:::     :::

เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องถูกกระทำ

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
อาร์เซน่อล พลาดโอกาสกลับไปติดท็อป 5 ของตารางอีกครั้งอย่างน่าเสียดายเมื่อพลาดท่าพ่ายคาบ้านต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 ในเกมที่แข้งปืนใหญ่ต้องโทษตัวเองกับการปล่อยโอกาสมากมายหลุดมือไปเอง

มิเกล อาร์เตต้า กลับมาใช้งานผู้เล่นชุดใหญ่อีกครั้งหลังใช้ชุดผสมลงเล่นในยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก ที่บุกชนะ ราปิด เวียนนา หวุดหวิด 2-1 

ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ที่ลงสำรองยิงประตูชัยในเกมยุโรป คัมแบ็กตัวจริง เช่นเดียวกับ กรานิต ชาคา, ดานี่ เซบายอส, เอคตอร์ เบเยริน และ คีแรน เทียร์นี่ย์ แต่ว่าไม่มี วิลเลี่ยน ที่ฟิตไม่ทัน 

อาร์เตต้า ยึดระบบ 4-3-3 ที่ปรับมาใช้ตั้งแต่เกมกับ แมนฯ ซิตี้ ต่อด้วยยูโรปา ลีก โดยที่  กรานิต ชาคา, ดานี่ เซบายอส และตัวใหม่ โธมัส ปาร์เตย์ ได้ประสานงานร่วมกันเป็นนัดแรก 

สถิติก่อนเกม อาร์เซน่อล ไม่เคยแพ้เกมลีกคาบ้านต่อ เลสเตอร์ เลยนับตั้งแต่ปี 1973 หรือ 47 ปีที่แล้ว รวม 27 นัด ทว่าสถิติดังกล่าวถูกหยุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ และนี่คือบทวิเคราะห์สาเหตุที่ปืนแตกคารังด้วยน้ำมือของทัพจิ้งจอก


1. เกมรุกขาดความเฉียบขาด

อาร์เซน่อล เล่นได้เหนือกว่าชัดเจนในครึ่งแรกที่เป็นฝ่ายคอนโทรลเกมเอาไว้ได้และหาโอกาสยิงมากถึง 11 ครั้ง เป็นสถิติมากสุดใน 45 นาทีนับตั้ง มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาทำงาน

แต่โอกาสมากมายที่มี แนวรุกปืนโตไม่สามารถทำประตูออกนำก่อนได้เลย โดย 11 ครั้งที่ได้โอกาสในครึ่งแรก ตรงกรอบเพียง 3 ครั้ง ส่วนครึ่งหลังได้โอกาสครั้งเดียวจากลูกวอลเล่ย์ของ เอคตอร์ เบเยริน

โอกาสจะแจ้งสุดของ อาร์เซน่อล ที่น่าจะใส่สกอร์ได้คือจังหวะโขกวืดของ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ที่ คีแรน เทียร์นี่ย์ เปิดบอลยัดให้แบบเน้นๆ ลูกนี้ถ้าโหม่งโดนโอกาสได้ประตูสูงมากเพราะระยะเผาชน ชไมเคิ่ล ไม่น่าจะเซฟได้ 


ลากาแซ็ตต์ น่าจะโหม่งได้ในจังหวะนี้

มิเกล อาร์เตต้า ยอมรับว่าการทิ้งโอกาสมากมายที่มีไปคือเรื่องน่าเสียดาย "ผมผิดหวังมากๆ เกมอยู่ในมือของเราแล้ว เราสร้างโอกาสได้พอสมควร และปิดพวกเขาไม่ให้ทำอะไรได้เลย"

"เรามีโอกาสและน่าจะเฉีบบขาดกว่านี้ในการจบสกอร์ เรามีโอกาสอีก 2-3 ครั้งจากลูกตั้งเตะ และเมื่อคุณมีโอกาสแบบนั้น คุณต้องทำให้ได้ อีกอย่างที่สำคัญต้องไม่ทำผิดพลาดในเกมรับด้วย"

 

2. ลูกโหม่ของ ลากาแซ็ตต์ ถูกจับล้ำหน้า 

ครั้งเดียวที่ อาร์เซน่อล ส่งบอลตุงตาข่ายได้มาจากลูกโหม่งของ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ทว่า กรานิต ชาคา ถูกเป่าว่าล้ำหน้า ขวางการเล่นของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล นายทวารเลสเตอร์ 

พรีเมียร์ลีก ระบุว่าจังหวะนี้ "ล้ำหน้า" ตามที่ไลน์แมนยกธง แต่ทางรายการแมตช์ ออฟ เดอะ เดย์ วิเคราะห์ว่า ชาคา ไม่ได้ยืนขวางในทิศทางการออกมาเซฟของ ชไมเคิ่ล อีกทั้งลูกโหม่งของ ลากาแซ็ตต์ ก็ตั้งใจโหม่งทำประตู ไม่ได้โหม่งชงให้ ชาคา เล่นอีกจังหวะ 


ชาคา ไม่ได้ขวางการเล่นของ ชไมเคิ่ล แต่ถูกจับล้ำหน้า

ตอนหลังจบเกม อาร์เตต้า กล่าวอย่างหัวเสียว่า "เรายิงประตูได้ซึ่งผมไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ประตูนี้" 

จังหวะโหม่งของ ลากาแซ็ตต์ เกิดขึ้นตั้งแต่ 5 นาทีแรก หากลูกนี้ได้ประตูจะเป็นการออกสตาร์ตที่ดีมากของ อาร์เซน่อล และน่าจะทำให้โมเมนตัมทั้งหมดเข้าทางทันที ทว่าการตัดสินของกรรมการก็ไม่เป็นใจ 

 

3. คุณภาพการเล่นดร็อปลงในครึ่งหลัง

ย้อนไปในเกมพ่าย แมนฯ ซิตี้ 0-1 อาร์เซน่อล เล่นในครึ่งหลังได้ค่อนข้างแย่เหมือนพอใจกับการเสียเพียงประตูเดียว เกมรุกแทบไม่ได้ทำอะไร ส่วนนัดล่าสุดกับ เลสเตอร์ ก็ไม่ต่างกัน และมีโอกาสยิงเพียงครั้งเดียว

เลสเตอร์ ตั้งรับลึกมากขึ้นและเล่นอย่างอดทนในครึ่งหลัง บีบให้ อาร์เซน่อล ได้แต่ถ่ายบอลขวางสนามไปมาโดยที่ไม่มีช่องเจาะเข้าทำ ไอเดียในเกมรุกมีน้อย สำรองอย่าง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ และ นิโกล่าส์ เปเป้ ไม่สามารพลิกเกมได้ 


โดยธรรมชาติของฟุตบอล ทีมที่มีโอกาสมากกว่าแต่ทำไม่ได้มักจะเสียกำลังใจไปเอง ส่วนทีมที่ตั้งรับยื้อสกอร์เอาไว้ได้ ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป สุดท้าย การเล่นอย่างอดทนของ เลสเตอร์ ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการและมองเห็นพื้นที่โจมตี อาร์เซน่อล 

4. ดาวิด ลุยซ์ บาดเจ็บ มุสตาฟี่ ร้างสนามไปนาน 

อีกจุดที่ทำให้เกมรับ อาร์เซน่อล ไม่แน่นหนาเท่าที่ควรคืออาการบาดเจ็บของ ดาวิด ลุยซ์ เซนเตอร์จอมเก๋าที่เล่นต่อไม่ไหวต้องถูกเปลี่ยนออกตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังได้ 4 นาที

ในรายชื่อสำรองมีเพียง ชโคดราน มุสตาฟี่ ที่เป็นตัวเลือกเพราะ ร็อบ โฮลดิ้ง, ปาโบล มารี และ คาลั่ม แชมเบอร์ส บาดเจ็บทั้งหมด ขณะที่ โซคราตีส ปาปาสตาโธปูลอส ก็ไม่ถูกส่งลงสนาม

มุสตาฟี่ บาดเจ็บไปนานตั้งแต่รอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ความฟิต จังหวะการเล่นและความเข้าใจเกมต่างๆ ยังไม่ดีนัก 


มุสตาฟี่ (บนซ้าย) ยืนสูงเกินไปในจังหวะก่อนเสียประตู

จังหวะที่เสียประตู มุสตาฟี่ กาเบรียล มากัลเญส พยายามเรียกให้ มุสตาฟี่ ขยับลงมาอยู่ในไลน์เดียวกันเพราะดันสูงเกินไป ทำให้ตอนที่ เจงกีซ อุนแดร์ ฉีกหนี กรานิต ชาคา ไปรับบอลเปิดยาวได้ กาเบรียล จึงต้องขยับไปซ้อน เจมี่ วาร์ดี้ จึงไม่มีคนประกบและได้โขกประตูโล่งๆ มุสตาฟี่ ไม่ขยับลงมาและอยู่ห่าง วาร์ดี้ เกินไป

ช่วงทดเจ็บ มุสตาฟี่ โดน วาร์ดี้ วิ่งตัดหลังอีกครั้งก่อนหลุดไปยิงประตูในเขตโทษ ยังดีที่หัวหอกเลสเตอร์ซัดไปติดหัว แบรนด์ เลโน่ ไม่งั้น อาร์เซน่อล จะโดนยิงอีกประตูแน่นอน 


5. โอบาเมย็อง อยู่ในช่วงไร้สกอร์ 

นอกจาก อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ที่โหม่งไม่ได้ในต้นเกม และมีโอกาสอีกพอสมควรในการยิงประตู แต่ก็ทำไม่ได้ อีกหนึ่งหัวหอกความหวังอย่าง ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ก็ไร้สกอร์เช่นกัน

โอบาเมย็อง ไม่สามารถทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เลยนับตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลที่ยิงปิดท้ายให้ทีมบุกชนะ ฟูแล่ม 3-0 ขณะที่นัดล่าสุดก็ไม่สามารถช่วยทีมรอดพ้นความปราชัยคาบ้านต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1


โอบาเมย็อง ยิงไม่ได้ 6 นัดติดแล้ว

หัวหอกทีมชาติกาบองไม่สามารถเจาะตาข่าย เวสต์แฮม, ลิเวอร์พูล, เชฟฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ และล่าสุดกับ เลสเตอร์ ได้ โดยครั้งล่าสุดที่ยิงในลีกไม่ได้เลย 5 นัดติดต่อกันเกิดขึ้นในปี 2014 สมัยที่ยังเล่นให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในบุนเดสลีกา เยอรมัน

มีการตั้งข้อสังเกตว่านับตั้งแต่ต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปจนถึงปี 2023 โอบา ไม่ยิงประตูในลีกอีกเลย โดยประตูเดียวที่ทำได้เป็นเกมยูโรปา ลีก นัดบุกชนะ ราปิด เวียนนา 2-1 


6. ตัวแสบ เจมี่ วาร์ดี้ 

เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้า เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นตัวแสบของ อาร์เซน่อล อย่างแท้จริงเมื่อทำประตูที่ 11 ใส่ทีมปืนใหญ่จากการลงเจอกัน 12 นัด

หัวหอกสปีดนรกแตกเป็นฮีโร่ของ เลสเตอร์ อีกนัดเมื่อลงสำรองโขกประตูชัยให้ทีมบุกชนะ อาร์เซน่อล 1-0 ได้เป็นครั้งแรกในรอบเกือบห้าสิบปี 


วาร์ดี้ เล่นงาน อาร์เซน่อล อีกครั้ง

ประตูล่าสุดของหัวหอกความเร็วสูงคือประตูที่ 11 ที่ยิง อาร์เซน่อล ได้จากการลงสนามเจอกัน 12 นัด และเป็นรอง เวย์น รูนี่ย์ (12 ประตู) เพียงคนเดียวสำหรับนักเตะที่ชอบยิงปืนใหญ่มากสุด  

7. ระบบใหม่ต้องใช้เวลา 

มิเกล อาร์เตต้า ปรับมาเล่นระบบ 4-3-3 ตลอด 3 นัดหลังสุดซึ่งแน่นอนความเข้าใจในเกม จังหวะการเล่น ยังต้องใช้เวลาเพื่อให้การสอดประสานกันมีความลงตัวและลื่นไหล  

การเล่นในครึ่งแรกมีทิศทางที่ดี แต่พอยิงนำไม่ได้ก็เลยกดดันมากขึ้นในครึ่งหลัง อาร์เตต้า พยายามปรับส่ง นิโกล่าส์ เปเป้ ลงมาเพิ่มมิติในเกมรุก แต่ปีกไอวอรี่ โคสต์ ก็ไม่สามารพลิกเกมหรือพาบอลทะลุทะลวงเข้าพื้นที่อันตรายได้ กลายเป็นนักเตะดาดๆ ที่ไม่สามารถเลี้ยงบอลผ่านใครได้เลย

เช่นเดียวกับตอนที่ ชโคดราน มุสตาฟี่ ลงสนามยิ่งเห็นชัดว่าไม่เข้าใจระบบการเล่นเพราะช่วงก่อนจะเจ็บ อาร์เซน่อล ยังเล่นระบบหลัง 3 ซึ่ง มุสตาฟี่ ทำได้ค่อนข้างดี พอกลับมาอีกทีในสภาพที่ยังไม่เต็มร้อยและเป็นระบบแบ็กโฟร์ ทุกอย่างจึงดูติดๆ ขัดๆ การยืนตำแหน่งหละหลวม และกลายเป็นจุดที่ถูก เลสเตอร์ โจมตี


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด