมีปัญหาบ้าง ซึ่งสิ่งที่ปรากฏออกมา เห็นได้ชัดเจนว่า หากมีนักเตะเจ็บยาวๆออกไปคนนึงหรือสองคน ทีมเราจะ "ไม่มีปัญหาเลย" ในการเล่นที่ยึดกับสูตรแผนปัจจุบัน เพราะให้สังเกตว่า ทุกๆRoleจะมีนักเตะประจำการอยู่อย่างน้อยๆ "3 คน" ทุกๆหน้าที่

อย่าง มิดฟิลด์ตัวต่ำ ก็เล่นได้3 ตัวกลาง เล่นได้แทบจะทั้งทีม ตัวเพลย์เมคเกอร์(ที่จริงๆใช้คนเดียวก็ได้ต่อหนึ่งเกม) ก็มีอยู่สามคน ตัวตัดเกมแย่งบอล ก็มีอีก3

ดังนั้นปีนี้ ต่อให้มีใครเจ็บไปอีกก็ตามที แมนยูไนเต็ดจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยในแผงกองกลาง เพราะมีตัวอื่นลงทดแทนกันได้ทุกจุดโดยที่ฝีเท้าไม่ดรอปลงไปมาก เพราะมีคุณภาพดีในระดับที่ใช้งานได้จริงทุกคน

3.2 การมี "ฟอร์มสม่ำเสมอ" สำคัญกว่า "ฟอร์มเทพ"

ชาร์ทปริมาณเชิงลึกต่อตำแหน่งกองกลางอันนี้คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ซึ่งโอเล่ก็จะทำการหมุนนักเตะเหล่านี้เวียนกันลงในแต่ละจุด ตามแต่แทคติกเกมนั้นๆนั่นเองไปตลอดปี ซึ่งก็เป็นผลดีกับสภาพความฟิตด้วยที่จะมีคนช่วยกันเล่นมากมาย ไม่ต้องรับภาระกันอยู่ไม่กี่คนเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งขนาดตัวเจ็บระนาวเรายังประคองตัวเองจบอันดับ3ได้ ถือว่าทีมทำได้ดีมากๆและโอเล่ก็ควรได้รับเครดิตและการยกย่องอย่างมากเช่นกันในจุดนี้

ในเรื่องของเกมฟุตบอลนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่จะเป็นเครื่องชี้วัดว่าทีมจะเอาชนะได้หรือไม่ / จะเล่นดีกว่าอีกฝ่ายหรือไม่ ผมคิดว่าแอเรียที่สำคัญมากจริงๆนั่นก็คือแผงมิดฟิลด์ ยิ่งกับทีมที่เน้นการครองบอลเป็นหลักเหมือนเรา ไม่ได้ใช้บอลเร็วหรือบอลไดเร็คต์แล้ว ยิ่งสำคัญมากๆ

ทีมไหนเล่นกลางได้ดีกว่าอีกฝ่าย โอกาสที่จะคุมเกมและบุกเอาชนะคู่ต่อสู้ ย่อมมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แฟนบอลที่เล่นฟุตบอลสนาม11คนน่าจะเห็นภาพในเรื่องนี้ดี เพราะถ้ากลางเราสู้ไม่ได้ ฝั่งเราก็แทบจะไล่บอลกันเป็นหมาลิ้นห้อยอยู่ข้างเดียว แล้วต้องวิ่งไล่บอลเล่นรับรัวๆแค่นั้น

นี่จึงเป็นคำตอบที่ว่าทำไมการเข้ามาของ VDB แค่คนเดียวถึงได้ส่งผลต่อเสถียรภาพของทีมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นของการเล่นในซีซั่นปัจจุบัน หรือความมั่นคงในระยะยาวที่เราจะได้ใช้งานเขาไปอีกหลายๆปีในฐานะมิดฟิลด์ตัวหลักที่จะเป็นแกนกลางของทีมในอนาคต คู่กับเด็กปั้นของทีมเราอย่างแม็คโทมิเนย์

การที่ทีมหนึ่งทีมจะประสบความสำเร็จใน "เกมลีก" ได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าคุณจะต้องโชว์ฟอร์มเทพ ไล่ถล่มบิ๊ก6ด้วยสกอร์ 3-0 หรือตบเด็ก 8-0 แต่อย่างใด เพราะมันเป็นเพียงแค่สามแต้มเหมือนๆเกมอื่นเท่านั้น และจะไร้ค่าทันทีหากคุณชนะซิตี้ 10-0 แต่เกมต่อมาไปแพ้เวสต์แฮมของเดวิด มอยส์ เป็นต้น

ความสม่ำเสมอ คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ทีมทำอันดับที่ดีในลีก

ต่อให้แมนยูไนเต็ดจะชนะคู่แข่งได้แค่นัดละ 2-1 / 2-0 / 3-1 อะไรแบบนี้ ไม่มีสกอร์ถล่มทลายให้เห็นก็ตาม แต่ถ้าเราสามารถทำแบบนี้ได้เรื่อยๆสม่ำเสมอในการเก็บแต้มไม่ให้เป๋ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บคะแนนแบบชัวร์ๆให้ได้จากทีมที่เล็กกว่า นั่นแหละถึงจะทำให้ทีมประสบความสำเร็จในพรีเมียร์ลีก ดีกว่าการจะถล่มคู่ต่อสู้เละเทะ แต่ฟอร์มแกว่งไปแกว่งมาผีเข้าผีออก แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้แต้มตกหล่นและเสียหายมากกว่าเยอะ

การมีฟานเดอเบคเข้ามาเติมแกนกลาง จะทำให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมีเสถียรภาพในแดนกลางที่มั่นคง และรักษาฟอร์มการเล่นให้สม่ำเสมอได้จนจบฤดูกาลนี้อย่างแน่นอน

-ศาลาผี-


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด