การมารับงานของ อาร์เตต้า เมื่อ 1 ปีที่แล้วถือว่าท้าทายอย่างยิ่งเพราะเขาเองไม่เคยคุมทีมเต็มตัวมาก่อน ประสบการณ์งานโค้ชคือการเป็นผู้ช่วย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประมาณ 3 ปีครึ่ง

ขณะที่ สถานการณ์ของ อาร์เซน่อล กำลังมีปัญหาทั้งผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่น รวมไปถึงปัญหานอกสนามอื่นๆ เช่นกรณีของ กรานิต ชาคา มีปากเสียงทะเลาะกับแฟนบอลจนทำท่าว่าอนาคตดับวูบกับทีม และอนาคตที่ไม่แน่นอนของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง กองหน้าตัวเก่ง 

6 วันหลังรับตำแหน่ง อาร์เตต้า ประเดิมคุมทีมเยือน บอร์นมัธ ก่อนจบด้วยผลเสมอ 1-1 จากนั้นกลับมาคุมทีมในบ้านนัดแรกพบ เชลซี แต่ว่าเสียท่าแพ้คาบ้านไป 1-2 หลังถูกทีมเยือนยิง 2 ประตูในช่วง 7 นาทีสุดท้าย

วันขึ้นปีใหม่ 2020 อาร์เตต้า เก็บชัยชนะนัดแรกในการคุม อาร์เซน่อล ด้วยการเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ต่อด้วยชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-0 ในเอฟเอ คัพ

หลังจากนั้น อาร์เซน่อล ในมือกุนซือหนุ่มเดินหน้าได้น่าจับตามองไม่แพ้ใคร 10 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ ทว่ามาพลาดท่าในยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้ายที่พ่ายต่อ โอลิมเปียกอส ในช่วงต่อเวลา 1-2 ทำให้ตกรอบไปอย่างพลิกความคาดหมาย

พอกลับมาเล่นกันต่อได้อีกเพียง 2 นัด ฟุตบอลในอังกฤษก็หยุดการแข่งขันไร้กำหนกหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยที่ มิเกล อาร์เตต้า คือคนในวงการคนแรกๆ ที่ติดเชื้อดังกล่าวและนำมาซึ่งการตัดสินใจของผู้ที่เกี่ยวข้องให้ประกาศเว้นวรรค

เคยมีช่วงยอดเยี่ยมพาทีมได้เอฟเอ คัพ

เกือบสามเดือนครึ่งที่เว้นวรรคกันไป ฟุตบอลอังกฤษกลับมารีสตาร์ตกันได้อีกรอบ และเลือกเกมระหว่าง อาร์เซน่อล ที่ไปเยือน แมนฯ ซิตี้ เป็นคู่นำร่องลงสนาม 

มิเกล อาร์เตต้า ได้กลับไปเยือนถิ่นเก่า เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นครั้งแรก แต่เจอฝันร้ายพ่ายต่อเรือใบสีฟ้า 0-3 ในเกมที่เสียสองผู้เล่นเพราะบาดเจ็บทั้ง กรานิต ชาคา และ ปาโบล มารี ตั้งแต่ครึ่งแรก ขณะที่ ดาวิด ลุยซ์ ที่ลงสำรองก็ฟอร์มหลุดเต็มรูปแบบทั้งสกัดบอลพลาด ทำเสียจุดโทษ และได้ใบแดงตบท้าย

อาร์เซน่อล เริ่มดีขึ้นในช่วงท้ายฤดูกาลจนเกือบมีลุ้นโควตายุโรป แต่แล้วก็ฮึดไม่ทัน ทว่าที่ทำได้ยอดเยี่ยมกว่าคือในเอฟเอ คัพ ที่ผ่านด่าน แมนฯ ซิตี้ ในรอบตัดเชือกก่อนแก้แค้น เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้คว้าแชมป์สมัยที่ 14 ไปครอง รักษาความเก่งกาจในการเป็น "เจ้าพ่อเอฟเอ คัพ" เอาไว้ได้

เริ่มฤดูกาลใหม่ 2020/21 อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ถูกจับตามองไม่น้อยว่าอาจเป็น "ม้ามืด" คอยสอดแทรกลุ้นแชมป์หรืออย่างน้อยน่าจะติดท็อปโฟร์ได้หลังเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการคว้าแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ต่อด้วยเปิดสนามบุกถลุง ฟูแล่ม 3-0

ในช่วง 5 นัดแรกในลีก แม้ อาร์เซน่อล จะพ่ายไป 2 นัด แต่ก็เป็น 2 นัดที่ไปเยือน ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งถือว่ายากสุด ขณะที่อีก 3 นัดชนะรวดเก็บไป 9 คะแนน ถือว่าเริ่มต้นได้ดีทีเดียว

ขณะเดียวกัน อาร์เตต้า สามารถโน้มน้าวใจให้ โอบาเมย็อง ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปจนถึงซัมเมอร์ 2023 ได้สำเร็จ พร้อมกับปิดตลาดช่วงซัมเมอร์ได้เหนือความคาดหมายคว้าตัว โธมัส ปาร์เตย์ หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของยุโรปมาร่วมทีมได้สำเร็จหลังยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา 50 ล้านยูโรในวันสุดท้ายของการซื้อขาย

ทิศทางของ อาร์เซน่อล ดูดีมากในช่วงแรกของฤดูกาล แต่แล้วผลงานในสนามกลับดิ่วเหวเก็บชัยชนะได้เพียงนัดเดียวจาก 10 นัดหลังสุด และไม่ชนะใครเลยใน 7 นัดหลังสุด

อาร์เซน่อล สร้างสถิติไม่น่าจดจำหลายอย่างในช่วง 2-3 เดือนหลังสุดโดยเฉพาะการแพ้คาบ้าน 4 นัดติดเป็นครั้งแรกในรอบ 61 ปี ขณะที่เกมรุกฝืดสนิทยิงคู่แข่งได้เพียง 12 ประตูจาก 14 นัด แย่สุดในรอบหลายสิบปี 

ผลงานช่วงหลังน่าผิดหวังอย่างมาก

สถานะของ มิเกล อาร์เตต้า ที่เคยเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงจึงแปรเปลี่ยนทันทีกลายเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่จะถูกปลดออกจาก 

หลังจบเกมที่พ่ายต่อ เอฟเวอร์ตัน 1-2 อาร์เตต้า ผ่านการคุม อาร์เซน่อล ทั้งหมด 51 นัดจากทุกรายการ พาาทีมชนะได้ 27 นัด เสมอ 10 นัด และแพ้ 14 นัด 

มีเปอร์เซ็นต์ชนะอยู่ที่ 53 เปอร์เซ็นต์ แย่กว่า อูไน เอเมรี่ ที่ชนะได้ 55.13 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสถิติของ อาร์แซน เวนเกอร์ เก็บชัยชนะได้ 57.25 เปอร์เซ็นต์

สถิติของ อาร์เตต้า ใกล้เคียงกับ เอเมรี่ แต่เจาะลึกลงไปใน 14 นัดที่แพ้ของกุนซือวัย 38 ปี เป็นการแพ้ในลีกถึง 13 นัด ส่วนอีกนัดเกิดขึ้นในบอลถ้วยยูโรปา ลีก ฤดูกาลก่อนและทีมตกรอบทันที

มิเกล อาร์เตต้า เคยมีช่วงเวลายอดเยี่ยมพาทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ และคอมมิวนิตี้ ชิลด์ แต่ผลงานช่วงหลังไม่ใกล้เคียงกับทีมที่จะลุ้นความสำเร็จใดๆ แถมอันดับในตารางป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้โซนตกชั้นอย่างน่าใจหาย 

ในวาระครบรอบหนึ่งปีในตำแหน่งกุนซือ อาร์เซน่อล จึงไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง หากแต่เป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลปืนใหญ่เริ่มตั้งคำถามกันอย่างเสียงดังมากขึ้นว่า

มิเกล อาร์เตต้า คือคนที่ใช่สำหรับพาทีมเดินหน้าต่อไปหรือไม่