:::     :::

กีเก้ เซเตียน : ครั้งนึงในชีวิตของคนธรรมดาบนยานแม่ (ตอนที่ 1)

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
17 สิงหาคม ตอนโดนปลดออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์บาร์เซโลน่า กีเก้ เซเตียน (ซานตานเดร์,62 ปี) ยอมถอยหลังออกมาและหายไปจากเหตุการณ์วุ่นวายโดยไม่มีความพูดใดๆ แต่เมื่อมีปฏิกิริยาในแง่ลบจากสโมสรในการจ่ายเงินชดเชยในสัญญาเลิกจ้าง กุนซือชาวซานตานเดร์จึงลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิตั้งทนายขึ้นดำเนินการ

ทุกวันนี้ เซเตียน รอผลการตัดสินอย่างเงียบๆที่บ้านหลังเดิมในตำบลเลียนเกรส (แคว้นกันตาเบรีย) เฝ้ามองฝูงวัวที่อยู่ด้านนอก..ฝูงวัวที่เขายกมาเปรียบเทียบกับชีวิตที่ผกผันในวันเข้ารับตำแหน่งเทรนเนอร์บาร์เซโลน่าชุดใหญ่  จนกลายเป็นประโยคดังที่ติดตัวเขามาจนถึงวันนี้ 

“เมื่อวานผมยังเดินเล่นอยู่กับฝูงวัวในหมู่บ้านอยู่เลย วันนี้ผมได้เทรนเนอร์ของกลุ่มนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก”

คุณๆคงจำประโยคนี้กันได้...มาวันนี้ เซเตียน กลายเป็นอดีตสำหรับ บาร์เซโลน่า ไปแล้ว ทว่าเรื่องราวในยุคสมัยสั้นๆของเขากับทีมยังมีอีกหลายเรื่องที่ทุกคนอยากรู้ 

และวันนี้เรามีโอกาสนั้นแล้ว เมื่อ เซเตียน ถูกเชิญมาให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Chalas con Del Bosque’ (คุยกับ เดล บอสเก้) ของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ อดีตกุนซือทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลก 2010 และแชมป์ยูโร 2012 ทางสื่อออนไลน์ของนสพ. El pais 


เดล บอสเก้ : ตอนเด็กๆคุณเชียร์ทีมอะไร ? 

เซเตียน : สมัยผมเด็กๆ ทุกคนเป็นแฟนเรอัล มาดริด กันหมด 

…………………………..

เดล บอสเก้ : กับ ราซิ่ง ซานตานเดร์,แอต.มาดริด และ โลโกรนเญส คุณยิงประตูได้มากมาย ทั้งๆที่ไม่ใช่กองหน้าตัวเต็ม ? 

เซเตียน : ในช่วงเริ่มต้น ผมเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่ผมยิงประตูได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่กับช่วงที่ผมถอยลงมาเล่นมิดฟิลด์ ผมต้องใช้จุดเด่นที่ตัวเองมีอย่างชาญฉลาด  

…………………………..

เดล บอสเก้ : คุณเล่นให้ แอตเลติโก ในยุคของ เฆซุส คิล (เจ้าของสโมสรตราหมีคนก่อน)?

เซเตียน : ผมย้ายไปที่นั่นในยุคที่ บิเซนเต้ กัลเดรอน เป็นประธานสโมสร และพวกเรามีขวบปีที่มหัศจรรย์ , เราลงเล่นในนัดขิงยูโรปกับ ดินาโม เคียฟ ซึ่งเราแพ้ไป 0-3 , ฤดูกาลต่อมา หลุยส์ อาราโกเนส มีปัญหาและย้ายออกจากสโมสรไป จากนั้น กัลเดรอน ก็เสียชีวิต ผมมีความทรงจำที่ดีต่อท่านประธานด้วยความสุขุมเรียบง่าย,บุคลลิกนิสัยที่ยอดเยี่ยม 

ส่วนกับ คิล นั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย เขาไม่รู้เรื่องฟุตบอล และเขาเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว รุนแรง 

…………………………..

เดล บอสเก้ : สมัยเป็นนักเตะคุณได้ชื่อว่าเป็นขบถลูกหนังคนนึงเลยใช่มั๊ย ? 

เซเตียน : ผมต่อต้านเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าไม่ยุติธรรม เพื่อปกป้องความจริงในส่วนของผม มันสร้างปัญหาให้ผมไม่น้อย แต่ผมก็พึงพอใจกับมัน 

…………………………..

เดล บอสเก้ : ตลอดอาชีพนักเตะของคุณ คุณมีเทรนเนอร์กี่คน ? 

เซเตียน : ประมาณ 14-15 คน ส่วนคนที่มีอิทธิพลต่อผมมากที่สุดก็คือหลุยส์ อาราโกเนส ผมเปลี่ยนแปลงผมไปอย่างสิ้นเชิง , มันครั้งแรกที่ผมมีโค้ชฟิตเนส, สร้างให้ผมมีสามารถในการทำงานใหญ่ๆ นอกจากนี้ผมไม่ต้องการที่จะลืม ปากีโต้ เทรนเนอร์ผมที่ ราซิ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้ผมดีขึ้นในทุกๆมิติ ซึ่งผมมาพบเขาในตอนที่อายุ 32 แล้ว 

…………………………..

เดล บอสเก้ : คุณเลิกเล่นฟุตบอลและผ่านไปหลายปีกว่าที่คุณจะหันมาจับงานกุนซือ ? 

เซเตียน : ตอนนั้นผมมองว่าการเป็นเทรนเนอร์นั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ผมเลยหันไปเล่นฟุตบอลชายหาดอยู่ประมาณ 5-6 ปี,ในตอนที่พวกเขาเสนองานคุม ราซิ่ง ให้นั้นผมกำลังดื้อแบบสุดๆเลย แต่ผมก็ตอบรับและเราก็ได้เลื่อนชั้น มันไม่ใช่เพราะผมคนเดียวหรอกนะ 

…………………………..   

เดล บอสเก้ : ที่ ลูโก้ เป็นที่ที่คุณพูดว่า ‘จากนี้ไปฉันจะเป็นเทรนเนอร์’ ? 

เซเตียน : ใช่ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมาก ผมแฮปปี้ที่ไม่ต้องมีการเซ็นสัญญาใดๆ เราใช้การตกลงด้วยวาจา ผมเริ่มรู้สึกถึงการเป็นเทรนเนอร์จริงๆก็ในช่วงเวลานั้น 

…………………………..

เดล บอสเก้ : ลูโก้ ลาส ปัลมาส,เรอัล เบติส และ 8 เดือนที่ บาร์เซโลน่า คุณสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของบรรยากาศภายในห้องแต่งตัวในที่แรกๆกับที่สุดท้ายที่คุณทำงานมากแค่ไหน ?

เซเตียน : ใช่เลย ประสบการณ์ที่ บาร์เซโลน่า นั้นมันสุดยอดเอามากๆ ผมมีโอกาสได้สัมผัสในสิ่งที่ unique มากๆ , ผมพูดกับพวกนักเตะว่าผมไม่เคยอยู่ในห้องแต่งตัวเช่นนี้มาก่อนเลย ในห้องที่มีนักเตะที่ดีที่สุดในโลกเต็มไปหมด 

…………………………..

เดล บอสเก้ : ผมคิดว่าระหว่างห้องแต่งตัวในแต่ละที่นั้นมีความแตกต่างไม่มาก สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีต่อกัน ถ้ามีความเคารพต่อกันนั่นคือเรื่องที่ดี , ผมโชคดีมากที่ได้รับความรู้สึกนี้ และมันคงเดือดแน่ ถ้ามีนักเตะบางคนทำตัวไม่เหมาะสม 

เซเตียน : ผมเห็นด้วยกับคุณทั้งหมดเลย, ตลอดช่วงเวลา 40 ปีของการทำงานในห้องแต่งตัว ทั้งในฐานะนักเตะและเทรนเนอร์ ผมได้บทสรุปให้กับตัวเองว่ามันจะมีนักเตะหนุ่มรุ่นราวๆ 16-18 ปีที่มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม และมีนักเตะรุ่นกลางๆอยู่ราว 4-5 คนที่ขาดความกระตือรือร้น 

พวกนี้จะลงฝึกซ้อม แต่ไม่ได้มีความกระหาย แต่ถ้าผลงานดี พวกนี้ก็จะฮึดขึ้นมา แต่ถ้าผลงานแย่พวกเขาก็ย่ำอยู่กับที่ตรงนั้น  หลังจากนั้นก็จะมีนักเตะ 1-2 คนที่มักสร้างความยากลำบากและแตกแยก ซึ่งผมมีทั้งเพื่อนร่วมทีมและลูกทีมที่เป็นแบบนี้ 

รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่มีอยู่ตลอดเวลาภายในทีมฟุตบอลทุกทีม ซึ่งผมชอบพูดความจริงกับพวกเขา(นักเตะ) แบบหมดเปลือก ถ้าหากนักเตะคนไหนไม่ได้ลงเล่นและต้องการคำอธิบาย คุณต้องจริงใจกับนักเตะ 

…………………………..


เดล บอสเก้ : แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรอธิบายหรือให้เหตุผลกับนักเตะมากเกินไป เพราะคุณอาจจะก่อความผิดพลาดได้ อาจทำให้นักเตะคนนึงรู้สึกว่าทำไมคุณทำกับคนนึงแบบนั้น แต่กลับไม่ทำกับอีกคน สิ่งที่บอกกับนักเตะอาจทำให้เกิดการหักล้างคำพูดของคุณได้ เราจำเป็นที่จะต้องระวังให้มาก 

ผมคิดว่าแก่นแท้ภายในห้องแต่งตัวนั้นคือความเท่าเทียมกัน เทรนเนอร์จะต้องมีความยุติธรรม หนักแน่นในสิ่งที่ตัวเองพูด

เซเตียน : นี่คือสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการสร้าง ตั้งแต่วันแรกที่คุณเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว พวกนักเตะก็พร้อมรับฟังคุณอยู่แล้ว (กล่าวถึง เดล บอสเก้ ซึ่งมีบารมีสูงมาก) 

…………………………..

       เดล บอสเก้ : คุณได้คุม บาร์เซโลน่า,ได้คุม เมสซี่ ซึ่งในวันแรกที่เข้าไป คุณพูดว่ามันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้คุมนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก ? 

         เซเตียน : ผมคิดว่า เมสซี่ คือนักเตะที่เก่งที่สุดตลอดกาล ที่ผ่านมามีสุดยอดนักเตะมากมายแต่เทียบความต่อเนื่องบนเส้นทางอันยาวนานแล้วไม่เคยมีใครทำได้อย่างเขา ผมพูดกับเขา(เมสซี่)ว่า “ฉันใช้เวลา 15 ปีรอคอยกว่าจะได้คุม บาร์ซ่า และได้เห็นนายลงเล่น” 

…………………………..

เดล บอสเก้ : คุณพูดคุยกับ เมสซี่ บ่อยแค่ไหน ? 

เซเตียน : มีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆที่ไม่ใช่ในแบบของนักฟุตบอลเพียวๆ และมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากในการจัดการเขา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นธรรมชาติของพวกนักกีฬา อย่างเช่นสิ่งที่คุณได้เห็นในสารคดีของ ไมเคิ่ล จอร์แดน (THE LAST DANCE) ในนั้นคุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณไม่คาดคิด 

…………………………..

เดล บอสเก้ : เพื่อนคนนึงของผมซึ่งเคยคุม แอต.มาดริด เล่าให้ฟังว่ามีนักเตะคนนึงในทีมตั้งเงื่อนไขกับเขาว่า “คุณจะเลือกใครระหว่างเขา(นักเตะอีกคน)กับผม ?” ซึ่งผมให้เขาแนะนำเพื่อนไปว่าเฉดหัวนักเตะคนนั้นออกจากทีมไปซะ โดยปกติแล้วพวกนักเตะมักปกป้องสิทธิของตัวเองมากกว่าพวกเทรนเนอร์เสมอ 

เซเตียน : เขา(เมสซี่) เป็นคนที่ไม่เคยพูดหรือแสดงความรู้สึก แต่เขาจะทำให้คุณเห็นว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร เขาไม่พูดเยอะ แต่มอง มอง และเอาแต่มองในสิ่งที่เขาต้องการ   

หลังจากที่ผมออกมา สิ่งที่ผมได้เข้าใจก็คือในช่วงเวลาที่คุณต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอะไรก็ตาม มันมีบางสิ่งที่อยู่เหนือคุณเสมอนั่นคือสโมสร 

สโมสร อยู่เหนือประธานสโมสร,เหนือนักเตะ,เหนือเทรนเนอร์ สิ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดคือสโมสรและแฟนบอล สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ควรได้รับความเคารพสูงสุด คุณจะต้องทำในสิ่งดีและไม่สร้างความลำบากให้กับสโมสร

มีผู้คนนับล้านๆคนที่คิดว่า เมสซี่ หรือนักเตะคนอื่นๆสำคัญกว่าสโมสร และสำคัญกว่าเทรนเนอร์ นักเตะคนนี้ (เมสซี่) ก็เหมือนคนที่อยู่รายล้อมเขานั่นแหละ พวกเขาต่างคว้าชัยชนะและถ้วยรางวัลมาอย่างมากมายตลอด 14 ปี ที่ผ่านมา 

…………………………..

เดล บอสเก้ : มีคำพูดนึง ถ้าคุณเคยได้ยิน เป็นคำพูดของ ตาต้า มาร์ติโน่ ที่ อันโดนี่ ซูบิซาร์เรต้า นำมาเล่าให้ผมฟัง เขาเล่าว่าเคยได้ยิน มาร์ติโน่ พูดกับ เมสซี่ ว่า “ฉันรู้แล้วว่าถ้านายโทรหาประธานเมื่อไหร่ ฉันสามารถโดนเด้งได้ทุกเมื่อ แต่ได้โปรดเถอะ ไม่ต้องมาแสดงให้เห็นทุกวันก็ได้นะ” มันดูสอดรับกับคำพูดของคุณจริงๆ คุณมีอะไรอยากจะบอกเขา (เมสซี่)มั๊ย ?   

เซเตียน : ผมเคยได้ยินประโยคนั้นแล้ว รวมถึงคำพูดอื่นๆด้วย แต่สำหรับผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมา

บอกว่า มาร์ติโน่ พูดแบบนี้หรือคนอื่นๆพูดหรอก ผมเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ว่านั้นมาแล้ว ผมมีประสบการณ์มากเพียงพอที่จะประเมินได้อย่างชัดเจนถึงนักเตะคนนี้ (พยายามไม่เอ่ยชื่อ เมสซี่) และคนอื่นๆ 

(อ่านต่อ ตอนที่ 2 เร็วๆนี้)

        เจมส์ ลา ลีกา แปล&เรียบเรียง



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด