:::     :::

สิ่งที่ผลักดันให้กลายมาเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส

วันศุกร์ที่ 02 ตุลาคม 2563 คอลัมน์ ผีตัวที่ 13 โดย โกสุ่ย
1,962
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เราต้องเริ่มเรื่องนี้กับพี่ชายของผม เราไม่สามารถปิดบังเรื่องราวนี้กับเขาได้ เขาเป็นพี่ใหญ่ของผม และที่แย่ไปกว่านั้น เขาเป็นแฟนบอล บาร์ซ่า ดังนั้น ก่อนอื่นเลยเราต้องคุยเรื่องสนุกๆ กับเขาก่อน หรือว่าจะไม่ทำ?

ในช่วงที่เติบโตขึ้นมา ความสัมพันธ์ของพวกเราค่อนข้างสนุกสนานเพราะเขาแก่กว่าผม 5 ปี และเรานอนห้องนอนเดียวกันตลอด ในตอนที่คุณยังหนุ่ม นี่ไม่ใช่ปัญหา มันเป็นเรื่องที่สนุก หรือไม่ใช่? แต่ในตอนที่พี่ชายของผมเริ่มอายุมากขึ้น ประมาณ 15 หรือ 16 ปี และเขาต้องการพาแฟนสาวกลับมาที่บ้าน - ทันใดนั้นเราจึงมีปัญหากัน! เขาก็แค่อยากอยู่ตามลำพัง และแน่นอน ผมวิ่งไปรอบๆ บ้านเพื่อก่อกวนพี่ชาย

เขาบอกกับผมตลอดว่า "บรูโน่ ออกไปเล่นข้างนอกไป!"

ต้องขอบคุณเขา (บรรดาเพื่อนๆ ของเขา) ความทรงจำในวัยเด็กส่วนใหญ่ได้เกี่ยวพันกับผมในเรื่องของฟุตบอลในสวนสาธารณะ  หรือการที่ผมไปโรงเรียนพร้อมกับหิ้วลูกฟุตบอลไปด้วย ผมไม่รู้ว่ามันไปอยู่ในทุกๆ ที่ได้อย่างไร แต่ในโปรตุเกส โดยเฉพาะในตอนนั้น - ช่วงเวลาของ ยูโร 2004 ช่วงเวลาของนักเตะที่ยอดเยี่ยมในทีมชาติโปรตุเกส - ถ้าคุณรักฟุตบอล คุณมีชีวิตอยู่เพื่อมัน

นี่เป็นช่วงเวลาในวัยหนุ่มของ เมสซี่ และ คริสเตียโน่ และช่วงเวลาที่ โรนัลดินโญ่ อยู่ในจุดสูงสุด ทุกๆ ที่ที่คุณไป เด็กๆ จะถกเถียงกันว่าใครคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด และแน่นอนว่าผมและพี่ชายก็ไม่ต่างกัน ใครจะคว้า บัลลง ดอร์ ในปีนี้? ใครทำประตูได้ดีกว่า? ใครคือนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล? (GOAT)


ผมอยู่ทีม คริสเตียโน่ เสมอ


พี่ชายของผมอยู่ฝั่ง เมสซี่

ช่วงคริสต์มาสในปีหนึ่ง พี่ชายและผมเดินทางไปอาศัยกับพ่อที่สวิตเซอร์แลนด์ ตอนนั้นเขาเดินทางไปอาศัยที่นั่นเนื่องจากต้องไปทำงาน นี่เป็นช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตจะใช้ง่ายและสามารถสั่งซื้อเสื้อได้จากทุกมุมโลก ในโปรตุเกส คุณไม่สามารถหาเสื้อแข่งของพรีเมียร์ลีกได้เสมอไป และถ้าคุณหาได้ พวกมันก็มีราคาแพงมาก ดังนั้นในวันหนึ่ง ผมเดินทางไปที่ร้านไนกี้ซึ่งพ่อของพวกเราให้เลือกเสื้อได้ 2 ตัว คุณรู้หรือไม่ นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญ? พี่ชายของผมเลือก บาร์เซโลน่า สีเหลือง ซึ่งเป็นเพราะ เมสซี่ และสำหรับผม ... ผมภูมิใจที่จะพูดออกมา แม้ว่าหากย้อนกลับไปผมจะเป็นเด็กไร้เดียงสา


แน่นอน ผมเลือก แมนฯ ยูไนเต็ด 


ผมจำเสื้อตัวนั้นได้อย่างชัดเจน สีฟ้าที่มีแถบขาวและสีแดงแซมเล็กน้อย

เป็นเพราะ คริสเตียโน่ ทีมในฝันในอังกฤษของผมคือ ยูไนเต็ด 

คุณครูของผมเคยบอกว่า "บรูโน่ ฟุตบอลไม่ใช่ฝันที่จะทำให้เป็นความจริงได้ มันเป็นการแข่งขันที่สูงมากๆ นายต้องเรียนหนังสือ" ซึ่งผมก็ได้แต่คิดว่า "โอเค ขอบคุณ หลังจากนี้ฉันจะทำงานให้หนักกว่าเดิม"

ผมคิดว่าถ้าคุณมีความฝัน คุณต้องมีความหลงใหลมากขึ้นเล็กน้อย คุณต้องเป็นคนที่สร้างสรรค์เช่นเดียวกัน ในช่วงที่เติบโตมา คุณอาจจะลงสนามได้ทุกๆ ที่ ทำประตูด้วยเสาไม้ในสนามที่ทรายมากกว่าหญ้า แน่นอนว่าเกมที่สนามเด็กเล่นเป็นสิ่งที่สูสีอย่างมาก ต้องพูดว่าเรามีการ "ถกเถียง" กันอย่างมาก

ในมุมนี้ มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ เพื่อนร่วมทีม ยูไนเต็ด ของผม เรามีการถกเถียงระหว่างรอบรองชนะเลิศ ยูโรปา ลีก และบรรดาหนังสือพิมพ์ต่างทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับมันเป็นเหมือนกับเกมการเล่นในตอนเด็กๆ ที่บ้านเกิดของผมที่ มาย่า ในโปรตุเกส นี่คือวิธีการในการคุณเล่นฟุตบอล คุณคือวิธีการสื่อสาร ถ้าคุณพูดหรือทำอะไรผิด ผมจะบอกคุณในเรื่องนั้น ผมใช้ชีวิตในวงการฟุตบอลเหมือนกับที่ผมเคยเป็นมา - ในตอนนั้น แต่มันยังอยู่ในทิศทางการเล่นบนสนาม มันก็เป็นแบบนั้น และพรุ่งนี้ เราทุกๆ คนเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง เรากอดและเป็นมิตรต่อกัน




ต้องเรียนตามตรงว่าผมชอบคำวิจารณ์ เพราะมันช่วยคุณพัฒนาและเข้าใจว่าคุณไม่สามารถผ่อนคลายได้ มันกระตุ้นผม คุณรู้ว่าบางคนรายล้อมไปด้วยคนที่ 'เห็นดีเห็นงาม' ไปหมดทุกเรื่อง แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมต้องการคนที่เหมือนกับเพื่อของผมในสนามเด็กเล่นที่ไม่กลัวที่จะชี้นิ้วมาที่ผมและบอกผมว่าผมกำลังทำผิด

หลังจบเกมผมชอบที่จะกลับบ้านและได้ยินว่า "ฉันรักคุณ แค่คุณควรที่จะทำประตูได้จริงๆ ในวันนี้ ผ่านบอลได้ดี แต่พลาดโอกาสหลายครั้ง"

บางครั้งผมได้ยินเรื่องนี้จาก Matilde ลูกสาวของผม และเธอเพิ่งอายุได้ 3 ขวบ! แต่การวิจารณ์ของเธอแตกต่างออกไป คุณเห็นเลยว่า ในตอนที่เธอเล็กมากๆ เธอเริ่มก่อกวนผมกับภรรยา เราจะบอกให้เธอเก็บของเล่นหรือบางสิ่ง และเธอจะเอามือมาปิดหูตัวเองเพื่อส่งสัญญาณว่าเธอไม่ฟัง "บลา บลา บลา หนูไม่ได้ยินพ่อ"

ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่สนุกสนาน ดังนั้น นั่นจึงเป็นการเริ่มฉลองประตูของผมด้วยการเอามือไปป้องที่หูของตนเอง Matilde จะดูผมผ่านจอโทรทัศน์ และเธอเริ่มเข้าใจว่ามันมีความหมายเช่นไร - ทั้งหมดนั้นก็เพื่อเธอ ดังนั้น หากตอนนี้ผมลืมทำแบบนั้น หรือแม้แต่กล้องโทรทัศน์ไม่ได้จับภาพในตอนที่ผมทำ มันจะเป็นปัญหา ในตอนที่ผมถึงบ้านเธอจะถามผมว่า "ทำไมพ่อถึงไม่ทำแบบนั้น?"

ฮาฮาฮา นี่คือชีวิตของผม คุณเห็นมั้ย? 

ผมต้องการเรียนรู้, พัฒนา, เป็น บรูโน่ ที่ดีกว่าเดิมในทุกๆ วัน

ความคิดเช่นนี้ เหมือนกับทุกๆ อย่างในเรื่องราวของผม มันมาจากครอบครัวของผม ในตอนที่เติบโตขึ้นมา พ่อของผมไม่เคยสนใจว่าผมจะทำประตูได้มากมายเท่าไหร่ ผมจะส่งผลได้มากมายเพียงใด แต่มีเพียงผมทำพลาดไปเท่าไหร่ และผมจะมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้อย่างไร




ผมจำได้ครั้งหนึ่งในตอนที่อยู่กับ เบาวิสต้า ลงเล่นเกมอายุต่ำกว่า 15 ปีดวลกับ ปอร์โต้ (หนึ่งในทีมโปรตุเกสที่แข็งแกร่งในทุกๆ ชุด) และผมกำลังเล่นได้ดี จริงๆ แล้ววันนั้นผมกำลังเล่นในแนวรับเพื่อดวลกับทีมใหญ่ทีมนี้ ปะทะกับนักเตะที่รวดเร็วของ ปอร์โต้ แม้ว่าเราแพ้ 0-1 แต่ผมทำได้ดีอย่างมากดังนั้นทุกๆ คนจึงมาแสดงความยินดีกับผม

แม้แต่หนึ่งในโค้ชของปอร์โต้ก็เดินเข้ามาและพูดว่า "เด็กคนนี้จะกลายเป็นนักฟุตบอล"

นั่นเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ ผมมีความสุขมากๆ 

แต่ไม่ใช่พ่อของผม

เขาพูดว่า "แกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอน ปอร์โต้ ได้ประตูหรือไม่? ถ้าแกไม่ลงไปลึก พวกเขาคงไม่ครอสได้ง่ายๆ แบบนั้น"

ผมเริ่มคิดถึงประตูของปอร์โต้ และบอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้มีส่วนในการเสียประตูเพราะผมอยู่อีกฝั่งของสนาม! แต่พ่อของผมเชื่อมั่นว่าผมเริ่มกังวลเกี่ยวกับมัน และวิเคราะห์ในทุกๆ เรื่อง ผมไม่อยากทานอาหาร ผมก็แค่ปิดห้องนอนและกลับไปคิดถึงเกม นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่ามันรุนแรงสุดขั้ว แต่มันได้ผลกับผม

ผมต้องการความคิดแบบนั้นเพื่อการอยู่รอด ในตอนที่คุณอายุ 14 หรือ 15 ปีทุกๆ อย่างเริ่มเปลี่ยน แค่พรสวรรค์หรือทำงานหนักมันไม่พอ หรือการมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง คุณต้องผสมผสานทุกๆ อย่าง คุณต้องมีชีวิตในเกมฟุตบอลอย่างสมบูรณ์

ไม่กี่ปีต่อมา ผมเดินทางไปเล่นที่อิตาลี และได้รับการทดสอบ ในตอนอายุ 17 ปี ผมทำทุกๆ อย่างด้วยตนเองในประเทศใหม่ ผมพูดภาษาไม่ได้ และผมไม่รู้จักใครเลย และให้ผมได้บอกกับคุณ มันเป็นเรื่องยาก มันยากและโดดเดี่ยวแบบไม่น่าเชื่อ เอาจริงๆ เลยนะ มันมีช่วงเวลาที่ผมอยากออกไป

ถ้าหากพ่อของผมไม่ปลูกฝังความคิดเช่นนั้นให้ตัวผมในตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ผมไม่คิดว่าตนเองจะแข็งแกร่งพอในการเอาตัวรอดในอิตาลี ถ้าเขาเป็นหนึ่งในบรรดาพ่อๆ ที่บอกว่า "นายเล่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ" หลังจากจบเกมทุกๆ นัด ผมไม่คิดว่าผมจะทำมันได้




เพราะโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้บอกคุณว่าคุณน่าเหลือเชื่อหลังจบเกมทุกๆ นัด

หลายๆ ครั้งพวกเขาเป็นคนที่วิจารณ์และบอกคุณว่ายังดีไม่พอ นั่นคือฟุตบอล คุณต้องสามารถรับฟังพร้อมรอยยิ้มและวิเคราะห์มันจากความเป็นจริง และใช้มันเป็นแรงกระตุ้น

พ่อของผมพูดความจริงเสมอ ดังนั้นผมจึงฟังพวกเขาในตอนที่ผมอยากยอมแพ้ และพวกเขาบอกผมว่า "บรูโน่ แกทำไม่ได้นะ นี่คือความฝันของแก และแกต้องเดินหน้าต่อไป"

คำพูดที่มีน้ำหนักเหล่านั้นมาจากพวกเขา คุณก็รู้?

ดังนั้นผมจึงไปต่อ ผมเดินหน้าผลักดัน และไม่กี่ปีต่อมา บางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็ได้เกิดขึ้น


28 สิงหาคม 2017 ผมจำวันนั้นได้ดี


ผมถูกเรียกตัวติดทีมชาติโปรตุเกสในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกพบกับหมู่เกาะแฟโร ในเรื่องราวมากเหล่านั้นการถูกเรียกตัวติดทีมชาติถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่

ได้แต่จินตนาการถึงมัน ... 13 ปีที่แล้วก่อนที่ผมจะได้โอกาสเข้าห้องแต่งตัว ผมคือ บรูโน่ ที่มีอายุ 9 ขวบ กำลังระบายสีที่หน้าตัวเองและถือธงโปรตุเกสโดยที่ครอบครัวและตัวผมกำลังเดินเข้าไปในใจกลางเมือง มาย่า เพื่อชมเกม ยูโร 2004 รอบชิงชนะเลิศกับ กรีซ ที่ถ่ายทอดสดผ่านจอยักษ์

นั่นเป็นปีที่ คริสเตียโน่ ก้าวขึ้นมาเป็นที่สนใจ มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกๆ คนในโปรตุเกสจดจำ แต่ในตอนที่คุณอายุได้ 9 ปี ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องที่ใหญ่โตกว่า ทุกๆ อย่างมีความหมายมากกว่า แม้ว่าเราแพ้กรีซในวันนั้น สิ่งที่ผมจำได้มากที่สุดคือน้ำตาของนักเตะทุกๆ คนในช่วงเป่าจบเกม

ดังนั้นเมื่อผ่านไป 13 ปีนั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณเข้าใจ ในตอนที่ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมพึงพอใจอย่างมาก วันนั้น ในตอนที่ คริสเตียโน่ เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ผมอายมากๆ! ผมประหม่ามากๆ 

การได้ลงเล่นเคียงข้าง คริสเตียโน่ และนักเตะโปรตุเกสฝีเท้าดีคนอื่นๆ ทำให้ผมภูมิใจมากๆ และหวังว่าผมจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ อายุ 9 ปีรุ่นต่อไปที่กำลังเขียนหน้า กำลังดูเราผ่านจัตุรัสในเมืองของพวกเขา เพราะถ้าพวกเขาคิดว่า "โอ้ ฉันคงเป็นแบบ บรูโน่ ไม่ได้" ผมสามารถบอกเรื่องราวของตนเองและบอกกับพวกเขาตามความเป็นจริง "ไม่ ไม่ ฉันก็เป็นแบบเดียวกับพวกนาย ฉันเคยดู คริสเตียโน่ มีความฝัน เหมือนที่พวกนายกำลังดูพวกเราในตอนนี้"




การเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงหน้าหนาว มันรู้สึกเหมือนการบรรลุจุดสูงสุดของความฝัน ในตอนที่ผมทราบมาจากเอเย่นต์ของผมว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่กลับมาให้ความคิดของผมคือในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันนั้น วันที่เลือกเสื้อกับพี่ชาย แต่มีหลายๆ ขั้นตอนที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางซึ่งหลายๆ คนไม่เข้าใจ - ช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมายนั่นคือสิ่งที่ครอบครัวของผมบ่มเพราะผมมาเท่านั้น

ในตอนที่ผมมั่นใจว่าการเจรจาเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือการบอกภรรยาและลูกสาว และมันช่วยไม่ได้ ... ผมเริ่มร้องไห้ 

น้ำตาของความยินดี น้ำตาของความสุข น้ำตาของความทรงจำมากมาย

ผมคิดไปถึงช่วงที่ภรรยาของผมยังคงเป็นเพียงแค่แฟนสาว และผมโทร.จากอิตาลีกลับไปหาเธอและบอกว่าผมอยากยอมแพ้ ซึ่งเธอพูดว่า "ไม่ ไม่ ไม่ นี่คือฝันของคุณ ไม่"

ต่อมาผมโทร.ไปหาพี่ชาย และผมเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

ผมคิดย้อนไปถึงการถกเถียงทุกๆ อย่างของพวกเราในตอนเด็กว่าใครคือนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล (GOAT) สโมสรใดที่จะคว้า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง และ ยูไนเต็ด จะคว้าใครในตลาดนักเตะ

ผมคิดว่าเขากำลังร้องไห้เช่นเดียวกัน

แน่นอน ผมโทร.ไปหาพ่อเช่นเดียวกัน คนที่ผลัดกันผมอย่างมากที่สุดในชีวิตเพื่อให้ผมได้ไล่ตามความฝันของตนเอง คนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการตีความเรื่องคำวิจารณ์ และคนที่เสียสละทุกๆ อย่างในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อหาเงินมาให้ครอบครัว

แล้วคุณรู้อะไรมั้ย? เขาก็ร้องไห้ด้วยเช่นกัน

ไม่มีข้อความ ไม่มีการตอบกลับ แค่เสียงร้องไห้จากเขาและจากแม่ของผมรวมไปถึงน้องสาวคนเล็กที่ฟังอยู่ข้างๆ เขา

ตอนนี้ ผมกำลังเล่นให้กับ ยูไนเต็ด ซึ่งจริงๆ แล้วพ่อของผมให้เวลาผมพักอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

เขารอจนกว่าจะจบเกมครบ 24 ชั่วโมงเต็มแล้วส่งข้อความแสดงความเห็นมาที่ผม

บางทีในสักวันหนึ่ง ถ้าผมคว้าแชมป์โลก และผมไม่ลืมที่จะเอามือมาปิดหูของตนเองในตอนที่ทำประตูได้ ผมอาจจะได้ใช้เวลาแบบสงบๆ สัก 48 ชั่วโมง


เรื่อง: บรูโน่ แฟร์นันด์ส

เรียบเรียง: โกสุ่ย (THSPORT)



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด