:::     :::

ชีวิตลูกผู้ชายกับ "โรเมลู ลูกากู"

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
2,250
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังจากดิ้นรนอย่างหนัก

กับการเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ล่าสุดโรเมลู ลูกากูเหมือนกลับมาเกิดใหม่ ด้วยการกลายเป็นดาวยิงคนสำคัญของอินเตอร์ มิลาน และกำลังยิงประตูอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง 


การไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรกับปีศาจแดงทำให้เขาถูกแฟนบอลบางส่วนวิจารณ์อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น เพราะเขาต่อสู้อย่างหนักมาโดยตลอด กว่าจะเป็นนักฟุตบอลระดับโลกเหมือนทุกวันนี้ 


ไม่ว่าจะมาจากคำสบประมาท และคำดูถูก ทั้งหมดหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และแน่วแน่กับเป้าหมาย ... ช่วงนี้ เราไปรับฟังบางช่วงบางตอนของชีวิต จากปากชายที่ชื่อว่าลูกากู กันเลย 

"ภาพที่แม่ผสมน้ำเปล่าเข้ากับน้ำนม มันทำให้ผมใจสลาย" ลูกากู เล่าถึงชีวิตวัยเด็กของตัวเอง เขาคือเด็กชายเชื้อสายคองโก ที่มาเกิด และเติบโตที่ประเทศเบลเยี่ยม นี่คือปมบางอย่างในช่วงวัยเด็ก ที่เป็นจุดพลิกผัน และผลักดันให้เขากลายมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้


"ผมยังจำใบหน้าของแม่ที่ยืนอยู่ตรงตู้เย็นได้" เขาเล่าต่อในตอนนั้น ผมอายุ 6 ขวบ ช่วงพักเที่ยงที่โรงเรียน ผมตรงดิ่งมาบ้าน เพื่อมากินอาหารกลางวัน แม่เตรียมของกินเหมือนเดิมในทุกวัน นั่นคือขนมปัง และนม เมื่อคุณเป็นเด็ก คุณไม่ค่อยนึกถึงเรื่องนี้เท่าไหร่หรอก คุณคิดแค่ว่า ครอบครัวมีเงินซื้อของกินได้"


"แต่วันนั้น ผมกลับบ้านมา และเดินเข้าไปในครัว ผมเห็นแม่ถือกล่องนมเหมือนเคย แต่คราวนี้แม่กำลังผสมอะไรลงไป จากนั้น แม่ก็เอาอาหารกลางวันมาให้ผม ยิ้มให้เหมือนปกติที่เคยทำ แต่ผมรู้ในใจว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แม่ได้ผสมน้ำเปล่าลงไปในน้ำนม (เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณให้ดื่มได้หลายๆครั้ง) เราไม่มีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายได้ทั้งสัปดาห์ เพราะเราเป็นครอบครัวที่ยากจน"


"พ่อของผมเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่เขาก็ต้องหันหลังให้เส้นทางนี้ และรายได้หลักของบ้านก็จากไปด้วย เราต้องยกเลิกเคเบิ้ลทีวีเป็นอย่างแรก ไม่มีฟุตบอลให้ดูทางหน้าจออีกต่อไปแล้ว บางคืน ผมกลับบ้านตอนกลางคืน ไฟค่อยๆดับลง เราเคยไม่มีไฟฟ้าใช้ 2-3 สัปดาห์ บางครั้ง ผมอยากอาบน้ำ แต่มันก็ไม่มีน้ำอุ่นเหมือนบ้านอื่น แม่ต้องคอยต้มน้ำในเตาให้ผมอาบ"

ลูกากู กล่าวต่อว่ามีหลายครั้ง แม่ต้องคอยไปขอยืมขนมปังจากร้านเบเกอรี่ข้างถนน คนขายรู้จักผม และน้องชายเป็นอย่างดี พวกเขาจึงให้ขนมปังแก่แม่ในวันจันทร์ และค่อยให้แม่มาจ่ายเงินคืนในวันศุกร์ ผมรู้ว่าครอบครัวของเรากำลังดิ้นรนอย่างหนัก มันเป็นความรู้สึกที่ยาก นี่แหล่ะคือชีวิตของพวกเรา"


"ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำเดียว ผมไม่ต้องการให้แม่เครียด ผมแค่นั่งกินอาหารกลางวันไปตามปกติ แต่ผมสาบานกับพระเจ้า และให้คำมั่นสัญญากับตัวเองในวันนั้น เหมือนมีคนมาปลุกผมให้ตื่น ผมรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร และอะไรที่ผมต้องทำ"


"บางวัน ผมกลับมาบ้าน เห็นแม่ต้องร้องไห้ ผมจึงตัดสินใจพูดกับท่านไปว่า -แม่ครับ มันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แม่จะได้เห็นมันแน่นอน ผมจะไปเป็นนักฟุตบอลของอันเดอร์เลชท์ ผมเชื่อว่ามันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน ครอบครัวเราจะดีขึ้น แม่จะไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป"


อย่างไรก็ตาม กว่าที่ลูกากู เริ่มสร้างชื่อกับอันเดอร์เลชท์ ทีมดังของประเทศ เขาต้องผ่านประสบการณ์ที่แสนปวดร้าวมาก่อน ผ่านสารพัดคำดูถูก และแรงกดดัน ทว่าเขาสามารถผ่านมันมาได้ เพราะแรงปรารถนา ในการพาครอบครัวก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น 

เขากล่าวว่าตอนที่ร่างกายของผมสูงขึ้นเรื่อยๆ คุณครู รวมไปถึงผู้ปกครองบางคนมาเล่นแง่กับผม ผมยังจำไม่เคยลืม ถึงครั้งแรกที่ได้ยินผู้ใหญ่คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า -เฮ้ !! นายอายุเท่าไหร่ นายเกิดปีอะไรกันแน่ ?- ผมคิดในใจว่า อะไรนะ คนพวกนี้ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย ?”


กระทั่งผมอายุ 11 ขวบ ผมเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของทีมลีร์เซ่ ผู้ปกครองคนหนึ่งพยายามขวางผมไม่ให้ลงสนาม เขาพูดว่า -เจ้าเด็กนี่มันอายุเท่าไหร่ เอาบัตรประจำตัวมาดูหน่อยซิ นายเกิดที่ไหนกันแน่ ?- ผมคิดในใจว่า อะไรอีกเนี่ย ผมเกิดในอันท์เวิร์ป ผมมาจากเบลเยี่ยม ไงล่ะ


พ่อของผมไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เพราะท่านไม่มีรถที่จะขับพาผมไปเล่นเกมเยือน ผมอยู่เพียงลำพัง และต้องต่อสู้กับคำสบประมาทนี้ด้วยตัวเอง ผมเดินออกจากสนาม และไปหยิบบัตรประจำตัวมาให้ทุกครอบครัวดู พวกเขาพากันตรวจตราอย่างละเอียด ผมเลือดขึ้นหน้าแล้ว พร้อมกับคิดในใจว่า จะอัดลูกพวกคุณในสนามให้เละเลย


ผมต้องการเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุดในประวัติศาสตร์ของเบลเยี่ยม นั่นเป็นเป้าหมายของผม ไม่ใช่แค่ดี ไม่ใช่แค่เจ๋ง แต่ต้องดีที่สุด ผมลงเล่นด้วยความกระหายเสมอ เพราะเหตุผลมากมาย ทั้งการมีหนูตัวใหญ่วิ่งพล่านอยู่ในอพาร์ทเมนท์ของเรา (เปรียบถึงความยากจน), เพราะผมไม่ได้ดูยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (เปรียบจากการไม่มีเคเบิ้ลทีวีเหมือนบ้านอื่น) และเพราะสายตาของผู้ปกครองเหล่านั้น


ส่วนตอนนี้หรอ ... ไม่มีหนูในอพาร์ทเมนท์, ไม่มีการนอนบนพื้นแข็งๆ, ไม่มีการหาเรื่อง, ไม่มีการขอเช็คบัตรประจำตัว ... เพราะพวกเขารู้ชื่อผมกันหมดแล้วดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติเบลเยี่ยม กล่าวทิ้งท้าย

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})