สำหรับ “ซลาตัน อิบราฮิโมวิช” กองหน้ามากประสบการณ์ ที่แม้วัยล่วงเลยไปถึง 39 ปี แต่เขายังทำผลงานอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกับการเล่นฟุตบอลระดับสูง
นอกจากการพายักษ์หลับอย่าง เอซี มิลาน ลุ้นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ตัวของซลาตัน ยังยิงประตูอย่างเป็นกอบเป็นกำ พร้อมกับแย่งชิงตำแหน่งดาวซัลโวกับนักเตะรุ่นน้องอย่างไม่น้อยหน้า
ตลอดเส้นทางลูกหนังอาชีพ ผ่านระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษของทางซลาตัน ต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย ทั้งในเรื่องดี และเรื่องร้าย จนขัดเกลาให้เขากลายมาเป็นยอดนักเตะเหมือนทุกวันนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเริ่มต้นแห่งความยิ่งใหญ่ คือการที่เขาย้ายจากมัลโม่ ทีมในบ้านเกิดที่สวีเดน มาร่วมทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยอดทีมจากเนเธอร์แลนด์ ในช่วงปี 2001
แน่นอนว่า มันซุกซ่อนเรื่องราวน่าประทับใจบางอย่างเอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า ซลาตัน ไม่เพียงแค่เป็นยอดดาวยิงในสนามเท่านั้น แต่เขายังเป็นสุภาพบุรุษนอกสนามอีกด้วย
ยอห์น สตีน โอลเซ่น (คนขวา)
ย้อนกลับไปช่วงปี 2009 "ยอห์น สตีน โอลเซ่น" ชายชาวเดนมาร์ก สร้างความประหลาดใจ ด้วยการก้าวขึ้นไปรับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของประเทศสวีเดน
โดยเหตุการณ์ดังกล่าว ถือเป็นเรื่องราวที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้มาก่อนว่า ทำไมชายผู้สูงอายุรายนี้ ถึงมีโอกาสขึ้นไปรับรางวัลแทนเจ้าของตัวจริง ?
"ส่วนตัวของผมเอง ผมเฝ้าติดตามดูฟอร์มการเล่นของซลาตัน มาไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง ก่อนที่เขาจะย้ายมาร่วมทีมอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เสียอีก”
“ผมจำได้ว่า ผมเจอเขาเป็นครั้งแรกที่มัลโม่ ในตอนแรกนั้น ผมยังไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับตัวเขามากนัก แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือ เขาสามารถก้าวมาเป็นนักเตะที่แสนมหัศจรรย์"
โอลเซ่น ที่เป็นแมวมองของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ที่รับผิดชอบในการค้นหาเพชรเม็ดงามในแถบสแกนดิเนเวีย เล่าความประทับใจ ที่มีต่อซลาตัน
โดยเวลานั้น ซลาตัน กำลังเป็นดาวรุ่ง และเติบใหญ่บนแผ่นดินสวีเดน พร้อมกับมีอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า หลายสโมสรอยากได้ลายเซ็นของเขาไปร่วมทีม
"เขาก้าวมาติดทีมชาติสวีเดน เป็นครั้งแรก ในเกมกับหมู่เกาะแฟโร ในช่วงเดือนมกราคม 2001 ตอนนั้นมีหลายสโมสรที่อยากได้ตัวเขา” โอลเซ่น เล่าต่อ
“สถานการณ์แบบนั้น ผมตัดสินใจรีบโทรศัพท์ไปหาลีโอ บีนฮัคเกอร์ ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในเวลานั้น”
“ผมโทรศัพท์บอกกับบีนฮัคเกอร์ ว่า -นายต้องตัดสินใจให้เร็ว เพราะตอนนี้มีทีมที่สนใจในตัวของซลาตัน เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วย-"
"กระทั่งในช่วงเดือนมีนาคม 2001 สโมสรมัลโม่ เดินทางมาเก็บตัวทางตอนใต้ของสเปน และลงอุ่นเครื่องกับทีมจากนอร์เวย์ เขายิงประตูที่สวยงามมาก !!”
“ผมเห็นลูกยิงดังกล่าวเต็มสองตาเลยล่ะ เพราะผมนั่งอยู่ด้านหลังประตู ร่วมกับบรรดาทีมงานของสโมสรอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม”
“จากลูกยิงดังกล่าว พวกเราหลุดปากออกมาว่า -สุดยอด !!- โดยหลังจากจบเกมแล้ว บีนฮัคเกอร์ พูดออกมาเลยว่า สโมสรเราต้องการตัวเจ้าหมอนี่"
"หลังจากนั้น ผมก็กลายเป็นเพื่อนกับซลาตัน เสมอมา ... ตอนที่เขาได้ลูกชายคนแรก ผมเป็นเพียงไม่กี่คนที่ถูกเชิญไปพบหน้าลูกของเขา”
“อาจจะกล่าวได้ว่า เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟุตบอล หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกสนาม เรามักจะพูดจาหยอกล้อกันตลอด"
โอลเซ่น เล่าถึงความประทับใจ ที่มีกับซลาตัน ต่อไปว่า กองหน้ารายนี้ ถือเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเป็นอย่างมาก ซึ่งขัดต่อบุคลิกในสนาม ที่ดูเหมือนคนเย่อหยิ่ง และอวดดี
โดยบอกว่า “ในช่วงปี 2009 ซลาตัน ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสวีเดน ทว่าเขาไม่สามารถจะเดินทางมารับรางวัลได้ เพราะกำลังติดภารกิจเล่นให้บาร์เซโลน่า ”
“เขาโทรมาบอกกับสมาคมฟุตบอลว่า -คนเดียวที่ผมต้องการให้ขึ้นมารับรางวัลแทนก็คือยอห์น สตีน โอลเซ่น จงดูแลเขาให้ดี แม้ว่าเขาจะเป็นชาวเดนมาร์ก ก็ตาม-“
“อีกหนึ่งเหตุการณ์ เกิดขึ้นในปี 2014 ผมพาภรรยา และลูกสาวสองคนไปชมเกมที่อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เปิดบ้านรับการมาเยือนของเปแอสเช ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก”
“มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค กล่าวกับผมเองว่า -คุณช่วยหานักเตะแบบซลาตัน อีกสักคนได้มั้ย ?- ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปว่า -คุณจะหานักเตะแบบเขา ได้แค่ครั้งเดียวในรอบศตวรรษเท่านั้น-"
อดีตแมวมอง ผู้นำพาดาวรุ่งพรสวรรค์สูงมากมายให้กับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม กล่าวปิดท้ายด้วยความภาคภูมิใจว่า "ทุกครั้งที่เขาแนะนำตัวผมต่อหน้าคนอื่นๆ เขาจะพูดว่า -นี่คือยอห์น สตีน โอลเซ่น ชายผู้ค้นพบซลาตัน อิบราฮิโมวิช"
