:::     :::

ปิดตำนาน "หัตถ์พระเจ้า" ตอน 2

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังจากได้ติดตามเรื่องราวการค้าแข้งในระดับสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ นาโปลี กันไปแล้ว ในตอนที่ 2 ของ ปิดตำนาน "หัตถ์พระเจ้า" เราจะไปว่ากันถึงความยิ่งใหญ่ในการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา และชีวิตสุดขั้วในหลายอย่างของ "ดีเอโก้ มาราโดน่า" ผู้ล่วงลับ

สู่บัลลังก์แชมป์โลก

"เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ติดทีมชาติอาร์เจนตินาชุดอายุไม่เกิน 20 ปี เมื่อปี 1977 รวมถึงทีมชาติชุดใหญ่ในปีเดียวกันซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น 

มาราโดน่า พลาดโอกาสลงเล่นฟุตบอลโลก 1978 รอบสุดท้ายในบ้านเกิดอย่างน่าเสียดายหลังถูกตัดชื่อออกจากทีมด้วยเพราะกุนซือ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ มองว่าเขายังเด็กเกินไป อายุยังไม่เต็ม 18 ปี 

แต่ปีถัดมา เสือเตี้ย กลับไปช่วยทีมชาติชุดยู-20 ลุยศึกฟุตบอลโลกรุ่นเล็ก ก่อนพาทีมคว้าแชมป์มาครองด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมยิงไป 6 ประตูจาก 6 นัด พร้อมคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ 

ก่อนย้ายไปเล่นในยุโรปกับ บาร์เซโลน่า มาราโดน่า ได้สัมผัสฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ครั้งแรกในปี 1982 ซึ่งจัดขึ้นที่สเปนด้วย เขาเจอการรับน้องอย่างโหดร้ายกลายเป็นเป้าทำฟาวล์ของคู่แข่งที่รุมอัดอย่างเมามันก่อนสติหลุดเอาคืนจนโดนใบแดงในเกมพ่ายต่อทีมชาติบราซิล 1-3 และทัพ "ฟ้า-ขาว" ที่มีดีกรีแชมป์เก่าก็ตกรอบ 2 ในครั้งนั้น 

อีก 4 ปีถัดมา ดีเอโก้ มาราโดน่า ประกาศศักดาก้องโลกด้วยการนำทัพฟ้า-ขาวคว้าแชมป์โลกสมัยสองและเป็นสมัยแรกของตัวเองด้วยผลงานที่แฟนบอลยังคงจดจำทั้งด้านบวกและด้านลบจนถึงทุกวันนี้

มาราโดน่า เป็นกัปตันทีมและลงเล่นครบทุกนัดทุกนาทีตลอดเส้นทางสู่บัลลังก์แชมป์ที่ยิงไป 5 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ โดยซัดประตูแรกได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่พบทีมชาติอิตาลี และทำแฮตทริกแอสซิสต์ในเกมกับทีมชาติเกาหลีใต้

นัดประวัติศาสตร์ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่เปิดศึกกับทีมชาติอังกฤษ มาราโดน่า ทำให้ทุกคนจดจำเขามากยิ่งขึ้นด้วยการทำสองประตูพาอาร์เจนตินาชนะ 2-1 และเป็นสองประตูที่ยังคงถูกพูดถึงในทุกวันนี้


ประตูแรกคือที่มาของฉายา "หัตถ์พระเจ้า" เมื่อเขากระโดดใช้มือชกบอลตุงตาตาข่ายก่อนที่ ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารสิงโตคำรามจะคว้าได้ นี่คือประตูที่บ่งบอกความเป็น ดีเอโก้ มาราโดน่า ได้ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไหวพริบในการทำประตู และพร้อมทำทุกอย่างเพื่อพาทีมชนะไม่ว่าจะผิดหรือถูก 

อีกประตูถูกจดจำไม่แพ้กันเมื่อ มาราโดน่า โชว์ลีลาเลี้ยงบอลกว่าครึ่งสนามหลบผู้เล่นอังกฤษ 5 คน รวมทั้ง ชิลตัน ก่อนส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างเหนือชั้น ซึ่งที่ในเวลาต่อมา ฟีฟ่า ยกให้ประตูนี้เป็นประตูแห่งศตวรรษ

มาราโดน่า ยังโชว์ลีลาลากหลบคู่แข่ง 4 คนในรอบรองชนะเลิศที่ อาร์เจนตินา ชนะ เบลเยียม ก่อนพาทีมเบียดชนะ เยอรมันตะวันตก 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกมาครองอย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าแฟนบอล 115,000 คนที่สนาม อัซเตเก้า 

  ฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ดีเอโก้ มาราโดน่า ไม่ได้แบกทีมเอาไว้แทบจะคนเดียวเมื่อ 4 ปีก่อนเพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ผลงานไม่ได้เปล่งปลั่งมากนักแต่ก็ยังเข็นอาร์เจนตินาเข้าไปรีแมตช์กับเยอรมันตะวันตกอีกครั้ง

ในรอบชิงชนะเลิศครั้งนี้ "อินทรีเหล็ก" ถอนแค้น "ฟ้า-ขาว" ได้สำเร็จจากประตูจุดโทษของ อันเดรียส เบรห์เม่ ในช่วงท้ายเกม ทำให้ มาราโดน่า พลาดแชมป์โลกสมัย 2 ของตัวเองอย่างน่าเสียดาย

อีก 4 ปีถัดมา ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ในวัยย่าง 34 ปี เกิดขึ้นที่สหรัฐฯ แต่เขาได้ลงเล่นเพียง 2 นัดและยิงได้ประตูในเกมกับทีมชาติกรีซ ก่อนถูกส่งกลับบ้านหลังถูกตรวจพบว่าโด๊ปยา 

อาร์เจนตินาจอดป้ายเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในครั้งนั้น และก็ไม่เคยได้สัมผัสตำแหน่งแชมป์โลกอีกเลยจนถึงปัจจุบัน

ชีวิตที่มีแต่ "ขาว" กับ "ดำ" 

ด้วยพรสวรรค์ที่ทำให้แจ้งเกิดและมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อยๆ นำมาซึ่งชีวิตที่ไร้กฎเกณฑ์และสุดขั้วของ ดีเอโก้ มาราโดน่า  

มาราโดน่า เริ่มให้ความสำคัญกับความสำราญนอกสนามมากขึ้นในช่วงที่ค้าแข้งในสเปน เขาออกปาร์ตี้อย่างเต็มที่จนส่งผลให้มาซ้อมสายในหลายครั้งและได้ลงสนามไม่มากนักในช่วงแรก

ว่ากันว่า บาร์เซโลน่า เอาใจ มาราโดน่า เป็นพิเศษด้วยการปรับเวลาซ้อมช้าไปอีก 3 ชั่วโมงเพื่อให้เจ้าตัวได้นอนมากขึ้น แม้ประธานสโมสรในตอนนั้นอย่าง โจเซป หลุยส์ นูเญซ จะออกมาปฏิเสธว่าทุกอย่างยังปกติก็ตาม

ในช่วงย้ายไปเล่นให้ นาโปลี ในปี 1984 ดีเอโก้ มาราโดน่า ยังคงคอนเซปต์ทำอะไรให้สุดทางไม่ว่าจะขาวก็ขาวสุดๆ เหมือนผลงานในสนามที่นำ นาโปลี ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน และดำก็ดำสุดๆ เช่นเรื่องราวนอกสนาม

อิตาลี ขึ้นชื่อในเรื่องของมาเฟีย ยาเสพติด และอาชญากรรมหลากหลาย มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากคนอย่าง มาราโดน่า จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวจนทำให้ชีวิตหักเหและมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น 

มาราโดน่า มีความสนิทสนมกับมาเฟียในเมืองเนเปิ้ลส์ซึ่งเหตุผลเดียวคือ "โคเคน" ยาเสพติดที่เขาติดงอมแงมและกลุ่มมาเฟียเหล่านี้สามารถจัดหามาให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 


ช่วงท้ายกับ นาโปลี มาราโดน่า ติดโคเคนอย่างหนักจนกระทั่งเขาถูกจับได้หลังไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้น นำมาซึ่งการติดโทษแบนยาว 15 เดือน และสิ้นสุดอนาคตกับสโมสรที่แฟนบอลยกให้เขาเป็น "พระเจ้า"

เขาย้ายออกจากนาโปลีในปี 1992 และอยู่ในช่วงขาลงโดยตลอดทั้งกับเซบีย่า, นีเวลส์ โอลด์ บอยส์ ก่อนกลับสู่ โบคา จูเนียร์ส อีกครั้งและแขวนสตั้ดในปี 1997 

"เสือเตี้ย" เคยเข้ารับการบำบัดอาการติดยาเสพติดในช่วงที่เลิกเสพโคเคน แต่เจ้าตัวก็มักใช้เวลาไปกับการดื่มและสูบซิการ์ จนสุดท้ายต้องถูกส่งเข้าโรงพยายาลจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดในปี 2007 

ตลอดเส้นทางอาชีพของ ดีเอโก้ มาราโดน่า เขามีข่าวฉาวเกิดขึ้นโดยตลอด ตรงกันข้ามกับ เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล ที่มีภาพของบุคคลขาวสะอาดไร้มลทิน และทั้งสองมักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันว่าใครเก่งที่สุดตลอดกาล 

เรื่องนี้ มาราโดน่า ได้เพียงแค่ยักไหล่ไม่สนใจพร้อมทิ้งประโยคที่สรุปความเป็นตัวเองไว้ว่า "ตัวผมมีแค่ดำกับขาว ผมไม่เคยมีสีเทาในชีวิต"  

ในปี 2000 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ได้มีการโหวตนักฟุตบอลแห่งศตวรรษผ่านสื่อออนไลน์ ง ดีเอโก้ มาราโดน่า ได้รับคะแนนโหวตมากถึง 54 เปอร์เซ็นต์ 

ขณะที่ เปเล่ ตำนานบราซิลได้คะแนนโหวตเพียงแค่ 18 เปอร์เซนต์เท่านั้น แต่สุดท้าย ฟีฟ่า ประกาศให้ทั้งสองคนครองตำแหน่งร่วมกัน 

 

อิทธิพลนอกสนาม

ดีเอโก้ มาราน่า ไม่เพียงเป็นไอดอลลูกหนังของนักฟุตบอลลหลายคนแต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนอีกนับล้านได้หลงรักฟุตบอล และกลายเป็นแฟนบอล

ความเก่งกาจและความยิ่งใหญ่ที่ "เสือเตี้ย" ฝากเอาไว้ในสนามทั้งระดับสโมรและทีมชาติ เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับนาโปลีและทีมชาติอาร์เจนตินาล้วนเป็น "ตำนาน" ที่เล่าขานไม่รู้จบ

นอกจากความเป็นต้นแบบในด้านฟุตบอลแล้ว ดีเอโก้ มาราโดน่า ยังมีอิทธพลนอกสนามไม่น้อย ไม่ว่าเขาเยื้องย่างไปที่แห่งใดก็จะกลายเป็นแขกตคนสำคัญของที่นั่นเสมอ

มาราโดน่า มีความสนใจในเรื่องการเมืองไม่น้อยและเกลียดอเมริกาเข้าไส้  เขากลายเป็นคนสนิทของ ฮูโก้ ชาเวซ อดีตประธานาธิบดีประเทศเวเนซูเอล่าก็เพราะมีจุดยืนทางการเมืองเชื่อมถึงกัน

นอกจากนี้เขายังสนิทสนิมและให้ความเคารพ กับ ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำของประเทศคิวบาผู้ล่วงลับเป็นอย่างมากเพราะนับถือในอุดมการณ์ที่ล้มล้างผลประโยชน์ต่างๆ ที่อเมริกาวางรากฐานเพื่อกอบโกยจากคิวบารวมถึงอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้


"เสือเตี้ย" ยกให้ ฟิเดล คาสโตร เป็น "พ่อ" อีกคน รวมถึงสักรูปของคาสโตรไว้ต้นที่ขาซ้ายอีกด้วย ขณะที่ต้นแขนขวาก็มีรูปของ เช เกวาร่า นักปฏิวัติคนสำคัญที่ทั่วโลกรู้จัก

ความใกล้ชิดกับผู้นำในหลายประเทศทำให้ภาพของ ดีเอโก้ มาราโดน่า กลายเป็นคนที่ทรงอิทธิพลไม่เพียงแต่ในวงการฟุตบอล การแสดออกของเขาโดยเฉพาะในด้านการเมืองสามารถสร้างแนวร่วมได้โดยง่าย และขณะเดียวกันก็สร้างความเกลียดชังจากอีกกลุ่มไม่น้อยเช่นกัน

หลังแขวนสตั๊ด ชีวิตของ ดีเอโก้ มาราโดน่า ยังคงโลดโผนและมีข่าวให้ทุกคนได้หันกลับมามองเป็นระยะ ไม่เคยห่างหายไปจากการรับรู้ 

และแน่นอนว่าหากไม่ใช่เรื่อง "ขาวที่สุด" ก็ต้อง "ดำสุดขั้ว" ตามสไตล์ จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่จากไปพร้อมกับตำนานมากมาย



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด