ความทรงจำในค่ำคืนที่ปีศาจเผชิญหน้ากับ"พระเจ้า"
แพดดี้ ครีแรนด์ ตำนานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กล่าวไว้ว่า ในค่ำคืนของเกมยุโรปที่โอลด์แทรฟฟอร์ดนั้นยากที่จะหาสิ่งใดมาเสมอเหมือน นอร์แมน ไวท์ไซด์ นักเตะคนสำคัญในยุค80sของแมนยูไนเต็ดเองก็ได้ยินชายสูงวัยผู้นี้เล่าผ่านปากคำให้ฟังมาก่อนแล้วบ้าง
แต่ว่าในยามที่สโมสรประสบความสำเร็จในยุค 1960s มันก็ผ่านมานานมากๆแล้วที่ครีแรนด์เล่า ในขณะที่ 70s 80s ชื่อชั้นของทีมก็จางหายไปบ้าง กว่าจะถึงเวลาที่แมนยูไนเต็ดได้เข้าร่วมแข่งขันรายการคัพวินเนอร์สคัพ ปี1983/84 มันก็เป็นคนละยุคสมัยกันแล้ว ยูไนเต็ดไม่ได้คว้าแชมป์ระดับทวีปนับตั้งแต่ปี 197/78
ในช่วงปลายๆปี1983 แมนยูไนเต็ดชนะผ่าน Dulka Prague และ Spartak Varna เข้รอบมาได้ ก่อนที่จะจับสลากประกบคู่มาเจอกับ "บาร์เซโลน่า" ในรายการ คัพวินเนอร์สคัพ ในรอบ8ทีมสุดท้าย
นอร์แมน ไวท์ไซด์ในยามที่เป็นนักเตะดาวรุ่งอายุน้อยนั้นอยากที่จะรู้คำตอบเหลือเกินว่า ทำไมเกมยุโรปในค่ำคืนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด มันถึงได้เป็นเรื่องเล่าขานกันขนาดนั้น มันมีอะไรพิเศษ?
บาร์เซโลน่าในตอนนั้นมีนักเตะระดับแนวหน้าๆของโลกอยู่ด้วย เขาผู้นั้นคือพ่อค้าแข้งที่น่าหลงใหลชาวอาร์เจนติน่านั่นเอง
"Diego Maradona"
ซึ่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดก็โดนพวกเขาเอาชนะไปได้ 2-0 ที่นูคัมป์ในเลกแรก แต่ว่ามันยังไม่ได้จบสิ้นตรงนั้น เมื่อตำนานของ "กัปตันมาร์เวล" ถูกเล่าขานขึ้นในยามที่ท้าสู้กับ"พระเจ้า"เหมือนกัน ไบรอัน ร็อบสัน สร้างสิ่งที่ทำให้เขาถูกขนานนามเช่นนั้นในเกมยุโรปนี้ด้วยการเบิ้ลสองประตู ก่อนที่Frank Stapleton จะยิงประตูที่สาม พาแมนยูไนเต็ดแซงบาร์เซโลน่า เข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปในที่สุด
"กัปตันมาร์เวล VS พระเจ้า"
"คืนนั้นคุณทำอะไรอยู่ เล่าให้ฟังหน่อยเกี่ยวกับความทรงจำที่ได้เจอ Diego Maradona"
"เวลาที่มีคนถามผมในทุกๆครั้งว่า เกมไหนคือเกมที่ดีที่สุดที่ผมได้ลงเล่นนั้น จะบอกว่าเกมนั้นมันเป็นแมตช์ที่มีบรรยากาศของการแข่งขันที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเจอมาเลย"
นอร์แมน ไวท์ไซด์ ย้อนความให้ฟังในขณะนั้นเขาเพิ่งจะอายุ18เท่านั้นเอง
"ผมเคยลงเล่นในฟุตบอลโลก และก็บอลถ้วยรอบชิงมาแล้ว แต่ว่าคืนนั้นที่โอลด์แทรฟฟอร์ดมันระทึกมากๆ สิ่งต่างๆที่เคยถูกเล่าขานกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น เกิดขึ้นจริงทั้งหมดในคืนที่ว่า ทั้งการเสียวสันหลังวาบ หลังคาสนามที่เปิดออก การที่รู้สึกเหมือนมีผู้เล่นพิเศษเพิ่มมาเยอะกว่าปกติในสนาม เกมยุโรปที่สนามนี้มันเป็นงั้นจริงๆ"
"แพดดี้ ครีแรนด์ชอบเล่าเรื่องคืนเกมยุโรปให้ฟังบ่อยๆและผมก็จำได้นะ ตอนนั้นผมยังเด็กและได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ในคืนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ผมยังไม่เคยได้เจอประสบการณ์ที่ว่ามาก่อนเลย"
"หลังจากนั้นพอมันเกิดขึ้น และคุณระลึกถึงคำพูดของเขาได้แล้วว่ามันหมายความว่ายังไง นั่นแหละ แมตช์นั้นคือหนึ่งในเกมยุโรปที่ดีที่สุด ณ โอลด์แทรฟฟอร์ด อย่างแท้จริง"
ยูไนเต็ดกำลังอยู่ในเส้นทางที่กำลังพยายามแย่งชิงการจบซีซั่นในอันดับที่4อยู่ในปี 1983/84 และเลกแรกยามที่ทีมไปแพ้มาจากสเปนโดยบาร์เซโลน่าที่จบอันดับ3ในฤดูกาลนั้น ก่อนที่ปีถัดมาพวกเขาจะคว้าแชมป์ลาลีกาเป็นครั้งแรกในรอบ11ปีจนต้องถูกจารึกไว้
ไวท์ไซด์ไม่ได้ลงเล่นในเกมที่นูคัมป์ แต่ว่าGary Bailey อดีตนายทวารของแมนยูไนเต็ดยืนเฝ้าเสาอยู่ทั้งสองเกมที่ว่านี้ และเขาจำได้ดีว่า แผนที่เตรียมไปรับมือพวกเขาที่กาตาลุนญ่านั้นเป็นไปได้ด้วยดีเลย แต่ดันมาโดนประตูสุดป่าเถื่อนยิงช่วงท้ายเกม
"เราโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะเกมที่ไปเยือนนั้น เรามีนักเตะเจ็บเยอะมาก Graeme Hoggต้องลงเล่นเพราะว่า Centre Backsเจ็บคู่ และตามหลัง1-0 (จากลูกที่กองหลังแมนยูทำเข้าประตูตัวเอง ฮาาาา มีมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้วนะ!) ก่อนที่พวกเขาจะซัดไกลด้วยลูกไฟสุดโหดวอลเล่ย์กลางอากาศจากหัวกะโหลกระยะ 25หลา เสียบตาข่ายได้อีกหนึ่งลูก"
"ตอน 1-0 เราก็ยังรู้สึกว่ารับมือกับพวกเขาได้ดีอยู่นะ แต่พอโดน 2-0 เข้าไปมันทำให้งานยากเลย"
แกรมม์ ฮอกก์ ลงสนามให้แมนยูไนเต็ดทั้งหมด 111นัด แต่ในเกมที่ลงไปเจอบาร์เซโลน่าเกมนั้น เขาคือเด็กอายุ19ที่ต้องลงสนามไปประหนึ่งทดลองทำงานจริงเลยอย่างลำบากโดยไม่มีรุ่นพี่สอนงานนั่นเอง
ในขณะที่ร็อบสันนั้นแสดงความเป็นราชาที่โอลด์แทรฟฟอร์ดในเลกที่สอง ไวท์ไซด์ก็ย้อนความให้ฟังถึงการเล่นที่ยอดเยี่ยมของกองหลังจากถิ่นAberdeenรายนี้ให้ฟังว่า
"บาร์ซ่ามีดิเอโก้ มาราโดน่า กับ แบรนด์ ชูสเตอร์นะ(Bernd Schuster) พวกเขาเป็นนักเตะดาวเด่น และในทีมส่วนใหญ่ก็เป็นนักเตะทีมชาติสเปนล้วนๆ"
"แรงกดดันมันสูงมาก และเราต้องลงไปสู้โดยทุ่มเททุกอย่างหมดหน้าตัก ผู้คนจะจำกันได้ว่า ไบรอัน ร็อบสัน เล่นได้อย่างสุดยอดเพียงใดในเกมนั้นแล้วซัดได้ถึงสองประตู แต่ว่าสิ่งที่ผู้คนไม่เคยจำเลยก็คือ การประกบตายของ Graeme Hogg เด็กอายุ19คนนั้นที่ตามติดมาราโดน่าได้ตลอดทั้งเกมนั่นแหละ แทบจะไม่มีใครพูดถึงเขาเลย"
"ในตอนสุดท้ายภาพที่ร็อบโบ้ถูกแห่หลังเกม ทำให้มันเป็นค่ำคืนแห่งความทรงจำอย่างมาก"
ในขณะที่ แกรี่ เบลีย์ ที่ได้ลงรับใช้แมนยูไนเต็ดมามากมายกว่า300นัด แต่เกมคว้าชัยที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในวันที่21 มีนาคม 1984 คืนนั้น เป็นเกมที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด
"ถึงเราจะไม่ได้ลงเล่นบอลยุโรปหรือเจอเกมน่าตื่นเต้นอะไรแบบนี้บ่อยๆ แต่คืนนั้นมันเป็นเกมที่มีบรรยากาศสุดยอดที่สุด"
เบลีย์เล่าให้ฟังอีกครั้ง
"ปีนั้นเราผ่านบาร์เซโลน่าไปได้และเข้าไปเจอกับยูเวนตุส มันเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องคว้าแชมป์อะไรสักอย่างเพื่อก้าวขึ้นสู่ระดับยุโรป"
"สำหรับผมคิดว่า สิ่งนี้มันทำให้แฟนๆนึกย้อนไปถึงวันวานเก่าๆที่ประสบความสำเร็จในช่วงปี68ได้ มันเป็นบรรยากาศที่ดีที่สุดซึ่งใครที่อยู่ด้วย ณ ตอนนั้นคงจะรู้สึกเช่นกัน โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยบ่อย ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ"
และมันก็คงจะพิเศษสำหรับเบลีย์ด้วยนั่นแหละที่สามารถป้องกันปากประตูจากสองเท้าของ"พระเจ้า" ได้
"มันเป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างสุดๆเลยนะ ผมเคยลงเล่นแล้วเจอกองหน้าเก่งๆมามากมายแล้ว แต่นั่นเขา เขาคือคนที่เก่งที่สุดในโลก มันเป็นอีกระดับนึงเลยล่ะที่ต้องเผชิญหน้ากัน"
เบลีย์ให้สัมภาษณ์กับ MEN เอาไว้จากบ้านที่ฟลอริด้าของเขา
"เขาเล่นกับลูกบอลได้อย่างน่าเหลือเชื่อมากเหมือนกับเมสซี่นั่นแหละ ฟรีคิกเขาโคตรสุดยอด ในยามที่เขามายืนกองๆกันอยู่ตรจุดยิงฟรีคิก ผมไม่รู้จะสั่งกำแพงยังไงเลยนะเพราะว่า ตั้งยังไงมาราโดน่าก็ปั่นผ่านกำแพงมาได้อยู่ดี แต่ผมคิดในขณะนั้นนะว่าเขาน่าจะยิงหนีมาทางด้านผม สมองมันสั่งให้ผมไปยืนอีกด้าน แต่ผมจะซื้อกำแพง เสี่ยงยืนปิดด้านของตัวเองไว้เท่านั้น เพราะถ้าเขาชิพข้ามกำแพงมาได้ ยังไงก็เซฟไม่ไหวอยู่แล้ว"
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับ บาร์เซโลน่า คือสองผู้ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลยุโรป ได้เผชิญหน้ากันในเวทีระดับทวีปมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีใครไหนที่น่าจดจำเท่ากับการเผชิญหน้ากันครั้งแรกในปี1984
และการที่ครั้งหนึ่ง โอลด์แทรฟฟอร์ดเคยได้ต้อนรับนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์คนหนึ่งอย่างมาราโดน่าแล้วนั้น มันคือเกียรติ ศักดิ์ศรี และความภูมิใจของสโมสรอย่างถึงที่สุดจริงๆ
บทความนี้เขียนเพื่อไว้อาลัยให้แด่นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ตลอดกาล
คุณจะเป็นตำนานในหัวใจผมที่จะไม่มีใครมาล้มได้ตลอดไป
The Greatest Of All Time
Rest In Peace
Descansa en paz, Leyenda
Diego Maradona
-ศาลาผี-
Reference