:::     :::

ตะกอนแดงเดือด

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,108
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ต้องยอมรับล่ะครับ ว่าสถานการณ์ของลิเวอร์พูลในช่วงเวลานี้ มันไม่สู้ดีเอาเสียเลย และแดงเดือดในครั้งนี้แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีๆ ที่แฟนๆ ลิเวอร์พูลรู้สึกหวาดหวั่นกับคู่แข่งตลอดกาลของพวกเขาอย่าง แมนฯ ยูฯ ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฟอร์มของทั้งสองทีมกำลังวิ่งสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง



เซนเตอร์จำเป็น

          ปัญหาของลิเวอร์พูลตอนนี้นั้นดูจะลุกลามปามและส่งผลกระทบไปทุกส่วนเหมือนกันครับ เริ่มจากปัญหากองหลังที่ไม่มีตัวเล่นลุกลามไปจนทำให้พวกเขาต้องใช้กองกลางธรรมชาติอย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟาบินโญ่มาเล่นแทนในตำแหน่งนี้ และมันส่งผลต่อเนื่องไปยังกองกลางครับ การที่ทีมไม่มีเฮนโด้ หรือ ฟาบี้ในแดนกลาง ทำให้พลังขับเคลื่อนของลิเวอร์พูลดูอ่อนด้อยลงไปอย่างชัดเจนครับ และที่แย่กว่านั้นคือ การป้องกันการสวนกลับของลิเวอร์พูลที่ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติแบบนี้ทำได้ค่อนข้างแย่ครับ ทำให้เราเห็นว่าเกมโต้กลับของแมนฯยูฯ  ในแต่ละครั้งนั้นดูจะน่ากลัวและแทบจะจบด้วยการยิงประตูไปแทบจะทุกครั้งเลย แต่ถ้าจะถามว่าทั้งเฮนโด้ และฟาบินโญ่ทำหน้าที่ในบทบาทของ “กองหลัง” เป็นยังไง  ก็ต้องบอกว่าทั้งสองคนทำได้อย่างยอดเยี่ยมครับ ทั้งสองคนแม้จะไม่ใช่ผู้เล่นที่มีสรีระสูงใหญ่อะไรมากมาย แต่ประสบการณ์และการอ่านเกมของทั้งคู่ทำให้เขาทั้งสองคนเล่นในตำแหน่งนี้ได้อย่างไม่เคอะเขินแต่อย่างใดครับ และก็ต้องบอกว่าค่อนข้างโชคดีอยู่เหมือนกันที่ผู้เล่นของทางฝั่งผีแดงเองก็ไม่มีผู้เล่นประเภทที่ใช้ความแข็งแกร่งมาบดบี้กองหลังเท่าไร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ใช้ความเร็วแล้วเทคนิกเอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งนั้นทำให้ทั้งเฮนโด้และฟาบินโญ่พอจะรับมือได้อยู่ล่ะครับ และอาจจะบอกว่าพวกเขาทำได้ดีมากกว่าที่เหล่ากองเชียร์คาดหวังไว้ซะอีก แต่ก็อย่างที่ว่าล่ะครับ การนำสองคนนี้มาเล่นในแดนหลังแบบนี้มันก็ส่งผลกระทบโดยรวมของทีมมากพอสมควรเลยล่ะ





ติอาโก้ ในแอนฟิลด์

          กว่าลิเวอร์พูลจะได้ใช้ติอาโก้ ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น พวกเขาต้องใช้เวลารอคอยกันร่วมๆ 3 เดือนเลยล่ะครับ จนคล็อปป์เองยังพูดติดตลกว่า “เหมือนว่าเราซื้อเขามาในเดือน ม.ค. ยังไงยังงั้น” อะไรแบบนั้นไปเลย ทำให้นี่เป็นครั้งแรกเลยครับ ที่เราจะได้เห็นติอาโก้ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในแอนฟิลด์แห่งนี้ และผลงานของเขานั้น ก็อยู่ในขั้นดีล่ะครับ ติอาโก้นั้นนำมิติการเล่นที่แปลกใหม่ต่างๆ เข้ามาในทีมหงส์แดงให้เราได้ตื่นตาตื่นใจอยู่เป็นระยะๆ เทคนิกการจ่ายบอลแบบหักข้อเท้าของเขา  การวางบอลจังหวะเดียวอย่างแม่นยำของเขา การใช้เทคนิกเอาตัวรอดในที่แคบๆ ของเขา ล้วนแล้วแต่เรียกเสียงฮือฮา(จากหน้าจอ)ของแฟนลิเวอร์พูลได้อยู่เรื่อยๆ ทีเดียว .....  เพียงแต่ว่า .... ในความเห็นของผมนั้นผมเองค่อนข้างเสียดายอยู่บ้างครับ ที่แผงกลางของลิเวอร์พูลในตอนนี้นั้นดูจะไม่ค่อยสมประกอบเท่าไร และนั่นทำให้ติอาโก้เองยังเปล่งประกายความสามารถของเขาได้อย่างไม่เต็มที่เท่าที่ควร ในความเห็นของผมนั้นผมเองอยากให้เขาเล่นในตำแหน่งที่สูงกว่าที่เป็นอยู่สักนิดนึง หรือจะเอาให้ง่ายกว่านั้นคืออยากให้มีใครซักคนมาช่วยประคองและเล่นเกมรับเป็นหลักแทนมากกว่าตัวเขาเองแบบนี้  การเห็นติอาโก้ต้องมาเล่นเกมรับแบบวิ่งไล่บอล ไล่ปะทะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ หลายๆ คนน่าจะคิดเหมือนกันล่ะครับว่ามัน “น่าเสียดาย” และดูเหมือนว่า “เสียของ” อยู่นิดๆ เหมือนกัน ตอนนี้คงได้แต่รอล่ะครับ วันใดที่ลิเวอร์พูลมากันครบทีมและมีแผงมิดฟิลด์ในตำแหน่งที่มันควรจะเป็น วันนั้นติอาโก้ คงจะฉายแสงและสร้างความแตกต่างให้กับแผงมิดฟิลด์และทีมของลิเวอร์พูลได้อย่างเต็มที่กว่านี้แน่นอน





เกมรุกที่ถูกล๊อคดาวน์
   

          ผมว่าตอนนี้หลายๆ ทีมน่าจะพอรู้แล้วล่ะครับ ว่าจะจัดการกับเกมรุกของลิเวอร์พูลยังไง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่แปลกแต่อย่างใดล่ะครับ กับการที่ทีมที่มาเยือนแอนฟิลด์จะมาเน้นตั้งรับกันเป็นแผงแบบนี้ (แม้จะเป็นทีมจ่าฝูงก็ตาม  แฮร่!! ขอนิดนึงนะ อิอิ) แต่ก็นั่นล่ะครับ มันเป็นหน้าที่ของแผงรุกหรือทั้งทีมลิเวอร์พูลอยู่แล้วที่ต้องเอาชนะเกมรับแบบนี้ให้ได้ ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจจริงๆ ครับที่พวกเขาดูเหมือนจะนัดกันฟอร์มตกไปพร้อมๆ กันทุกจุดในเกมรุกเลย ซาดิโอ มาเน่ ยังทำเกมได้อย่างวูบวาบและสร้างความปั่นป่วนคู่แข่งได้ดีครับ แต่จังหวะการจบสกอร์ของเขานั้นดูจะตกลงไปอย่างน่าใจหาย ฟีร์มิโน่เองจริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีเทคนิกที่แพรวพราวพอสมควรครับ แต่การที่มาเจอเกมรับแบบเป็นแผงแบบนี้และการรุมประกบเขาเป็นเงาตามตัวแบบนี้ก็ทำให้เขาทำอะไรไม่ถนัดและสร้างความกดดันให้เขามากพอสมควรเหมือนกัน ประกอบกับที่จริง เจ้าตัวเองก็ไม่ใช่ดาวยิงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทำให้เขาดูจะฟอร์มตกลงและยังหาทางกลับมาเข้าฟอร์มไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้ ส่วนอีกคนอย่างโม ซาล่าห์ ที่ผมคิดว่าจุดนี้คือส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุดแล้วในแผงกองหน้าลิเวอร์พูลเลยล่ะครับ ด้วยความที่เขาเองน่าจะเป็นดารา หรือตัวความหวังสูงสุดของทีมลิเวอร์พูลในเกมรุกเลยก็ว่าได้ แต่ซาล่าห์ในช่วงหลังนี้ เขาดูไม่ดีเอาเสียเลยครับ จากนักเตะที่กองหลังหวาดกลัวในความเร็วและความเฉียบคมต้องหาตัวมาประกบซ้อน 2/3 คนตลอด แต่ในวันนี้ในจังหวะการดวล 1 ต่อ 1 กับกองหลัง ซาล่าห์เองแทบจะเอาชนะกองหลังไม่ได้เลยครับ และไม่ใช่ว่าจะเป็นเพียงแค่นัดนี้ แต่ช่วงหลังที่ผ่านมาเราเห็นภาพแบบนี้ค่อนข้างบ่อยแล้วเหมือนกัน ที่ซาล่าห์มักจะเสียบอล หรือบอลไปตายกับเขาเสียมากกว่าจะเป็นการสร้างสรรค์เพื่อทีมหรือยิงประตูได้เลย ตรงนี้ถือว่าน่าห่วงอย่างหนักหนาจริงๆ ครับ คล็อปป์เองคงต้องหาวิธีการเล่นเกมรุกใหม่ๆ และเร่งให้ผู้เล่นเข้าใจกันให้ได้เร็วที่สุดให้ได้ล่ะครับ เพราะทุกวันนี้เกมรุกของลิเวอร์พูลเอง จากที่เคยไหลลื่นและรู้สึกว่าพวกเขามีอาวุธที่หลากหลายและพร้อมจะเนรมิตประตูได้ทุกวินาที กลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ต้องมาลุ้นกันว่าเกมๆ นึงจะได้ซักประตูไหม .....




ใครได้ใครเสีย


          การจบด้วยสกอร์ 0-0 แบบนี้ ถ้าดูจากรูปเกมและสถานการณ์ต้องบอกว่า ฝั่งที่โชคดีอาจจะเป็นลิเวอร์พูลมากกว่าแมนยูก็ได้ครับ จากจังหวะการทำประตูที่ถ้าดูจากตัวเลขก็ดูเหมือนว่าทางฝั่งลิเวอร์พูลอาจจะดูดีกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าจะบอกว่าใครน่าจะเป็นฝ่ายได้รับการชูมือมากกว่าก็น่าจะเป็นฝั่งจ่าฝูงอย่างแมนฯ ยูฯ นั่นล่ะครับ ถ้าไม่ได้พ่อหมีอลิสซงช่วยไว้บางทีลิเวอร์พูลอาจจะจบสถิติที่ไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ที่นัดนี้แล้วก็ได้ และอาจจะเรียกได้ว่าทั้งคู่เป็นฝ่ายเสียหายก็ได้ครับ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้ คลื่นใต้น้ำที่น่ากลัวอย่าง แมนฯ ซิตี้ กำลังก่อตัวอย่างน่ากลัวทีเดียว และถ้าดูแต้มแล้ว ถ้าแมนฯ ซิตี้สามารถเก็บแต้มที่ตกค้างอยู่ได้ทั้งสองนัด ผู้นำในหัวตารางตอนนี้จะเปลี่ยนไปเป็นของพวกเขาทันที และคงไม่มีใครกล้าคิดแน่ๆ ล่ะครับว่าพวกเขาจะทำไม่ได้ และถ้าลองทีมของเป๊ป ได้ติดเครื่องแล้วการจะหยุดพวกเขาถือว่าทำได้ยากเย็นจริงๆ ซึ่งก็โทษใครไม่ได้ล่ะครับ เพราะโอกาสก่อนหน้านี้มันเคยเป็นของลิเวอร์พูลเองแล้วแท้ๆ แต่พวกเขากลับพลาดท่าแพ้ภัยตัวเองจนทำให้สถานการณ์ของตัวเองยากลำบากแบบนี้

          ตอนนี้ข้อดีในสถานการณ์แบบนี้มีอยู่อย่างเดียวล่ะครับ คือ การที่ฤดูกาลนี้ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ นั่นคือ ยังมีเวลาให้ลิเวอร์พูลแก้ตัวและพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อีกเยอะครับ หลายๆ คนอาจจะถอดใจยอมแพ้หรือยกธงขาวให้กับการลุ้นแชมป์ไปแล้ว  แต่ทุกๆ คนก็รู้ดีอยู่แล้วครับ ว่าคนสุดท้ายที่จะทำแบบนั้น คือ เจอร์เก้น คล็อปป์แน่นอน ......  YNWA ครับ ทุกคน

    


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด