:::     :::

ปิดตำนาน "หัตถ์พระเจ้า" ตอน 1

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
โลกลูกหนังได้สูญเสียตำนานแข้งอีกคนเมื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า เทพเจ้าชาวอาร์เจนไตน์เสียชีวิตหลังหัวใจล้มเหลว เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟนบอลทั่วโลก

มาราโดน่า เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดอาการลิ่มเลือดในสมองเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนกลับไปพักฟื้นที่บ้านพักในเมืองติเกร ทางตอนเหนือของกรุงบูเอโนสไอเรส แต่เกิดอาการหัวใจวายและทีมแพทย์ที่ถูกเรียกตัวด่วนมาบ้านพักไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้ 

เจ้าของฉายา "เสือเตี้ย" จากไปในวัย 60 ปี พร้อมทิ้งเรื่องราวที่เป็นตำนานทั้งความสำเร็จในเชิงลูกหนัง และการใช้ชีวิตสุดขั้วเท่าที่สัญชาตญาณนำพาไปในแต่ละช่วงวัย

บทเริ่มต้นของความอัจฉริยะ

"ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า" เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1960 ในเมืองลานุส กรุงบัวโนส ไอเรส จากครอบครัวที่มีฐานะยากจน เขาเป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 9 คน และเป็นลูกชายคนโต 

ตอนอายุ 3 ขวบ มาราโดน่า ได้ของขวัญวันเกิดเป็นลูกฟุตบอลซึ่งได้กลายเป็นสิ่งที่เค้นเอาความอัจฉริยะในตัวเขาออกมาให้โลกได้รู้จัก

คุณพ่อและแม่ของ มาราโดน่า มองเห็นฝีเท้าอันไม่ธรรมดาของลูกชายและพยายามประคบประหงมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีเท่าที่สถานะจะทำได้ ด้วยความหวังว่าพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่จะนำพาครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น

แมวมองของทีมเยาวชน อาร์เจนตินโนส จูเนียร์ส ไปเห็นแววของ มาราโดน่า และดึงตัวเข้าสังกัดตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เขามักได้โอกาสโชว์ทักษะการเดาะบอลระหว่างพักครึ่งของการแข่งขันเกมลีกของชุดใหญ่ต่อหน้าผู้ชมหลายหมื่น และทำให้แฟนบอลเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเขามากขึ้น

วัยเด็กของ ดีเอโก้ มาราโดน่า 

20 ตุลาคม 1976 หรือก่อนวันเกิดอายุครบ 16 ปี เพียง 10 วัน ดีเอโก้ มาราโดน่า สร้างชื่อให้ตัวเองด้วยการได้ประเดิมสนามให้ชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยสุดที่ได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของแดนฟ้า-ขาวทันที 

อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนถัดมา มาราโดน่า ยิงประตูแรกให้กับ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ในเกมพบกับ ซาน ลอเรนโซ่ จากนั้นชื่อของเขาก็เป็นที่รู้จักในวงกว้าง 

มาราโดน่า วาดลวดลายให้ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส นาน 5 ปี ลงสนามทั้งหมด 167 นัด ยิงไป 115 ประตู ก่อนย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โบคา จูเนียร์ส โดยที่ปัดข้อเสนอของหลายต่อหลายทีมจากยุโรป

เพียงฤดูกาลแรกกับทีมโปรด มาราโดน่า ก็นำ โบคา จูเนียร์ส คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอาร์เจนตินาได้สำเร็จและเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกและสมัยเดียวกับทีมในบ้านเกิด ก่อนย้ายสู่ยุโรปในปีถัดมาด้วยการเซ็นสัญญากับ บาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังของสเปน


ก้าวแรกบนเวทียุโรป 

หลังจบฟุตบอลโลก 1982 ที่เป็นฟุตบอลโลกสมัยแรกในชีวิต ดีเอโก้ มาราโดน่า ได้ย้ายสู่ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ อันเป็นสถิติโลกในตอนนั้น 

ช่วงเวลา 2 ฤดูกาลในสีเสื้อเจ้าบุญทุ่ม มาราโดน่า ลงสนาม 58 นัด ยิงได้ 38 ประตู พาทีมได้แชมป์โกปา เดล เรย์ 1 สมัยในฤดูกาลแรก และเป็นนักเตะบาร์ซ่าคนแรกที่แฟนบอล เรอัล มาดริด ยังต้องยอมศิโรราบปรบมือให้หลังโชว์เพลงแข้งอันยอดเยี่ยมในสนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว 

มาราโดน่า น่าจะแสดงศักยภาพออกมาได้มากกว่านี้หากไม่เพราะเขาเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนบ่อยครั้ง ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการที่เขาเริ่มสนุกกับชีวิตนอกสนามที่มีทั้งปาร์ตี้ ผู้หญิง แอลกอฮอล์ และยาเสพติด จนบางครั้งเลยเถิดส่งผลต่อสภาพร่างกาย


ดวลฝีเท้ากับ มาริโอ เคมเปส รุ่นพี่ร่วมชาติที่เล่นให้ บาเลนเซีย

นอกจากการใช้พรสวรรค์ที่มีปกปิดระเบียบวินัยอันหย่อนยานในการใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว มาราโดน่า เคยต้องบาดหนักหลังโดน อันโดนี่ กอยโคเซีย ขาโหดของ แอธเลติก บิลเบา พุ่งเสียบจนเสือเตี้ยข้อเท้าหักและพักยาวในปี 1983 

อีกปีถัดมา มาราโดน่า เอาคืนแข้ง บิลเบา อีกหลายคนหลังจบเกม โกปา เดล เรย์ ที่เกิดเหตุตะลุมบอน โดยที่ มาราโดน่า งัดสารพัดอาวุธทั้งหัวโขก สับศอก และเข่าลอยจนทำให้คู่กรณีสลบเหมือดในสนาม 

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อหน้า กษัตริย์ ฆวน การ์ลอส ที่เสด็จฯ ทอดพระเนตรในสนามด้วย ทำให้มีเสียงเรียกร้องถึง บาร์เซโลน่า ให้ปล่อยตัว มาราโดน่า ออกจากทีมเพราะทำให้สโมสรเสื่อมเสีย และเกมสุดอื้อฉาวก็กลายเป็นนัดสุดท้ายของเขากับทีมเจ้าบุญทุ่ม 

  

เทพเจ้าชาวเนเปิ้ลส์

ดีเอโก้ มาราโดน่า ย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปร่วมทีม นาโปลี ในปี 1984 ด้วยค่าตัว 6.9 ล้านปอนด์ ทุบสถิติโลกของตัวเองอีกครั้ง ในวันเปิดตัวที่สนาม ซาน เปาโล มีแฟนบอลนาโปลีมากถึง 75,000 คนเข้าไปร่วมเป็นสักขีพยานต้อนรับซูเปอร์สตาร์คนใหม่ที่ในเวลาต่อมาได้กลายเป็น "เทพเจ้า" ของชาวเมืองเนเปิ้ลส์ทุกคน 

วงการฟุตบอลอิตาลีในช่วงนั้นยึดครองความยิ่งใหญ่โดย เอซี มิลาน, ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ โรม่า โดยที่ไม่มีสโมสรจากตอนใต้ทีมใดเลยที่เคยคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครอง ขณะที่ นาโปลี ก็เป็นเพียงทีมดาดๆ ที่จบเพียงอันดับ 11 ของตารางในฤดูกาลก่อนการมาถึงของ มาราโดน่า

ชาวเมืองเนเปิ้ลส์ ถูกสร้างให้มีความเชื่อและความหวังในชีวิตว่าแม้ในช่วงที่บ้านเมืองขัดสน อัตราการวางงานพุ่งสูง โรงเรียน ที่พัก และขนส่งสาธารณะด้อยคุณภาพ จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปเพราะพวกเขามี "ดีเอโก้ มาราโดน่า" อยู่ทั้งคน 


เปิดตัวต่อหน้าแฟนบอล 75,000 คนใน ซาน เปาโล 

มาราโดน่า ทำให้ความเชื่อของชาวเนเปิ้ลส์กลายเป็นจริงด้วยการพาทีมอัซซูร์ร่าก้าวขึ้นมาท้าทายความยิ่งใหญ่ของสโมสรทางตอนเหนือ เขากลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของ นาโปลี ในเวลารวดเร็ว เช่นเดียวกับสืบทอดตำแหน่งกัปตันทีม 

นาโปลี ยกระดับขึ้นมาต่อเนื่องในยุคของ มาราโดน่า จนกระทั่งปลดแอกคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา สมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จในฤดูกาล 1986/87 โดยที่หนึ่งปีก่อนหน้านนั้น เขาเพิ่งพาทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1986

มาราโดน่า กับ นาโปลี ได้สคูเด็ตโต้อีกสมัยในฤดูกาล 1989/90 นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย และยูฟ่า คัพ อีก 1 สมัยด้วย เรียกได้ว่าเป็นยุค นาโปลี ได้ประกาศศักดาอย่างเต็มตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  

หากมีคำถามว่า นาโปลี ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคใด คำตอบร้อยทั้งร้อยแบบไร้ข้อโต้แย้งคือ "ยุคของ ดีเอโก้ มาราโดน่า" 

นาโปลี ไม่เคยสัมผัสแชมป์เซเรีย อา ได้อีกเลยหลังหมดยุคของ มาราโดน่า นั่นทำให้เขามีสถานะไม่ต่างจากเทพเจ้าที่แสกความสำเร็จ ความอิ่มเอมใจให้กับทุกคนแม้ในชีวิตจริงจะข้นแค้นแสนลำบาก 


ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ นาโปลี

อย่างไรก็ตาม ชีวิตในช่วงนี้ของ มาราโดน่า เริ่มเข้าไปพัวผันกับเรื่องอื้อฉาวมากขึ้นทั้งการยุ่งเกี่ยวกับตระกูลมาเฟียในเมืองเนเปิ้ลส์ และการใช้ยาเสพติดอย่างหนัก บ้างก็ว่าเขาถึงขั้นเป็นคนค้าเสียเอง 

ในปี 1991 มาราโดน่า ถูกแบนห้ามลงสนามนานถึง 15 เดือนหลังถูกตรวจพบว่าเสพโคเคนและทำให้เส้นทางลูกหนังของเขาต้องพลิกผันกลายเป็นขาลงที่ไม่เคยไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อีกเลย  

ฉากจบของ มาราโดน่า กับ นาโปลี ไม่สวยงามนัก แต่ช่วงเวลา 7 ปีกับสโมสรก็คือช่วงที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งหากวัดกันที่ผลงานในสนาม เขาครองตำแหน่งดาวซัลโวตลอดกาล 115 ประตูอยู่นานทั้งที่ไม่ได้เล่นตำแหน่งหน้าเป้า ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะถูกโค่นสถิติลงโดย มาเร็ค ฮัมซิค และ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ ตามลำดับ 

ขาลงในช่วงปลายอาชีพ 

หลังพ้นโทษแบน 15 เดือน ดีเอโก้ มาราโดน่า ย้ายกลับไปเล่นในสเปนอีกครั้งกับ เซบีย่า แต่ก็ร่วมงานกันได้เพียงฤดูกาลเดียว เขากลับบ้านเกิดไปร่วมทีม นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ ในปี 1993 ต่อด้วยทิ้งทวน 2 ปีสุดท้ายในอาชีพกับทีมรัก โบคา จูเนียร์ส ที่เขาแขวนสตั๊ดในปี 1997 ขณะอายุ 37 ปี 

ในช่วงปลายอาชีพ มาราโดน่า ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เขามีปัญหาสุขภาพบ่อยครั้งทำให้ไม่ได้ลงสนามเท่าที่ควร แต่กระนั้นชื่อเสียงและความเกรียงไกรของเขาก็ยังเรียกแฟนบอลเข้าสนามได้แน่นขนัดในทุกนัด 

∎∎∎

โปรดรอติดตามต่อในตอนที่ 2 ที่เป็นเรื่องราวความยิ่งใหญ่กับทีมชาติอาร์เจนตินา รวมไปถึงวีรกรรมสุดขั้วมากมายในการใช้ชีวิตจนถึงวันที่ลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุดลง 


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด