พ่วงด้วย สกุลชัย แสงโทโพธิ์, ชยพล ทรัพย์มา, ฤทธิพร หวานชื่น, พีรพงศ์ ปัญญานุมาภรณ์, ชมพงศ์ สมจิตร และ ก้องภพ ลวดทรง หลังจากปล่อยไปแทบยกทีม ทั้ง ทินกร อสุรินทร์, วสันต์ ฮมแสน, จิรวัฒน์ ทองแสงพราว, ณัฐพล เทพอุทัย, ริวทาโร คารุเบะ, มีโชค มหาศรานุกุล, เอลิอันโดร กอนซากา , ภูวนาถ คำแก้ว, ซูลฟาห์มี อารีฟิน, เฟลิเป้ ดาซิลวา, ภัทรภณ กางโสภา และ ธนาเศรษฐ์ จินตภาภูธนสิริ
ตามมุมมองคงจะเป็นเพราะผลงานในเลกแรกของทีม ที่ไม่ดีเอาเสียเลย อยู่ที่ 14 ของตาราง มี 17 คะแนน ห่างจากโซนตกชั้นอย่าง พีที ประจวบ เอฟซี แค่ 3 แต้มเท่านั้น ต้องยอมรับแบบตามตรงว่ามาตรฐานในการยืนระยะของพวกเขา ยังทำได้ไม่ต่อเนื่องมากนัก
ลูกทีมของ อเดบาโย่ กาเดโบ้ มีช่วงเวลาที่ไม่แพ้ใครมา 4 เกมติดต่อกัน ทั้ง เสมอ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด 2-2 (ย), ชนะ พีที ประจวบ เอฟซี 1-0 (ห), ชนะ ระยอง เอฟซี 1-0 (ย) และ ชนะ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี 2-0 (ห) แต่หลังเกมโคราชที่ทีมได้พบกับข่าวร้าย ตรงที่ "กัปตันเชน"สุพรรณ ทองสงค์ ได้รับบาดเจ็บยาวถึง 3 เดือน ทำให้พวกเขาปราชัยรวด 3 แมตช์ ทั้ง แพ้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 1-2 (ย), แพ้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-1 (ย) และ แพ้ ตราด เอฟซี 1-2 (ห) แต่จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะใน 3 นัดต่อมา กลับหวดไปได้ 7 คะแนน
เสมอ ชลบุรี เอฟซี 0-0 (ห), ชนะ สมุทรปราการซิตี้ 2-1 (ย) และ ชนะ โปลิศ เทโร เอฟซี 5-0 (ห) ก่อนที่ 4 เกมสุดท้ายของเลกแรก จะปราชัยให้กับทีมใหญ่ทั้งหมด เริ่มจาก แพ้ การท่าเรือ เอฟซี 0-4 (ย), แพ้ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี 1-2 (ห), แพ้ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 0-4 (ย), แพ้ เอสซีจี เมืองทองฯ 1-3 (ย)
ด้วยผลงานที่ไม่ต่อเนื่องแบบนี้ ทำให้สาวก “ช้างศึกยุทธหัตถี” หลายคน มองไปที่ภาพปี 2015 ซึ่งเวลานั้นสามารถทะยานมาคว้าอันดับ 3 ที่มีแนวรุกอย่าง จักรพันธ์ พรใส, เดลลาตอเร่, แซร์จิโอ ฟาน ไดจ์ค เป็นตัวขับเคลื่อนเกม จนได้ตั๋วไปเล่นรอบเพลย์ออฟ รอบสอง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2016
สุดท้ายเวลานั้นกลับไม่ได้ไป เพราะมีปัญหาเรื่องของ คลับ ไลเซนซิ่ง ที่ส่งไม่ทัน จึงเป็นอันดับถัดลงมาอย่าง ชลบุรี เอฟซี ที่ได้ส้มหล่นไปลุยแทน
ย้อนกลับไปในยุคดังกล่าว สุพรรณบุรี เอฟซี เป็นทีมที่เคี้ยวยากมากๆ และบ้านของพวกเขากลายเป็น “นรกสำหรับทีมเยือน” ก็คงไม่ผิดนัก เนื่องจากเวลาที่เล่นในสนามกีฬากลาง จ.สุพรรณบุรี แฟนบอลจะเข้ามากันจนเต็มทุกฝั่งของรังเหย้า
ยิ่งเป็นเกมใหญ่ๆแล้ว “ตั๋วผี” กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนควานหากัน ซึ่งเคยมีคนบอกว่าบางทีทะลุไปถึง 1,500 บาท ทั้งๆที่ไม่ใช่โซนดีอะไร แต่ว่าแฟนบอลก็อยากจะเข้าไปสัมผัส กระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าผลงานของพวกเขาดร็อปลงไปเยอะจริงๆ
เราลองมาวิเคราะห์กันเลกสอง เมื่อเสริมทีมเข้ามาขนาดนี้ เห็นชื่อกองหลังแล้วเชื่อเลยว่าหลายคนมองไปที่การแก้ไขเกมรับให้แน่นขึ้น เพราะ “กัปตันเชน” ก็สลัดอาการบาดเจ็บมาช่วยในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ แต่สุดท้าย “นัสตพล มาลาพันธ์” กลับโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน
ทำให้เหลืออีก 3 กองหลังสัญชาติไทยอย่าง ชยพล ทรัพย์มา, ศรายุทธ สมพิมพ์ กับ ปิยะชนก ดาฤทธิ์ รวมถึงตัวหลักอย่าง อาเลฟ วิเอร่า ซึ่งทั้งหมดจะยืนหยัดในอีก 10 กว่าเกมที่เหลือได้หรือไม่ อันนี้ต้องรอดูกัน เพราะเชื่อว่าจะมีโปรแกรมที่ถี่รออยู่
อีกเรื่อง คือ การเพิ่มมิติในเกมรุก ช่วงเลกแรกที่เห็นก็น่าจะเป็น การฝากความหวังไว้ที่ เอลิอันโดร, แพทริค ไรเชลล์ และ กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์ เท่านั้น เมื่อทั้ง 3 โดนประกบตาย หรือหายไปสักคนหนึ่ง คนที่มาทดแทนก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน
การดึง เลอันโดร อัสซัมเซา และ แฮร์ริสัน ไคออน เข้ามาเติมเต็มในแดนหน้า รวมถึง สกุลชัย แสงโทโพธิ์, ฤทธิพร หวานชื่น, พีรพงศ์ ปัญญานุมาภรณ์ มาจาก เอสซีจี เมืองทองฯ นั่นคือการตอบโจทย์ของทีม ที่ต้องการเพิ่มถึงความหลากหลายให้มากกว่านี้
สุดท้ายจะดีหรือไม่ อยู่ที่การปรุงแต่งของ อเดบาโย่ กาเดโบ้ กุนซือใหญ่ของทีมเท่านั้น เพราะนักเตะที่มาใหม่เขาเป็นคนเลือกเฟ้นมากับมือ และจะกลายเป็นโฉมใหม่ที่น่ากลัวให้กับคู่แข่งหรือไม่ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
