:::     :::

เรื่องราวนอกสังเวียนกับ "เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค"

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
1,787
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถือเป็นข่าวร้ายของลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง

เมื่อพวกเขาจะต้องขาดเฟอร์จิล ฟาน ไดจ์คที่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก จนต้องพักยาว โดยปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ถือเป็นกระดูกสันหลังหลัก ในการพาทีมผงาดคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่ 6 และแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา แน่นอนว่า การหายไปของเจ้าตัว ถือว่าสร้างความยากลำบากให้กับทัพหงส์แดงพอสมควร


เราลองย้อนกลับไปดูเรื่องราวของปราการหลังจอมแกร่งรายนี้กันหน่อย กว่าที่เขาจะทะยานเป็นยอดนักเตะที่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้ ต้องฝ่าฟันกับอะไรมาบ้าง โดยเรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน คือเขาเกือบเสียชีวิตมาแล้ว

จุดเริ่มต้นความยากลำบากของฟาน ไดจ์คคือช่วงวัยรุ่นที่อายุได้ประมาณ 16 ปี เขายังต้องทำงานที่ร้านอาหารที่บ้านเกิดแถบเมืองเบรด้า ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอล ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นเด็กล้างจาน แลกกับเงินค่าจ้างเพียงไม่กี่ยูโรเท่านั้น 


ฟาน ไดจ์ค ออกมาย้อนความทรงจำว่าย้อนกลับไปก่อนที่ผมจะเซ็นสัญญาอาชีพ ตอนอายุประมาณ 15-16 ปี ผมทำงานเป็นเด็กล้างจานที่ร้านอาหาร ที่อยู่ในเมืองเบรด้า ผมซ้อมฟุตบอลในวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี และลงเตะในวันเสาร์ ส่วนวันพุธ และวันอาทิตย์ ผมก็ต้องทำงานเสริม ตั้งแต่ 6 โมง จนถึงเที่ยงคืน


ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้คนรอบข้างว่า อยากให้เขาหันหลังให้กับการเล่นฟุตบอลเสียที เพื่อจะมาทำงานหาเงินแบบจริงจัง แต่เขากลับเลือกเดินสวนทางกับความคิดเหล่านั้น ด้วยการทำงานล้างจานต่อไปอย่างขยันขันแข็ง และส่งตัวเองเข้าอะคาเดมี่ฟุตบอลเป็นผลสำเร็จ


ฟาน ไดจ์ค เริ่มเส้นทางลูกหนังระดับเยาวชนกับอะคาเดมี่ของสโมสรวิลเล่ม ทเว อย่างไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นแบบทดสอบครั้งแรกที่สำคัญต่อเส้นทางลูกหนังของเขาเหลือเกิน เมื่อเขาต้องลิ้มรสกับการถูกปฏิเสธเข้าอย่างจัง


เขาอยู่กับทีมเยาวชนของวิลเล่ม ทเว เพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น กระทั่งโดนปล่อยออกจากทีมอย่างไม่ใยดี ด้วยข้อหาในแง่ของโครงสร้างทางร่างกาย โดยตอนที่เขาอยู่กับวิลเล่ม ทเว สโมสรคิดว่าเขารูปร่างเล็กจนเกินไป และไม่น่าจะเอาตัวรอดในสนามแข่งขันได้ 


ฟาน ไดจ์ค ยังคงเล่าต่อว่า ทีมพยายามจับเขาไปเล่นแบ็คขวา และสุ่มเสี่ยงต่อการโดนตัดตัวออกจากทีม ในตอนนั้น เขาอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น มันถือเป็นช่วงอันตรายของเส้นทางการค้าแข้ง โดยทีมพยายามหาหนทางกำจัดเขาไปให้พ้น 


พร้อมกันนี้ เขายังยอมรับว่า ตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แย่สุดของทีม ที่ฝีเท้าห่วย นอกจากนี้ เขายังวิ่งช้า และตัวเล็ก เรียกได้ว่า เขาไม่มีอะไรดีเลย แถมในเวลาต่อมา เขายังมีปัญหาที่บริเวณหัวเข่าเพิ่มเติมด้วย จนต้องค่อยๆพิสูจน์ตัวเองขึ้นมา 

หลังถูกปล่อยตัวออกจากวิลเล่ม ทเว ฟาน ไดจ์ค ย้ายไปร่วมทีม เอฟซี โกรนิงเก้น พร้อมกับย้อนความทรงจำถึงการต่อสู้ชีวิตว่าตอนที่ผมย้ายไปร่วมทีมเอฟซี โกรนิงเก้น ผมต้องปั่นจักรยานไปฝึกซ้อม ค่าเหนื่อยก้อนแรกของผม หมดไปกับการเรียนขับรถ


หลังจากนั้น เขาต้องพบกับแบบทดสอบสำคัญอีกครั้ง ตอนอายุ 20 ปี เมื่อถูกตรวจพบว่าเป็น "ฝี" ที่ถือเป็นอันตราย ส่งผลให้เขาต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล นานกว่าครึ่งเดือน 


การเป็นฝีในครั้งนั้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวของเขาหายไปกว่า 15 กิโลกรัม แน่นอนว่า เขายังมีแผลเป็นจากการผ่าตัดใหญ่อยู่บริเวณตรงท้องด้วย ซึ่งเขายอมรับว่า มันคือเหตุการณ์ที่เกือบเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล 


ฟาน ไดจ์ค เล่าว่า มันเป็นการผ่านตัดครั้งใหญ่ เขาถูกตรวจพบว่ามีฝีในช่องท้อง ส่งผลให้ต้องป่วยหนัก แพทย์ได้บอกว่าอยู่ในขั้นอันตรายแล้ว เขามีอาการติดเชื้อ และฝีกำลังจะแตกด้วย แต่โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้น โดยที่คุณแม่ของเขาถึงกับสวดภาวนาแทบทุกคืน เพราะกลัวลูกชายคนนี้เสียชีวิต

ท้ายที่สุด ฟาน ไดจ์ค รอดตาย และสู้ชีวิต จนกลับมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพตามปกติ กระทั่งปี 2013 เขาย้ายไปร่วมทีมกลาสโกว์ เซลติก จนเป็นส่วนหนึ่งในการพาทีมคว้าแชมป์ลีกสกอตแลนด์ 2 สมัยติดต่อกัน แต่นั่นไม่เพียงพอให้กุนซือ หลุยส์ ฟาน กัลหนีบเขาไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย 


โดยทีมงานของฟาน กัล และทีมชาติเนเธอร์แลนด์ มองว่า เขายังเป็นแค่ปราการหลังที่มาจากลีกที่ไม่มีมาตรฐานที่สูงมากนัก แถมยังไม่สามารถเล่นเกมรับได้ตามที่ต้องการ โดยเฉพาะการดันตัวเองขึ้นสูง เพื่อมาป้องกันในพื้นที่ที่สูงกว่าปกติ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนที่ทีมชาติไม่ต้องการ


กระทั่งในปี 2015 เขาได้ย้ายมาร่วมทีมเซาธ์แฮมป์ตัน ของพรีเมียร์ลีก พร้อมกับได้ติดทัพอัศวินสีส้มเป็นครั้งแรกในชีวิต ก่อนพัฒนาฝีเท้าขึ้นมา จนลิเวอร์พูล ยอมทุ่มเงินเป็นสถิติโลกของกองหลังเวลานั้นที่ 75 ล้านปอนด์ ซื้อตัวมาครอบครอง  


นี่คือเรื่องราวบางส่วนของการสู้ชีวิตของฟาน ไดจ์คที่ไล่ตั้งแต่เด็กล้างจาน, โดนตัดทิ้งจากทีมเยาวชน, เกือบตายเพราะโรค และถูกเมินจากทีมชาติฮอลแลนด์ จนก้าวมาเป็นกองหลังระดับโลก เจ้าของแชมป์ยุโรป และอันดับสองของนักเตะบัลลงดอร์ 

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด