:::     :::

กว่าจะมีวันนี้ของ "โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่"

วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
2,842
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของลิเวอร์พูล

สำหรับ "โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่" ที่นอกจากเป็นตัวหลักในแดนหน้า คอยยิงประตูให้กับทีมแล้ว นี่ยังเป็นนักเตะที่คอยเปิดโอกาส ผ่านการทำทางให้กับเพื่อนร่วมทีมได้บ่อยครั้งด้วย 


อย่างไรก็ตาม กว่าจะเดินมามาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยนักเตะทีมชาติบราซิล รายนี้ ต้องฝ่าฟันอะไรมาอย่างมากมาย และต้องเจออุปสรรคนับไม่ถ้วน 


ช่วงนี้ ... เราลองไปดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับชีวิตของเขากันหน่อยว่า ทำไมเด็กชายที่ชอบเล่นฟุตบอลเท้าเปล่าอย่างเขา ถึงสามารถก้าวมาเป็นนักเตะระดับโลกได้เป็นผลสำเร็จ 

ฟีร์มิโน่ เกิด และเติบโตที่ มาเซโอ อีกหนึ่งย่านที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมของประเทศบราซิล เขาเหมือนกับเด็กชาวบราซิเลี่ยน ทั่วไป ที่หลงใหลในกีฬาลูกหนัง ครอบครัวออกมาย้อนความทรงจำว่า ตอนที่เขามีอายุเพียงแค่ 8 ขวบ เขาก็มีลูกฟุตบอลอยู่ในอ้อมกอดอยู่เสมอแล้ว 


ย้อนกลับไปเวลานั้น ฟีร์มิโน่ อาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ที่ถูกปกป้องแสงแดด และสายฝน ด้วยหลังคาสังกะสีแบบลูกฟูกเพียงเท่านั้น โดยเขามักถูกคุณแม่สั่งห้ามไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน เนื่องจากกลัวลูกชายคนนี้ เข้าไปพัวพันกับกลุ่มอันธพาล และต้องพบเจอกับอันตราย


อย่างไรก็ตาม ฟีร์มิโน่ มักฝ่าฝืนคำสั่งของคุณแม่ ด้วยการชอบแอบออกไปเล่นฟุตบอลนอกบ้านอยู่เสมอ แน่นอนว่า ด้วยความที่เป็นเด็กฐานะยากจน ทำให้เขาต้องไล่หวดลูกหนังด้วยเท้าเปล่า ซึ่งเขาไม่เคยมองว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการเล่นกีฬาที่ตัวเองหลงรักเลย 


มาเรีย, คุณแม่ของฟีร์มิโน่ กล่าวว่า "ฉันไม่ต้องการให้ลูกชายออกไปเล่นฟุตบอลนอกบ้าน เพราะอันตรายแฝงตัวอยู่ในทุกส่วนของถนน อย่างไรก็ตาม คนอื่นพยายามทำความเข้าใจ ด้วยการบอกฉันว่า -ปล่อยลูกชายออกไปเล่นเถอะ เขาเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มากนะ-"


คุณแม่ เล่าต่อ ถึงความซุกซน และความดื้อของลูกชายว่า ว่า "ขณะที่ฉันกำลังหลับอยู่นั้น เขามักตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เพื่อแอบออกไปเล่นฟุตบอลนอกบ้าน !! สิ่งที่เขาทำเสมอคือ การย่องออกไปให้เงียบที่สุด หลังจากนั้น เขาก็จะพาตัวเองกระโดดข้ามกำแพงบ้านไป"

ความบ้าในลูกหนัง เริ่มที่จะเห็นผล ช่วงเวลาที่ ฟีร์มิโน่  อายุ 14 ปี เขาได้รับโอกาสเข้าร่วมทีมเยาวชนของทีมท้องถิ่นอย่าง "คลับ เด เรกาตาส บราซิลจากความช่วยเหลือของโค้ชคนแรกนามว่า "ลุยซ์" ทำให้หลุดพ้นชีวิตความเป็นอยู่ในสลัม ที่เต็มไปด้วยอันตรายจากสิ่งล่อแหลม


ลุยซ์ กล่าวเสริมว่า "ครอบครัวของฟีร์มิโน่ ถือว่ายากจนมากเลยล่ะ อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เขามักเล่นฟุตบอลด้วยเท้าเปล่าเสมอเลย คุณพ่อของเขาก็ตกงาน ตอนที่เขาก้าวมาสู่สโมสรของเราเป็นครั้งแรก"


"เหตุผลเหล่านั้น ผมจึงอาสาเป็นคนออกค่าเดินทาง รวมถึงค่าใช้จ่าย ในการซื้ออุปกรณ์ฟุตบอล พร้อมกับพาตัวเขาออกไปแข่งขันด้วย ไม่กี่วินาทีที่ผมเห็นเขาลงเล่น ผมมั่นใจว่าเขาต้องกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นเขาก้าวไปติดทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่เป็นผลสำเร็จ"


ขณะที่คุณครูที่โรงเรียนอย่าง "อาเดรียน่า ไลเต้" ย้อนความทรงจำบ้างว่า "ฟีร์มิโน่ เคยบอกว่า เขาแทบไม่มีอาหารประทังชีวิตอยู่ในตู้เย็น ทำให้ฉันเสียใจมากเลย เขาเป็นเด็กที่แสนขี้อาย คำตอบของเขาทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจ"


"ฉันจดจำฟีร์มิโน่ ก็เพราะเรื่องราวเหล่านี้ เขาคือเด็กชายตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ถัดไปจากโต๊ะทำงานของฉัน เขาเป็นคนที่ชอบพูดถึงเรื่องของฟุตบอลตลอดเวลา" อาเดรียน่า ยอมรับว่า เธอคอยกำชับลูกศิษย์คนนี้เสมอ ในเรื่องของการทุ่มเทให้กับการเรียนหนังสือ ทว่าบางครั้งนั้น เขามักไม่ค่อยเชื่อฟัง และออกไปเล่นฟุตบอลตามสนามดินสุดสกปรกอยู่เป็นประจำ


"ฉันมีความสุขมากนะ เพราะเขาสามารถก้าวออกจากความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย และอันตราย พร้อมกับเอาชนะในโลกของกีฬา ตามที่เขาปรารถนามาตลอด" อาเดรียน่า ทิ้งท้าย 

ปัจจุบัน, ฟีร์มิโน่  กลายเป็นดาวดังในโลกลูกหนัง ที่ออกมาตามหาความฝันในลีกยุโรป นอกจากจะเป็นการพาครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ต้องหลบซ่อนในการเล่นฟุตบอลอีกต่อไป พร้อมกับมีแฟนบอลนับล้านรอชมฝีเท้าทุกสัปดาห์ 


พร้อมกันนี้ การมีผู้สนับสนุนด้านรองเท้าสตั๊ด ไม่เพียงทำให้มูลค่าของฟีร์มิโน่  เพิ่มมากขึ้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนให้เห็นคุณค่าของการฟันฝ่า ตั้งแต่เด็กที่ไม่มีปัญญาหารองเท้ามาสวมใส่ จนสามารถยกระดับ และพัฒนากลายมาเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ดังระดับโลก


ฟีร์มิโน่  เล่าในมุมของตัวเองบ้างว่า "ครอบครัวมอบทุกสิ่งทุกอย่าง ในตอนที่ผมเติบโตมา เราอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยดีนัก แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยกลุ่มของอันธพาล คุณแม่ทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ผมได้เรียนหนังสือ พร้อมกับปล่อยให้ผมไปตามหาความฝันบนเส้นทางลูกหนัง"


"กระทั่งอายุ 16 ปี ผมต้องจากบ้านไปเล่นฟุตบอลยังต่างเมือง ผมรู้ว่าคุณแม่ร้องไห้ทุกวัน นับตั้งแต่วันที่ผมออกมา แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ ผมมองว่า คุณต้องไล่ล่าหาความฝัน และโชคดีเหลือเกิน ที่วันนี้ผมฝ่าฟันจนได้มาเล่นที่ประเทศอังกฤษ เรียบร้อยแล้ว"


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด