"กาเบรียล เชซุส" จากเด็กทาสี สู่เวทีลูกหนังระดับโลก (ตอนจบ)
วันนี้เดินทางมาถึงตอนจบของเรื่องราว โดยเจ้าตัวเปิดใจเรื่องการติดทีมชาติบราซิล พร้อมกับได้เล่นร่วมกับฮีโร่ของตัวเองอย่างเนย์มาร์ ที่ผนึกกำลังพาพลพรรค "เซเลเซา" ผงาดคว้าเหรียญทองโอลิมปิก บนแผ่นดินเกิดตัวเอง
นอกจากนี้ เขายังปัดข้อเสนอของหลายสโมสร เพื่อมุ่งหน้าสู่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยมีแรงจูงใจสำคัญ นั่นคือชายนามว่า "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า" เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปฟังเรื่องราวจากปากของเขากัน
"ตอนผมอายุ 15 ผมมีโอกาสมาเล่นกับสโมสรพัลไมรัส และทุกอย่างก็เริ่มจากที่นั่น ผมไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ มันเป็นเหมือนกับโชคชะตา พระเจ้าเขียนเส้นทางทุกอย่างแบบสมบูรณ์"
" ผมได้เข้าร่วมทีมเยาวชน และเซ็นสัญญาอาชีพเป็นครั้งแรก จากนั้น ทุกอย่างก็ผ่านไปเร็วมาก ผมก้าวมาติดทีมชุดใหญ่ และทำผลงานได้ดี นอกจากนี้ ยังถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ชุดลุยศึกโอลิมปิก 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร อีกด้วย"
" ย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น ผมยังอยู่บนถนนเปริ เป็นเพียงเด็กทาสีที่วาดเส้นสีเหลือง และเขียว เพื่อเป็นการต้อนรับศึกฟุตบอลโลก 2014 ทุกคนวาดภาพขนาดใหญ่ลงบนกำแพง โดยมาพร้อมกับใบหน้านักเตะทีมชาติบราซิล อาทิ ดาวิด ลุยซ์ และเนย์มาร์"
"เวลาผ่านไป 2 ปี ผมได้เล่นโอลิมปิก เคียงข้างกับเนย์มาร์ !! ผมสามารถจดจำความรู้สึกของการสวมชุดแข่งสีเหลือง และเล่นทีมชาติเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่คุณสามารถทำตามความฝันได้เป็นผลสำเร็จ”
"ทัวร์นาเมนต์ในปี 2016 ถือเป็นช่วงเวลาพิเศษสำหรับทีมชาติบราซิล เนื่องจากเหรียญทองโอลิมปิก เป็นรายการที่พวกเรายังไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความกดดันสูงมาก มันอาจเป็นเพราะความล้มเหลวจากศึกฟุตบอลโลกที่ผ่านมาก็ได้"
"เราเล่นไม่ค่อยดีนักใน 2 เกมแรก และเสียงวิจารณ์ก็เริ่มถาโถมเข้ามา โดยเป้าหมายพุ่งตรงไปยังเนย์มาร์ อย่างไรก็ตาม เขาสามารถจัดการทุกอย่างได้ เขาคือผู้นำของเรา"
" ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น ผมเป็นแฟนตัวยงของเนย์มาร์ ซึ่งเป็นเหมือนกับหลายคน เขาเป็นนักฟุตบอลที่น่าทึ่งมาก การได้รู้จักเขาในช่วงเวลานั้น ถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นคนที่สุดยอด"
" ในห้องแต่งตัว เนย์มาร์ จะปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกับเป็นพี่น้องของเขาเอง เขาเป็นปัจจัยสำคัญ ในการรวมเราเป็นหนึ่งเดียว และเอาชนะความกดดัน พร้อมกับลงเล่นเพื่อกันและกัน"
"เมื่อเราได้รับเหรียญทองมาคล้องคอ มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อมาก ทั้งสำหรับนักเตะ และประเทศชาติ"
"ผมต้องการทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้มีชื่อติดทีมชาติบราซิล ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย อย่างไรก็ตาม บราซิล ก็คือบราซิล ที่นี่มีการแข่งขันกันที่สูงมาก และไม่มีอะไรแน่นอน"
" นั่นเป็นเหตุผลสำคัญว่า ทำไมผมต้องย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมต้องการเติบโตในฐานะผู้เล่น ผมบอกเลยว่า อังกฤษ แตกต่างจากที่บราซิล อย่างสิ้นเชิง คุณไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์บ่อยนักหรอก"
" ผมได้รับข้อเสนอจากบางสโมสร ที่มีสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่า แต่ผมเลือกมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะพวกเขามีเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นผู้จัดการทีม"
"นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาอังกฤษ สภาพอากาศหนาวเย็นมาก และผมพูดภาษาอังกฤษ ไม่ค่อยได้ มันเป็นความท้าทายที่ผมต้องทำความเข้าใจ แต่ว่าเป๊ป กวาร์ดิโอล่า โทรศัพท์มาหาผม และบอกว่า ผมเป็นส่วนสำคัญในอนาคตของสโมสรแห่งนี้"
"การโทรครั้งนั้นสำคัญมาก มันแสดงให้เห็นถึงว่า เป๊ป เป็นห่วงเป็นใยในอนาคตของผมอย่างแท้จริง ผมบอกได้เลยว่า เขามันเป็นคนอัจฉริยะ !!"
"ก่อนที่ผมจะย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมต้องทำบางสิ่งบางอย่างเป็นครั้งสุดท้าย นั่นคือการกลับไปสนามของทีมปิเกนินอส พร้อมกับการถือรองเท้าสตั๊ดไปด้วย"
"มันเป็นเหตุการณ์เหมือนตอนที่ผมอายุ 9 ขวบ แต่เวลานี้ ผมหิ้วรองเท้าสตั๊ดกลับไป 250 คู่ จุดประสงค์ก็คือ เพื่อเอาไปแจกเด็กๆ"
"เมื่อผมย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผมรู้สึกถึงความสูญเสีย แม่ต้องบินไปบินมา ระหว่างอังกฤษ กับบราซิล มันยากมากที่จะอยู่ห่างจากแม่ เพราะท่านเป็นทุกอย่างของผม เรียกได้เลยว่า ท่านเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ในคนเดียวกัน"
"ผมเป็นคนช่างฝันเสมอ แม้มันจะไม่ได้เป็นความฝันที่ยอดเยี่ยมสุดก็ตาม ผมอยากจะกล่าวถึง เด็กมากมายที่ทาสีอยู่ข้างถนน เพื่อต้อนรับศึกฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา"
"บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เล่นกับสโมสรยักษ์ใหญ่ หรืออาจจะมีบางคนปรามาสว่า พวกเขาไม่สามารถทำมันได้หรอก !!แต่ผมอยากบอกกับพวกเขาว่า -จงอย่าหยุดต่อสู้-"