:::     :::

"กาเบรียล เชซุส" จากเด็กทาสี สู่เวทีลูกหนังระดับโลก (ตอนที่ 1)

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
4,070
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในวัยเพียง 20 ปี "กาเบรียล เชซุส" มีชีวิตราวกับความฝัน แน่นอนว่า มันเป็นความฝันที่เกิดขึ้นเร็วมาก

        ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เขายังเป็นเพียงเด็กเยาวชนของพัลไมรัส สโมสรในลีกบ้านเกิดที่บราซิล พร้อมทำอาชีพเสริม ด้วยการเป็นเด็กทาสีถนน เพื่อต้อนรับศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย

        ปัจจุบันนี้ เขากลายเป็นนักเตะทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ และได้เล่นกับทีมดังอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การขัดเกลาฝีเท้าของกุนซือระดับโลกอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

        แม้ว่าความฝันมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป ซึ่งชีวิตของเขาก็ผ่านความยากลำบากอย่างโชกโชน กว่าจะเกิดทางมาถึงจุดนี้

        ช่วงนี้เราลองไปฟังเรื่องราวจากปากของเขา ถือเป็นการย้อนความทรงจำ ตั้งแต่การเล่นฟุตบอลในสนามที่เต็มไปด้วยฝุ่น และโคลนตม สู่สนามที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจี 

        "เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมสามารถยิงประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือลูกบอลกระทบตาข่ายเมื่อไหร่ เสียงโทรศัพท์ก็จะดังขึ้นไม่สำคัญว่าแม่จะกลับไปที่บราซิล หรือนั่งอยู่ข้างสนามแข่งขัน ท่านจะโทรมาหาผมทุกครั้ง เมื่อผมสามารถยิงประตูได้ ผมจะวิ่งไปที่มุมธง และเอามือมาแนบข้างหูแทนสัญลักษณ์ของโทรศัพท์ พร้อมกับตะโกนว่า -สวัสดีครับแม่-"

        "ช่วงแรกที่ผมย้ายมาแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผู้คนต่างคิดว่าท่าดีใจนี้เป็นเรื่องตลกขบขัน และพยายามถามผมว่ามันหมายถึงอะไร ? ผมมักตอบไปอย่างรวดเร็วว่า ผมรักแม่ของผม และท่านจะโทรศัพท์มาหาผมเสมอมา" เชซุซ เกริ่นนำถึงท่าดีใจอันเป็นเอกลักษณ์ ก่อนเล่าชีวิตในวัยเด็กตามทันที

        "ผมเติบโตมาในย่านที่เรียกว่าเปริ ยาร์ดิม ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเซา เปาโล สำหรับบางคนในพื้นที่นี้ มันคือการต่อสู้ดิ้นรน อย่างไรก็ตาม ผมเป็นคนโชคดี เพราะแม่ทำงานอย่างหนัก ครอบครัวเรามีอาหารกินเสมอ แต่เด็กส่วนมากนั้นยากลำบาก พวกเขามีข้าวกินเพียง 1 มื้อต่อวัน"

        "นอกเหนือจากนั้น เด็กๆจะต้องออกไปเสาะหาเอาตามสนามฟุตบอล บางคนไม่ได้มาเตะฟุตบอลหรอกนะ แต่มาหาอาหารกินฟรีเท่านั้น สนามบอลมีทั้งอาหารอย่างแซนด์วิชแฮม, ขนมปัง และโซดา บางครั้งสนามฟุตบอลก็มีเพียงแค่โซดา คุณต้องผ่านวันเหล่านี้ไปให้ได้"

        "สำหรับผม ทุกความฝัน และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีตอนนี้ ล้วนเริ่มต้นมาจากสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อว่าคลับ ปิเกนินอส สำหรับผม ที่นี่เป็นมากกว่าทีมฟุตบอล โปรดอย่าคิดถึงชายหาด, ต้นปาล์ม หรือสิ่งสวยงามต่างๆ เนื่องจากย่านที่ผมเติบโตมา อยู่นอกเขตเรือนจำของทหาร"

        "สนามฟุตบอลเต็มไปด้วยฝุ่น และไม่มีหญ้าเติบโต ซึ่งทั้งหมดถูกล้อมรอบไว้ด้วยต้นสน นอกเหนือจากเด็กๆที่เล่นฟุตบอลแล้ว เจ้าหน้าที่จากเรือนจำก็จะมาร่วมเล่นด้วย" เชซุซ เล่าถึงสโมสรแรกในวัยเด็ก ซึ่งมันเป็นการให้โอกาสจากชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีบุญคุณกับเขาเป็นอย่างมาก

        "ตอนผมอายุ 9 ขวบ ผมกับเพื่อนที่ชื่อว่าฟาบินโญ่ เราสองคนเดินผ่านป่า พร้อมกับรองเท้าฟุตบอลที่หนีบอยู่ใต้วงแขน จากนั้น เราก็พบกับชายที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เขาชื่อว่า โฮเซ่ ฟรานซิสโก้ มามาเด้ เขาเป็นโค้ชฟุตบอลทีมเยาวชน เขาถามพวกเราว่า -พวกนายมาเล่นกับเราในเกมต่อไป-"

        "ตอนนั้นไม่มีกระดาษที่มาใช้เซ็นสัญญา หรือว่าอะไรทั้งนั้น เนื่องจากสโมสรไม่พยายามยัดเยียดเรื่องเงินทองให้กับเด็กๆ มีแค่เรื่องราวมุมบวกอย่างการให้อาหารมารับประทาน และนำเด็กๆออกจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ อย่างที่ผมบอกไป คลับ ปิเกนินอส ไม่ใช่สโมสรใหญ่ เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนด้วยซ้ำไป แต่ผมอยากบอกคุณว่า ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่นั่น"

        "บางครั้ง, เด็กๆต้องนั่งรถประจำทางราว 1 ชั่วโมง เพื่อมารับประทานอาหาร มีกล่องบรรจุอาหารขนาดเล็ก ที่โค้ชมอบให้กับเรา เพื่อบรรจุอาหารกลับไปฝากครอบครัว ภายในกล่องมีข้าว, ถั่ว และขนมปัง มันเป็นสิ่งที่คุณได้รับตลอดเดือน มันเป็นเรื่องตลกเหมือนกัน เพราะโค้ชของเราอย่างมามาเด้ เขามีรถยนต์โฟล์ครุ่นเก่าสีขาว มันต้องมาจากช่วงยุค 70 อย่างแน่นอน"

        "เขามักจะขับรถร่วมกับเด็กๆ เนื่องจากพวกเขามีร่างกายที่เล็กมาก ดังนั้น เราจึงเข้าไปอัดในรถของเขาได้มากถึง 9-10 คนเลยทีเดียว รวมถึงรองเท้า, กล่องใส่อาหาร และทุกอย่าง ที่ถูกรวมอยู่ในรถยนต์คันนั้น ซึ่งผู้ชายคนนี้ ทำเพื่อสโมสร และเด็กๆ มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก"

        "สำหรับผม ฟุตบอลคือทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักในฟุตบอลไม่มีอะไรมาเทียบได้ คลับ ปิเกนินอส จะมีการฝึกซ้อมเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าผมไม่ได้ไปที่นั่น ผมก็จะอยู่ตามท้องถนนที่เปริ บางเวลา ผมก็ออกมาเตะฟุตบอลกับเพื่อนจนมืดค่ำ หลังจากนั้น เราก็จะอยู่ตามท้องถนน พูดคุยกันเรื่องสาวๆ และทำให้ต่างฝ่ายหัวเราะ บางวันมันกินเวลาจนถึงตี 2 เลยล่ะ"

        " สำหรับที่บ้าน เราไม่มีอะไรทำมากมายนักหรอก พ่อแยกทางไป ตั้งแต่ที่ผมลืมตาดูโลก ดังนั้น แม่จึงทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูผม และพี่น้อง ท่านทำงานเป็นคนรับจ้างทำความสะอาดบ้านในตัวเมือง เมื่อกลับถึงบ้าน ท่านจะมานอนรวมกับผม และพี่ชายในห้องเดียวกัน"

        "เด็กบางคนมีเครื่องเล่นวิดีโอเกม ส่วนผมมีเพียงลูกฟุตบอล และจินตนาการส่วนตัวเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมนะ เป็นเพราะผมได้ใช้เวลาวัยเด็กอย่างแท้จริงนั่นเอง เรามีทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลที่จัดขึ้นในถนนทุกสาย มีทีมเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อชิงถ้วยแชมป์เป็นกระป๋องโซดา อาจจะบอกได้ว่า มันเป็นสงครามเพื่อแย่งชิงกระป๋องโซดา !!"

        "คุณรู้หรือเปล่า กระป๋องโซดา มีคุณค่ามากกว่าถ้วยแชมป์ลิเบอร์ตาดอเรส (ถ้วยแชมป์ระดับสโมสรที่ยิงใหญ่สุดในทวีปอเมริกาใต้) อีกนะ ถ้าคุณสามารถคว้าแชมป์มาครอง คุณจะส่งผ่านกระป๋องโซดาไปรอบๆ ทุกคนจะผลัดกันจิบมัน มันยอดเยี่ยมกว่าการลิ้มรสแชมเปญ 10 เท่าเห็นจะได้"

        "กระทั่งอายุ 13 มีบางอย่างที่มีความหมายเกิดขึ้นกับผม ทีมคลับ ปิเกนินอส มีโปรแกรมเดินทางไปแข่งขันที่เซา เปาโล พวกเราเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม เกมในรอบแรก เราสามารถเอาชนะบรรดาทีมใหญ่ได้มากกว่า 12-13 ประตูเลยทีเดียว เราทะลุเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการโคจรมาเจอกับทางปอร์ตูกูเอซ่า พวกเขาเป็นสโมสรระดับอาชีพที่ได้รับการจดทะเบียน"

        "เหตุผลที่พวกเขาลงแข่ง เนื่องจากต้องการมาควานหาเด็กๆจากสโมสรเล็กๆไปร่วมทีมด้วย คุณรู้อะไรมั้ย มันเหมือนกับในภาพยนตร์เลยล่ะ เราเป็นสโมสรขนาดเล็กที่เล่นอยู่ข้างๆเรือนจำ ที่ต้องโคจรมาเจอกับทีมใหญ่ที่มีครบทุกสิ่งอย่าง ผมกับเพื่อนๆมองตากัน พร้อมกับพูดว่า -เอาเว้ย เราจะออกไปคว้าแชมป์กัน-"

        "แต่แล้ว พายุก็พัดมา คืนนั้นผนตกลงมาอย่างหนัก เราตื่นมาเช้าในรุ่งขึ้น แมตช์สุ่มเสี่ยงต่อการถูกยกเลิกเป็นอย่างมาก เมื่อเราก้าวเท้าสู่สนามแข่งขัน มันเต็มไปด้วยโคลนตม มันบ้ามากๆเลย เราวิ่ง และล้มไปทั่วสนาม แต่ผู้เล่นของปอร์ตูกูเอซ่า ฝีเท้ายอดเยี่ยมมาก พวกเขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้"

        "เราทุ่มเทกันสุดชีวิต แต่ก็พ่ายไป 2-4 ผมไม่เคยลืมภาพนักเตะของปอร์ตูกูเอซ่า ก้าวขึ้นมารับถ้วยแชมป์ ฟุตบอลเหมือนกับทุกอย่างในชีวิต บางอย่างมันก็ไม่ยุติธรรม มันเป็นบทเรียนที่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม ในช่วงปีต่อมา ถือเป็นช่วงระยะเวลาที่ยากลำบากต่อผม"

        "ที่บราซิล เมื่อคุณฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ คุณต้องเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของบรรดาทีมใหญ่ ตอนอายุสัก 12-13 ปี ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลายสิ่งมันไม่ได้ผล ครั้งหนึ่งเซา เปาโล เชิญผมให้ไปทดสอบฝีเท้า และ พวกเขาก็ชื่นชอบผลงานการเล่นของผมมากเลยด้วย"

        "อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกว่า ไม่สามารถจัดหาที่นอนให้ผมที่อะคาเดมี่ได้ แน่นอนว่า สโมสรอยู่ห่างจากบ้านของผมมาก ดังนั้น ผมจึงต้องนั่งรถประจำทางไปสโมสรเซา เปาโล ทุกวัน ผมต้องลาออกจากโรงเรียนเพียงสถานเดียว และแม่ผมคงไม่ยอมแน่นอน (หัวเราะ)"

        "ผมติดหนี้บุญคุณแม่ทุกอย่าง เด็กจำนวนมากในบราซิล มาจากจุดที่ต่ำต้อย พวกเขาต้องเริ่มต้นทำงาน เพื่อช่วยเหลือครอบครัว พวกเขาไม่สามารถไปโรงเรียนทำงาน และเล่นฟุตบอลไปพร้อมๆกันได้ ดังนั้น ความฝันของพวกเขาจึงตายไปตรงจุดนั้น แต่สำหรับแม่ผมแล้ว ท่านเชื่อมั่นในตัวผมมาก ท่านบอกว่าให้ผมเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม"

        "ตอนที่ผมอายุ 13 ปี ผมเริ่มเล่นฟุตบอลกับเด็กที่โตกว่าที่วาร์เซีย ที่เป็นเหมือนสถานที่ที่เอาไว้เล่นบาสเก็ตบอลข้างถนนในประเทศสหรัฐเมริกา หรือเป็นฟุตบอลกึ่งอาชีพของยุโรป สนามเต็มไปด้วยความสกปรก และมีหลายอย่างที่น่ารังเกียจในสนาม !! ซึ่งผมจะไม่มีวันลืมเลือนเลย"

        "เรากำลังลงเล่นเกมสำคัญ ด้วยการเจอกับทีมใหญ่ พวกเขาถือเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในวาร์เซีย อาจจะบอกได้เลยว่า พวกเขาเป็นทีมที่ดีในรอบ 2-3 ปีหลังเลยทีเดียว ผู้คนต่างจ้องมองมาที่ผมในช่วงก่อนเริ่มเกม ราวกับว่า -เจ้าหมอนี่มันเป็นใคร หรือล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย ?-"

        "หลังจากนั้น เกมการแข่งขันเริ่มไปได้ราว 4 นาที ผมกระชากบอลผ่านกองหลังที่เก่งที่สุดของพวกเขา และสามารถยิงประตูได้ด้วย ทุกคนนึกในใจแล้วว่า ต้องฆ่าผมให้ตาย !! จากนั้น ผมได้บอลอีกครั้ง และจัดการเลี้ยงหลบเขาเหมือนเดิม โดยเป็นการหลอกแบบหลังหักเลยล่ะ"

        "เกมจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 และเราสามารถเอาชนะในช่วงดวลจุดโทษ พวกเขาโกรธมาก พร้อมกับมีคนหนึ่งหันมาบอกผมว่า -ข้าจะหักขานายแน่นอน เจอกันที่ลานจอดรถ!!- เขาดูจริงจังมาก ผมดูเหมือนว่า จะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ โชคดีที่เพื่อนร่วมทีมยังปกป้องผม และเดินไปส่งผมที่ลานจอดรถ"

        "เรื่องราวมันยังไม่จบแค่นั้น ช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา ผมเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปเยี่ยมครอบครัว ผมเดินทางไปธนาคาร และทำธุระบางอย่าง ผมจึงเอารถไปจอดที่ลาดจอดรถ และผมก็ได้พบกับเขาอีกครั้ง !!! เขาพูดกับผมว่า -เด็กน้อย จำฉันได้มั้ย คนที่เคยจะหักขานายน่ะ-"

        "ผมตอบกลับว่า -ผมรู้นะ ตอนนั้นคุณล้อผมเล่นใช่มั้ย ?- เขาตอบทันทีว่า -เปล่าเลย !! ตอนนั้นฉันอยากจะหักขานายจริงๆ แต่ตอนนี้ นายเล่นให้ทีมโปรดของฉันแล้ว ฉันรักนายน้องชาย- จากนั้น เราสองคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา และถ่ายรูปร่วมกัน"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด