:::     :::

Tactical Analysis : ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แค่ต้องใช้กองหน้าให้ถูกจุดแค่นั้น

วันอังคารที่ 02 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
8,338
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ผลงานสะดุดเพราะเกมรุกในจังหวะสุดท้ายที่มีปัญหาหนักจากการจัดตัวนักเตะที่ผิดพลาดของโซลชา และนี่คือบทวิเคราะห์โดยละเอียดที่ลงลึกให้เห็นทีละข้อ และวิธีแก้ที่โอเล่ควรทำให้ถูกต้องอย่างแท้จริงในการเลือกนักเตะลงสู่สนาม

ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงเยอะ เชื่อว่าแฟนผีหลายๆคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ทีมของเราออกอาการสะดุดอย่างต่อเนื่องมาหลายนัดแล้วในลีก นับตั้งแต่เสมอกับลิเวอร์พูล, แพ้เชฟฟิลด์ยูไนเต็ด และล่าสุดก็เสมอกับอาร์เซนอล 0-0 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ทีมเราสะดุดมันมีมากมายหลายอย่าง

ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว หรือเพราะใครคนเดียว

บางครั้งทีมก็โชคร้ายจากการตัดสินที่ไร้มาตรฐานสุดๆในเกมกับเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดที่เดเคอาโดนกระแทกใส่เต็มๆแต่กลับไม่ฟาล์ว ซึ่งในทางกลับกัน เคสที่แมกไกวร์ยืนอยู่ด้านหน้าในตำแหน่งที่ดีกว่า แต่กลับถูกจับฟาล์วในการที่แรมสเดลออกมาชกไม่ถึงบอลเอง

ซึ่งจริงๆแล้วแทบจะกลับกันเลยด้วยซ้ำ รายงานข่าวล่าสุดก็เปิดเผยรายงานที่โอเล่บอกเอาไว้ว่า ผู้ตัดสินเองก็ยอมรับว่าตัดสินพลาดถึงสองจังหวะ ทั้งลูกเสียประตูที่แมนยูควรได้ฟาล์ว และลูกที่มาร์กซิยาลยิงได้ก็ควรจะเป็นประตู

แต่การถูกพิษกรรมการเล่นงานเช่นนี้มัน "โดนกันถ้วนหน้า" ทุกๆทีมก็ต้องเจอความโชคร้ายและเสียผลประโยชน์แบบนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนี่เป็นเพียงแค่เรื่องหนึ่งเท่านั้นที่แมนยูดวงซวยหน่อยที่โดนดวงเล่นงานช่วงนี้พอดี(ฮา) มันก็เลยไปสำทับกันกับการที่ชนะบิ๊กทีมสองแมตช์ขนาบข้างไม่ได้เท่านั้นเอง มันเลยดูแย่

แล้วแมนซิตี้ก็ดันทะลึ่งฟอร์มแรงอีก ยูไนเต็ดจึงตกลงมาอันดับ2อย่างที่เห็น

สิ่งที่ดีที่สุดคือเราจำเป็นต้องเล่นให้ดีมากพอที่การตัดสินผิดพลาดเช่นนี้จะทำอะไรเราไม่ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมได้ยาก แต่การลงเล่นให้เหนือกว่าคู่ต่อสู้แบบชัดเจนต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นแค่หนึ่งในเหตุที่เกิดขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้แล้วก็ยังมีเรื่องของแนวรับที่เราผิดพลาดกันเองในจังหวะ 1-2 เกมเจอดาบคู่อีก นั่นก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้น เมื่อทีมบุกประสบปัญหาในการเจาะคู่แข่งที่มาตั้งรับลึกกันสองชั้นแน่นๆ วันที่รุกไม่ดีเราควรที่จะต้องมีเกมรับมาทดแทนเพื่อป้องกันไม่ให้เสียท่าคู่แข่ง แต่วันนั้นอกจากดวงแตกแล้ว เราก็พลาดกันเองในแนวรับที่เคลียร์กันไม่ขาดหลายจังหวะจากเดเคอาและการหลุดตัวประกบของแนวรับแมนยูโดยเฉพาะตวนเซเบ้ ทำให้เสียประตูไปอีกลูก มันจึงเป็นเรื่องของเกมรับที่มาพลาดด้วย

แต่สำหรับประเด็นบทความนี้ เราจะมาชี้จุดสำคัญให้เห็นเรื่องหนึ่งก็คือ "ปัญหาเกมรุกของทีม" คือสาเหตุสำคัญที่สุดที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนั้นหยุดชะงักมาสามนัดเข้าไปแล้ว

หากคิดดีๆสามนัดที่ผ่านมา เรายิงประตูได้เพียงลูกเดียวเท่านั้นเอง แถมมาจากแฮรี่ แมกไกวร์ด้วยซ้ำในจังหวะเซ็ตพีซ และแมนยูไนเต็ดยิงประตูจังหวะโอเพ่นเพลย์ไม่ได้มา300นาทีแล้ว นับตั้งแต่ลูกสุดท้ายที่ปอล ป็อกบา กดลูกไฟระดับพระเจ้าให้แฟนแมนยูไฮพ์กันทั่วทั้งโลก

ตอนนี้เกมรุกติดขัดอย่างชัดเจน วิเคราะห์กันด้วยสถิติง่ายๆในเบื้องต้น

สิ่งที่เราจะนำมาพูดก็คือ ทีมเราไม่ได้มีปัญหาในแง่ของการสร้างสรรค์เกมบุกแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเล่นกับทีมเล็กหรือทีมใหญ่ ตอนเจอเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดเราสร้างสรรค์ถึง16ครั้ง เช่นเดียวกับเกมที่ชนะลิเวอร์พูลก็เปิดเกมบุกแลกกัน มีโอกาสยิงอีก14ครั้ง ซึ่งการลงสนามของบรูโน กับ ป็อกบาอย่างต่อเนื่องให้ทีมนั้นช่วยให้เราทำเกมรุกกันได้ดีมากๆอย่างสมดุล

บรูโน่ช่วยทีมได้ในแง่ของปริมาณการสร้างเกมบุกให้ทีมมากมาย หลายๆคนอาจคิดว่าเขาดรอปลงไป

ในแง่ของแอสซิสต์ กับ ประตูอาจจะพูดได้ แต่ถ้าเป็นเกมรุก พี่แกก็ยังคงทำได้ดี"เหมือนเดิมตามมาตรฐานของเจ้าตัว" คือforward passesยังคงเยอะอยู่เหมือนเดิม การเล่นของเขามันสร้างการจ่ายบอลขึ้นหน้า"ทุกครั้งที่มีโอกาส"  ดังนั้นเราจึงได้เห็นลูกที่จ่ายเสียเยอะตามไปด้วย เพราะเวลาบอลจ่ายเสียมันมักจะเห็นชัดกว่าจังหวะที่เขาจ่ายดีอีกหลายๆครั้งเสมอ

ปอล ป็อกบา การทำเกมรุกจะต่างจากบรูโน่ตรงที่ป็อกเวลาทำเกมรุกจะมีมิติของการดึงจังหวะเกมรุก(dictate tempo)ผ่อนช้าเร็วที่ดีมาก (ต่างจากบรูโน่ที่จะเล่นเร็วและรุกตลอดเวลา) รวมถึงด้วยสกิลทักษะการคอนโทรลบอลที่เหนือกว่าพี่หนวด ทำให้ป็อกบาจะออกเกมบุกที่ค่อนข้าง"เน้น"กว่าบรูโน่อย่างเห็นได้ชัด และจะโจมตีจากแนวลึก สลับกับบรูโน่ที่ดันขึ้นสูงเล่นงานพื้นที่อันตรายของคู่แข่งมากกว่า

มันจึงเป็นการผสมผสานกันระหว่างความมุทะลุในภาคเกมบุกที่สร้างสรรค์ตลอดเวลาเหมือน"ปืนกลบรูโน่" ยิงโดนบ้างพลาดบ้างแต่ก็สร้างแดเมจได้เรื่อยๆเหมือนเทพยอนในROV

ส่วนป็อกบาจะเน้นแดเมจหนักๆ จ่ายแต่ละดอกอย่างเน้นๆในจุดตายประหนึ่ง "ไรเฟิลหนักจากป็อกบา" ที่ยิงเน้นๆดอกเดียวดับ รวมถึงการฆ่าจากระยะไกล ด้วยลูกไฟที่ช่วงนี้ป็อกกดสูตรติดบ่อยกว่าปกติมากหากมีโอกาสส่อง ก็เหมือนเอลสุที่ยิงหนักและยิงไกลในROVนั่นเอง

จากที่ยกตัวอย่างมาด้านบนทุกคนจะเห็นว่าทีมไม่ได้มีปัญหาที่การสร้างสรรค์มากเท่าไหร่ในช่วงนี้ ซึ่งแถมพกด้วยการมี ลุค ชอว์ ที่ฟอร์มพีคติดลมบนในร่างสุดยอดของเจ้าตัวที่ทำได้ดีมากๆทั้งเกมรับที่เหนียวแน่น และเกมรุกที่เติมเกมบุกอย่างสุดป่าเถื่อนครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งดันขึ้นสูงoverlapจนสุดเส้นในทุกๆเกม แถมช่วงนี้ไปยืมอาวุธของอเล็กซ์ เตลีส มาใช้งานเพลินเลยด้วยการเปิดลูกครอสให้เห็นทันทีที่มีโอกาสบ่อยครั้ง เกมบุกของทีมมันจึงพอจะทำเกมได้เรื่อยๆ

ยิ่งด้านขวาช่วงนี้ อารอนวานบิสซาก้ายังเริ่มที่จะจุติเกมรุกให้เห็นมากกว่าเดิมแบบชัดเจน ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สามารถจับต้องได้ทันทีจากการดูเกมในสนาม

แล้วปัญหาเกมรุกอยู่ที่ตรงไหน? ในเมื่อมีคนทำเกมบุกอยู่หลายคนแล้วเช่นนี้ คำตอบมันก็ง่ายๆเลยครับ เหลือแอเรียเดียวนั่นแหละ นั่นก็คือตำแหน่งกองหน้าของทีมนั่นเองที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้

และไม่ใช่ปัญหาที่ตัวนักเตะด้วย

ปัญหาในตำแหน่งกองหน้าที่เกิดขึ้น ในฐานะที่นั่งดูเจาะแบบละเอียดทุกๆนัด ในส่วนของภาคการเล่นที่เกิดขึ้น คือปัจจัยครึ่งหนึ่งของปัญหาโดยรวม อันเกิดมาจาก "ตัวนักเตะ" เอง

แต่อีกครึ่งหนึ่ง มันเป็นจุดที่เกิดมาจาก "การจัดสรรนักเตะในการลงไปเล่นในสนาม" ซึ่งเป็นประกาศิตมาจาก"ผู้จัดการทีม"แบบเต็มๆ

ปัญหาของการเลือกใช้งานกองหน้าที่ผิดจุดของผู้จัดการทีมนั่นเอง คือpointของบทความนี้

สิ่งที่เราจะโฟกัสกัน มีอยู่สองประเด็นใหญ่ๆ นั่นก็คือ

-ความแตกต่างของคาวานี่กับกองหน้าคนอื่นๆในทีม และสิ่งที่เขาผลิตให้เราได้

-การใช้งาน"หมาก-แรช" ให้ถูกต้องและดีที่สุด ซึ่งมันอยู่ที่การจัดทีมของ ผจก ไม่ใช่ตัวนักเตะ

1.เปรียบเทียบสามกองหน้าด้วยสถิติเบื้องต้น

1.1ความคมในการยิงประตู

เริ่มแรกเราจะมาดูสามกองหน้าตัวหลักของทีมเรา ด้วยสถิติง่ายๆที่หาได้ตามเว็บทั่วไปก่อนเลย เราจะดึงมาเปรียบเทียบจากหลายๆแหล่งหน่อย ไม่ว่าจะเป็นtransfermarkt, whoscored, infogol, footballcritic หรือเว็บจากทางpremierleague.comเอง

เริ่มกันด้วยสถิติกระดาษง่ายๆอย่าง ประตู&แอสซิสต์ก่อน ซึ่งมันตัดสินได้ยากหน่อยเพราะว่า เราจะเอามาเทียบกันแต่สถิติยิงและจ่ายอย่างเดียวไม่ได้เพราะคาวานี่นั้นได้ลงสนามน้อยกว่าอีกสองคนค่อนข้างมากแทบจะครึ่งต่อครึ่ง เพราะฉะนั้นควรคิดเรื่องระยะเวลาที่ได้ลงสนามด้วย (คิดจากทุกรายการลงสนามในปีนี้)

Rashford 15 ประตู 10 แอสซิสต์ จาก 2,378 minutes played

Martial 5 ประตู 7 แอสซิสต์ จาก 1773 minutes played

Cavani 5 ประตู 2 แอสซิสต์ จาก 1,005 minutes played

จะเห็นชัดว่า คาวานี่โอกาสลงสนามน้อยกว่าน้องๆสองคนอย่างเห็นได้ชัด น้อยกว่าเกือบครึ่งของหมาก และน้อยกว่าครึ่งของมาร์คัส แรชฟอร์ดซะอีก แต่คาวานี่ยิงได้5ประตูเท่ากันกับหมาก(ในทุกรายการ) นั่นแปลว่าในด้านประสิทธิภาพการยิงประตู คาวานี่ดีกว่ามาร์กซิยาลเป็นเท่าตัว หากเทียบกันแบบง่ายๆ

นอกจากนี้ยังมีสถิติคำนวณความคม หรือความน่าจะเป็นที่ยิงประตูได้(Expected Goal)ของทั้งสามคนที่วัดออกมาในลีก จากข้อมูลของinfogol.netนั้นปรากฏว่า

Rashford มีค่าxG อยู่ที่ 5.84 ประตู  แต่ทำประตูในลีกได้ถึง 7 ลูก (ของเว็บfbref อยู่ที่6.4 ก็ถือว่าไม่ต่างกัน แรชยังยิงได้เยอะกว่าxGอยู่ดี)

Martial xG 5.12 ประตู ซึ่งควรจะทำประตูได้ใกล้ๆกับแรชเช่นกัน แต่ยิงได้จริงเพียงแค่ 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่คำนวณมาก

Cavani xG 5.59 ประตู ยิงประตูได้ 4 ลูกในลีก ก็ถือว่ายังน้อยกว่าค่าคำนวณที่เจ้าตัวควรจะยิงได้ แต่ก็ยังไม่ห่างจากความเป็นจริงมากเท่ามาร์กซิยาล

จากค่านี้เห็นได้ค่อนข้างชัดว่า "ความคม" ในการเปลี่ยนโอกาสยิงให้เป็นประตูนั้นใครทำได้ดีสุด ก็เป็นมาร์คัส แรชฟอร์ดที่ยิงได้เยอะกว่าค่าคำนวณ นั่นแปลว่าเขาสร้างประตูขึ้นมาได้จากมุมและโอกาสที่ยิงยากในหลายๆครั้ง ถ้าให้ยกตัวอย่างเห็นภาพง่ายสุดก็คือลูกยิงดับวูล์ฟ ที่ไม่น่าจะเป็นประตูได้ แต่แรชก็ทำจากลูกแบบนี้ได้หลายๆครั้ง

ส่วนมาร์กซิยาล ที่คำนวณเอาไว้ว่าน่าจะได้5 แต่กลับยิงจริงได้แค่2 ก็ยกตัวอย่างเช่นจังหวะยิงหมูหกแปโล่งๆแต่ข้ามคานออกไป ซึ่งภาคการคำนวณนั้น แทบจะให้โอกาสยิงลูกแบบนั้นเป็นค่า "1" (ต้องได้ประตูแน่ๆ)ด้วยซ้ำ แต่หมากจบสกอร์พลาดง่ายๆแบบนี้บ่อยมากในจังหวะยิง

เรียงตามลำดับความคมจริงๆเมื่อดูค่าคำนวณxG ดูจำนวนนาที ดูจำนวนประตูแล้วนั้น ฟอร์มในปีนี้เรียงตามความคมก็คงเป็น แรชฟอร์ด>คาวานี่>>มาร์กซิยาล นั่นเอง

สรุปแล้วเมื่อเป็นภาคของการจบสกอร์ มาร์คัส แรชฟอร์ดในปีนี้ดูจะโหดที่สุดในทีมกับการเป็นตัวแบกประตูให้กับยูไนเต็ด

1.2 การมีส่วนร่วมกับเกม และการเป็นตัวซัพพอร์ตเกมรุก

คราวนี้เป็นทีของไอ้หมากบ้างแล้วหัวข้อนี้(ฮา) เกมรุกในแดนหน้ามันไม่ได้มีแต่การยิงประตูอย่างเดียว เพราะตำแหน่งศูนย์หน้าไม่ใช่ตำแหน่งที่จะรอยิงแต่จังหวะสุดท้ายอย่างเดียว แต่ภาคการเล่นในแดนหน้ามันต้องมีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่ การเก็บบอล และการทำเกมร่วมกับเพื่อนด้วยการจ่ายบอลเชื่อมเกม หรือสนับสนุนให้เพื่อนได้ยิง

แรชฟอร์ดแอสซิสต์10 มาร์กซิยาล7 คาวานี่2 อันนี้ก็ตามตำแหน่ง เพราะคาวานี่คือตัวเป้าtarget man ชื่อroleก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเป้าของการทำประตูคนสุดท้ายด้านบนสุดของทีม แอสซิสต์ก็อาจจะน้อยหน่อย ส่วนกองหน้าด้านข้างอย่างทั้งสองก็จะมีแอสซิสต์เยอะกว่าตัวเป้า อันนี้ปกติ

dribbles per game เทียบสามกองหน้านั้น การเลี้ยงผ่านคู่ต่อสู้ของแรชอยู่ที่ 2.4ครั้งต่อเกม / หมาก 1.6ครั้ง และ คาวานี่น้อยสุด อยู่ที่ 0.3ครั้งต่อเกม ซึ่งเป็นเรื่องของสไตล์การเล่น อันนี้เทียบให้เห็นความพริ้วในการลากเลื้อยเฉยๆไม่มีอะไร

แต่ภาคการจ่ายบอลให้เพื่อน คนที่ดูดีที่สุดคือ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

Key Passes หรือการจ่ายบอลให้เพื่อนมีจังหวะยิงประตูนั้น ต่อเกมในฤดูกาลนี้เมื่อเปรียบเทียบกันมีดังนี้

Rashford 1 ครั้งต่อเกม / Martial 0.8 ครั้งต่อเกม / Cavani 0.3 ครั้งต่อเกม

แรชฟอร์ดกับมาร์กซิยาลนั้นพอๆกัน ซึ่งเมื่อดูลูกแอสซิสต์ 10 ต่อ 7 ก็ดูจะรองรับเรื่องสถิติตรงนี้ดี

แต่"ความแม่นยำในการจ่ายบอล" (passes success percentage)ของหมาก กินขาด เมื่อดูสถิติทุกรายการ(ทีมชาติด้วย)

Martial %จ่ายสำเร็จอยู่ที่ 83.4% ส่วนRashford 80.4 และสุดท้ายคาวานี่ 75.9

วัดเฉพาะค่าในลีกก็ไม่ต่างกันมาก 84 81 74 ตามลำดับ

สถิติมันค่อนข้างสะท้อนคุณภาพการจ่ายบอลได้ดีหน่อย จะเห็นว่าหมากจ่ายบอลไม่ค่อยเสีย (คนละประเด็นกับการทำเสียการครองบอลนะ) ส่วนแรชฟอร์ดจ่ายแม่นน้อยกว่าหมากพอสมควร และคนที่น้อยที่สุดคือคาวานี่ที่เล่นในแดนสุดท้าย ก็อาจจะจ่ายกับเพื่อนลำบากหน่อย(อันนี้แถให้ลุงแกแล้วนะ)

และนอกจากนี้ยังมีสถิติของ Expected Assists (xA) คือลูกจ่ายที่จะสร้างเป็น xG (โอกาสยิง)ให้เพื่อนร่วมทีม

Martial xA อยู่ที่ 2.1 แต่แอสซิสต์ในลีกได้ 3

Cavani xA 1.19 แอสซิสต์ไป 2

Rashford xA อยู่ที่ 1.28 แอสซิสต์ได้ 5 ลูก

วิธีดูก็คือคุณภาพของลูกจ่ายที่เป็นการจ่ายบอลทำให้เพื่อนจะได้ยิงนั้น คนที่ค่าสูงสุดคือ "Martial" อยู่ที่ 2.1 ซึ่งเยอะกว่าแรชที่ 1.28 (1ต้นๆ) และคาวานี่ 1.19

แม้จำนวนแอสซิสต์แรชจะเยอะกว่า2เม็ด แต่คุณภาพของลูกจ่ายที่ครีเอทให้เพื่อนได้ยิง หมากเยอะสุดในบรรดากองหน้าแบบทิ้งกันเป็นเท่าตัวกับอีกสองคนที่เหลือ

เพราะฉะนั้นสรุปแล้ว เมื่อเราดูสถิติทั้งหมดประกอบ ไม่ว่าจะเป็น %การจ่ายบอลสำเร็จ, ลูกจ่ายที่สร้างโอกาสให้เพื่อนได้ยิง, ปริมาณแอสซิสต์ ปริมาณKey Passesต่อเกม ทุกอย่างมันบ่งชี้ให้เห็นว่า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เป็นกองหน้าสายซัพพอร์ตที่ดีกว่าแรชฟอร์ด คาวานี่ เพราะจ่ายบอลและสร้างโอกาสให้เพื่อนยิงเองได้ดีกว่า

เพราะฉะนั้นนี่คือจุดเด่นของหมากที่เหนือกว่าอีกสองคน

1.3 ความขยันในการหาตำแหน่งในสนาม(off the ball)

นี่เป็นหัวข้อเดียวในบทความนี้ที่สถิติตัวเลขช่วยอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะต้อง "ดูด้วยตา" ให้เห็นในภาคการเล่นบนสนามจริงๆเท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างเช่นเรื่องของระยะทางวิ่ง (distance covered) ต้องบอกว่ามันเป็นสถิติที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆบนเน็ตหากไม่มีการเปิดเผยออกมา(ข้อมูลมันต้องmanualเก็บและทำโดยผู้ทำสถิติที่ต้องจ้าง ดังนั้นมันจึงมีค่าใช้จ่าย เป็นข้อมูลที่หาบนเน็ตยากหน่อย)

แต่ถึงจะมีระยะทางต่อเกมออกมาก็ยังเห็นไม่ชัดอยู่ดีว่า มันเป็นการวิ่งในบริบทไหน วิ่งถอนต่ำลงมาช่วยเกมรับ, วิ่งจ็อกคุมตำแหน่ง(ก็ได้เป็นระยะวิ่งต่อเกมแล้ว) หรือจะเป็นจังหวะสปรินท์ก็ตาม สปรินท์จังหวะอะไร ไปรับบอล ทำลายไลน์ล้ำหน้า หรือสปรินท์ฉีกตัวประกบวิ่งเข้าหาบอล

เพราะฉะนั้น ตัวเลขdistance covered ไม่สามารถอธิบายการเล่นจริงในสนามได้นอกจากการดูด้วยตาตัวเอง ดังนั้นจึงต้องใช้ภาพจังหวะการเล่นมาประกอบ

และเชื่อว่าหลายๆคนคงเห็นในสิ่งนี้เหมือนกัน คือการที่ "เอดินสัน คาวานี่" เป็นกองหน้าในทีมเราที่ขยันวิ่ง "หาตำแหน่งที่ดีในการเล่น" ให้กับตัวเองและทีมอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในตัวของแรชฟอร์ด และมาร์กซิยาล

นี่คือมิติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงที่คาวานี่มีในทีม

จากภาพนี้ก็แทบจะเป็นคำตอบได้ดี เมื่อปัญหาของหมาก-แรช ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆคือทั้งสองคนไม่ค่อยขยับหาตำแหน่งที่ว่างสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาร์กซิยาลที่ขึ้นชื่อเรื่องการไม่ค่อยชอบวิ่ง ขาดความขยันและกระตือรือร้นในสนามอย่างแรงอยู่แล้ว

ภาพนี้อยู่ในเกมที่แพ้เชฟยู 1-2 เป็นจังหวะที่ป็อกบาได้บอลทางขวาและอ่านพื้นที่ว่างในรูป ในขณะที่คาวานี่เองก็จมูกไวสุดๆและเซนส์ระดับโลกทันกับป็อกบาเป๊ะๆที่จินตนาการตรงกันว่านั่นคือจุดที่ควรโจมตี จากในรูปจะเห็นชัดว่า คาวานี่เป็นกองหน้าคนเดียวที่ "ขยับตัว" จะพุ่งไปรับบอลเล่นในพื้นที่ว่าง แต่ขณะที่สองกองหน้าเด็กหนุ่มยังยืนนิ่งอยู่ด้านหลังCBของเชฟยูอยู่เลย

สิ่งนี้สะท้อนการหาตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเล่นในขณะที่ไม่มีบอล(off the ball)ของคาวานี่ที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างมาก และเขาทำสิ่งนี้อยู่เป็นประจำให้ได้เห็น คาวานี่จะขยับตัวฉีกหนีตัวประกบ และยืนตำแหน่งว่างรอให้เพื่อนจ่ายได้ดีเยี่ยมในทุกๆเกม 

ภาพด้านบนนี้มันก้ำกึ่งพูดยาก ในจังหวะครอสเข้ามาของบิสซาก้า คนที่น่าจะยิงได้ถนัดกว่าคือมาร์กซิยาลด้านหลัง แต่ถามว่าคาวานี่ผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะจังหวะนี้ที่ไม่ใช่ภาพแคปนิ่งๆมาแบบนี้ มันคือการที่คาวานี่พยายาม "วิ่งหาตำแหน่งว่าง" โดยการจะสปีดไปรับบอลตัดกองหลัง แต่บอลไม่ได้ถูกจ่ายลึก แต่จ่ายตัดหลังมา คาวานี่ก็หยุดการวิ่ง และถอยมารับบอลย้อนหลัง และก็ยังอุตส่ายิงในจังหวะยากๆแบบนี้ได้อีก

ช็อตนี้สะท้อนเรื่อง "สัญชาตญาณในการทำประตู" ที่ยิงได้ทุกจังหวะทุกมุมไม่ว่าจะยากง่ายแค่ไหนของคาวานี่ได้อย่างดี

ส่วนอ็องโตนี่ มาร์กซิยาลจริงๆก็ดีแล้วที่มีความพยายามจะพุ่งเข้ามาหาบอล แต่ปัญหาด้านหนึ่งที่เห็นนั้น จังหวะนี้คือการวิ่งเข้ามา "ทับตำแหน่ง" คาวานี่อย่างเห็นได้ชัด และไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งเดียว แต่บ่อยครั้งที่เขาได้รับบทบาทให้ยืนปีกซ้ายแบบInside Forward แต่ว่าหุบมาเข้ากลาง ทับจุดกับกองหน้าตัวเป้าเป็นประจำ จนเกิดช็อตแย่งกันเล่นและกั๊กกับเพื่อนแบบนี้บ่อยครั้งมากๆ

จริงๆตำแหน่งหมากควรจะอยู่แถวๆประมาณบรูโน่ในรูปด้านบนนี้นั่นแหละถึงจะถูก เพราะกองหน้าด้านข้างมันต้องเป็นตัวคอยรับบอลเผื่อว่าจะหลุดออกมาทางฝั่งซ้ายเหมือนที่แรชฟอร์ดได้บอลในเกมเดียวกันนี้

เรื่องเหล่านี้มันทำให้เราเห็นถึง "ความขยัน" และ "ความพยายาม" ในวัย33ปีที่จะพิสูจน์ตัวเองของคาวานี่แบบเห็นชัดเจนมากๆ ขนาดโซลชาเองยังต้องพูดชื่นชมเองในเรื่องนี้เลย แต่นักเตะบางคนอย่างอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กลับลงสนามอย่างไร้ความมุ่งมั่นและความขยันอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของความทุ่มเทที่มักจะไม่ค่อยวิ่งเพื่อทีม ไม่ว่าจะเป็นความขยันในการวิ่งหาตำแหน่งแบบคาวานี่ที่ไม่มีเลย และมักจะยืนรอบอลอยู่เสมอ แม้กระทั่งในลูกเตะมุม เราก็จะเห็นภาพที่หมากยืนอยู่เฉยๆหน้ากรอบเขตโทษ แต่หันมาดูคาวานี่ เขาจะวิ่งสลัดสะบัดตัวประกบอยู่ตลอดเวลาเพื่อหาตำแหน่งที่ดี

และที่เห็นชัดคือ ความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อทีม มาร์กซิยาลไม่มีเลย เมื่อเทียบจังหวะที่เสียบอลเหมือนกันในตำแหน่งกองหน้า คาวานี่จะวิ่งลงต่ำมาทุ่มเทพุ่งใส่คู่แข่งเหมือนบรูโน่เป๊ะๆเพื่อที่จะทวงบอลคืนมาให้ได้ แต่มาร์กซิยาลก็จะมีภาพประจำที่แฟนบอลเบื่อหน่ายกับการที่เสียบอลแล้วหยุดเล่น ทำหน้าเซ็ง และ"ยืนเฉยๆ" ไม่พยายามวิ่งไล่เอาบอลคืนมา

ภาพด้านบนนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องธรรมดาที่เห็นทุกครั้งของมาร์กซิยาล เสียบอลในแดนหน้า เพื่อนวิ่งกลับกันหมดแล้ว แต่เขายังคงยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูbody languageในภาพก็เห็นชัด

และนี่คือประตูแห่งความพ่ายแพ้ที่เราโดนประตู 1-2 แม้จะเป็นความผิดหลักของเดเคอาที่มีโอกาสเคลียร์บอลขาดได้ตั้งแต่แรก และการหลุดตัวประกบ และไม่เคลื่อนที่ขึ้นมาmarkingประชิดตัวของตวนเซเบ้ที่ยืนทิ้งพื้นที่ว่างด้านหน้าปล่อยให้เขายิงจนโดนแฉลบเข้าประตู  แต่คนที่ผิดมากๆในจังหวะนี้อีกคน คืออ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ควรจะตามไล่ประกบลุนด์สแตรม(เบอร์7ทางขวา) ซึ่งเป็นหน้าที่ของปีกซ้ายอยู่แล้วที่จะต้องลงมาช่วยซ้อนแบ็ค เวลาเจอคู่แข่งขึ้นเกมริมเส้น

แต่ทั้งลุนด์ ทั้งนอร์วู้ด ยืนว่างต่อบอลกันสบายๆ และเบอร์9ของเราก็ยืนดูอย่างที่เห็นในภาพ ทั้งๆที่มีตัวที่ต้องช่วยวิ่งไปประกบอยู่ถึง3ตัวที่กำลังบุกฆ่าเราอย่างช้าๆ

มันคือความขี้เกียจไร้ใจที่ส่งผลกับทีมอย่างใหญ่หลวง

ปัญหาใหญ่หลวงอีกอย่างของกองหน้าวัยรุ่นเราคือ การตัดสินใจจังหวะสุดท้าย ช็อตที่ควรส่ง กลับยิงเอง ช็อตที่ควรยิง กลับไม่ยิง และกองหน้าวัยรุ่นทีมเราติดการเล่น"บอลชายเดี่ยว"เยอะมาก

เป็นปัญหาเกมรุกแมนยูมานานหลายปีแล้วในเรื่องการที่มักใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการฝืนบุกไปเอง มากกว่าจะจ่ายเพื่อนเพื่อเน้นทีมเวิร์คการเข้าทำ

บ่อยๆที่กองหน้าหนุ่มของปีศาจแดงมักไม่ยอมจ่ายให้เพื่อนที่ตำแหน่งดีกว่าอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะ Martial Rashford หรือแม้กระทั่ง Greenwood ก็ตาม จากภาพด้านล่างนี่ในเกมนัดล่าสุดที่เจออาร์เซนอลเป็นต้น ที่แรชฟอร์ดได้รับบอลสวนกลับที่ตัดได้จากแดนหลังขึ้นมา แต่กลับเลือกที่จะ"ฝืน"ยิงเองทั้งๆที่ด้านหน้ามีลุยซ์ยืนขวางมุมอยู่ แต่ข้างๆมีบรูโน่ที่เคลื่อนที่มารอรับบอลต่อ และอาจจะต่อบอลมาทางซ้ายให้หมากที่จะวิ่งเข้ามารับบอลและได้มุมยิงที่ดีกว่าแรช

นี่คือจังหวะที่ควรจ่าย แต่น้องกลับยิง และอีกหลายๆครั้งเช่นกันที่แรชมีการตัดสินใจจังหวะสุดท้ายไม่ดี เพราะไม่รีบยิง แต่แต่งเยอะ หรือเก็บบอลจ่ายเอาชัวร์ จากภาพด้านล่างที่มุมกว้างมากและน่าจะทำได้ดีกว่านี้หากว่าตัดสินใจยิงเร็วทันที เพราะแต่งบอลนิดเดียวคู่แข่งก็พุ่งมาปิดมุมเรียบร้อย สุดท้ายก็ยังล็อคและจ่าย จนพลาดโอกาสยิงอย่างน่าเสียดาย (เขามีโอกาสแต่งเข้าขวา ใช้ลำตัวด้านซ้ายบังทางคู่ต่อสู้ แล้วได้ซัดในมุมที่กว้างนั้นอีกด้วย)

แต่ในทางกลับกัน เอดินสัน คาวานี่ มีการตัดสินใจจังหวะสุดท้ายที่คมกริบ และถูกต้องเสมอ ไม่ว่าจะช็อตที่ควรยิง พี่แกก็ยิงเลย ในภาพข้างบนที่บอลครอสเข้ามา หรือจังหวะที่ควรจ่าย คาวานี่ก็ไม่ได้หวงบอล และเล่นกับเพื่อนได้ดีมากๆในประโยชน์ทางด้านทีมเวิร์คจากกองหน้าตัวเป้า อันจะเห็นได้จากการประสานงานที่ยอดเยี่ยมกับบรูโน่ในภาพด้านล่างนี้ ที่เติมขึ้นหน้าจะวิ่งทำทางเข้ากรอบไปยิง และคาวานี่ก็รับบอลและจ่ายต่อให้บรูโน่ในเส้นสีเขียว เข้าไปหาพื้นที่ว่างด้านหลังCBที่วงกรอบเอาไว้

นี่คือทีมเวิร์คจากการเป็นกองหน้า ซึ่งหมากแรชมีน้อยกว่าคาวานี่มากๆ

สรุปทั้งหมดทั้งมวลแล้ว จะเห็นกันชัดเจนว่า การเล่นจริงๆในสนามนั้นคาวานี่มีมิติที่แตกต่างและดีกว่ามาร์กซิยาลและแรชฟอร์ดมากในหลายๆอย่าง

-คาวานี่มีการหาตำแหน่งให้กับตัวเองที่ดีมากๆ ทั้งการเข้าทำในกรอบเขตโทษด้วยตัวเอง หรือความพยายามวิ่งสลัดตัวประกบตลอดเวลาเพื่อให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งว่าง

-ความขยันกระตือรือล้นในการช่วยเกมรับ ความทุ่มเทในการเล่นเพื่อทีม

-การตัดสินใจในจังหวะสุดท้าย จังหวะควรยิง ควรจ่าย ทำได้ดีกว่าคนอื่นที่เลือกช็อตเล่นยังขาดๆเกินๆอยู่

-สำคัญที่สุด เรื่องของteamwork ที่มีอยู่ในการเล่นสูงกว่าหมากแรช ที่มักจะฝืนเลี้ยงเอาชนะคู่แข่งด้วยตัวคนเดียว

2. ภาคการใช้งานที่ถูกต้อง และการเลือกลงตำแหน่งของOle Gunnar Solskjaer

หัวข้อแรกเราเปรียบเทียบจุดเด่น จุดด้อยของแต่ละคนชัดเจน เพื่อให้เห็นว่า แต่ละคนมีดีอะไรบ้าง ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสามคนมี "ความแตกต่างกัน" ค่อนข้างสูงจริงๆ ก็เหมือนอาวุธสามชิ้นที่ "ไม่เหมือนกัน"

ซึ่งมันจะดีหรือไม่ดี และฟาดฟันศัตรูตายได้หรือไม่ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แต่อยู่ที่"คนใช้"

เพราะแม้เราจะบอกว่า นักเตะคนนี้ดีหรือไม่ดี ห่วยหรือไม่อย่างไรก็ตาม ต้นตอหลักจริงๆมันคือคนที่ตัดสินใจเลือกใช้ และส่งนักเตะคนนั้นลงสนามต่างหาก ที่เป็นคนต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด เพราะแม้ตัวนักเตะจะไม่ตอบโจทย์ที่ต้องการ แต่เขาก็ส่งตัวเองลงสนามไปไม่ได้ นอกจากการ"เลือก" ของผู้จัดการทีมเอง

ปัญหาของโอเล่ในตอนนี้ก็คือ

2.1 มองมาร์กซิยาล กับ แรชฟอร์ดว่า ควรต้องได้ใช้งานลงสนามพร้อมกันทั้งคู่ในฐานะกองหน้าท็อปทรีที่ดีที่สุด ซึ่งจริงๆแล้ว หมาก-แรช ควรที่จะต้อง "แย่งตำแหน่งกันเอง" ด้วยซ้ำในฐานะ LW (หรือ LS) ของทีม เพราะมิติการเล่นมันทับตำแหน่งกันเต็มๆในการเป็นกองหน้ากึ่งปีกฝั่งซ้ายตัดเข้ากลางทั้งคู่

2.2 เอดินสัน คาวานี่ ควรจะเป็นกองหน้าตัวเป้าตัวเลือกแรกของแมนยู ไม่ใช่มาร์กซิยาลเหมือนที่โอเล่มอง แต่เขามักจะสตาร์ทตัวสำรองบ่อยครั้งโดยไม่จำเป็นเลย เพราะแม้จะบอกว่าอายุเยอะแล้ว ต้องถนอมการใช้งาน แต่หลายๆครั้งมันเห็นชัดว่า คาวานี่เองก็ฟิตพอจะลงตัวจริงได้ตั้งแต่นาทีแรก แต่กลับถูกวางไว้ลงเปลี่ยนเกมครึ่งหลัง ซึ่งมันช้าไป และทีมจะเสียประโยชน์จากการได้คุณภาพการเล่นของเขาในแดนหน้าที่ทำประโยชน์และวิ่งให้ทีมตลอดเวลา

2.3 สาเหตุที่ทำไมโซลชาถึงยังเลือกมาร์กซิยาลลงสนามเป็นตัวเลือกแรกๆ ทั้งๆที่แฟนผี"ส่วนใหญ่"มองว่าเขาไม่ควรแล้วนั้น ถ้าให้วิเคราะห์ก็น่าจะเป็นเรื่องของ "มุมมอง" ที่โอเล่มองไม่เหมือนแฟนบอล และเขาน่าจะพิจารณาเรื่อง "มิติการเล่นของมาร์กซิยาล" เป็นหลักว่า หมากมีความสามารถในการจบสกอร์ หมากมีความเร็วไปกับบอลได้ และเป็นกองหน้าตัวเลือกแรกๆของทีมที่ต้องส่งลงก่อนในแดนหน้า

แต่ประเด็นคือ โอเล่มองผิดไป เพราะมาร์กซิยาลมีความสามารถเหล่านั้นอยู่ในตัวจริง แต่ก็ไม่เคยนำเอาข้อดีที่เขามีเหล่านั้นออกมาใช้เลย เนื่องจากไม่ทุ่มเทในการเล่น และไม่ดึงสิ่งที่มีในตัวออกมาใช้เพื่อทีม

ผมจะบอกว่า มาร์กซิยาลไม่ได้เป็นกองหน้าฝีเท้ากากแต่อย่างใดเหมือนที่ใครเข้าใจผิด เปล่าเลย กลับกลายเป็นว่าจริงๆแล้วด้านทักษะความสามารถในการเล่น Martial ดูจะเหนือกว่า Rashford

คือพูดง่ายๆ เอาจริงๆผมว่าหมากเล่นบอลเก่งกว่าแรชอีก

เนื่องจากทักษะสกิล และเทคนิคที่มีในตัว เหนือชั้นกว่าแรชฟอร์ดมาก ในขณะที่แรชก็ยังคงเป็นสไตล์นักบอลอังกฤษนั่นแหละที่เน้นเล่นด้วยความสามารถทาง"กายภาพ" มากกว่าจะมีเทคนิคที่เหนือชั้น

คลาสการเล่นหมากเหนือกว่าแรชเยอะ

แต่แล้วทำไม ผลงานในสนามกลับสู้กันไม่ได้เลย มันเป็นเพราะปัญหาทางด้านmentality ด้านจิตใจของMartial นี่แหละในด้านของ work rate ที่ต่ำมากๆ ความทุ่มเทพยายามไม่มีเลย

แต่กลับกัน มาร์คัส แรชฟอร์ดที่ไม่ใช่อัจฉริยะ กลับมีความพยายามและทุ่มเทสูงมากๆที่จะเล่นเพื่อทีมและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาจึงมักจะทำประตูในช่วงนาทีสุดท้ายได้บ่อยครั้งที่เป็นตัวตัดสินเกม นั่นเป็นเพราะจิตใจที่ไม่ยอมแพ้หากกรรมการยังไม่เป่านกหวีด ซึ่งเป็นDNAแบบแมนยูไนเต็ดแท้ๆที่วิ่งเพื่อตราสโมสรบนหน้าอก

มาร์กซิยาลคืออัจฉริยะที่ยังขุดความสามารถตัวเองออกมาใช้ได้ไม่ถึงครึ่งทั้งๆที่เก่งมาก ก็เนื่องด้วยจิตใจที่อ่อนแอนี่แหละ ปัญหาสำคัญของเขา

3. วิธีแก้ปัญหาให้แดนหน้าของทีม

สิ่งที่โอเล่ควรทำ เพื่อที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ให้ดีที่สุด มันคือปัญหาเรื้อรังของเขาในระบบลูกรัก(ที่มักมองนักเตะบางคนอย่างมาร์กซิยาลที่ต้องได้ลงสนามก่อนคนแรก อย่างที่กล่าวไป) และวิธีแก้ตรงนี้ มันง่ายเพียงแค่คิดกริ๊กเดียวจริงๆ และเชื่อว่าแฟนผีเกินครึ่งที่อ่านบทความนี้อยู่น่าจะคิดตรงกันกับผู้เขียน นั่นก็คือ

"ใช้งานมาร์กซิยาลกับแรชฟอร์ดในฐานะปีกซ้ายที่ต้องสลับกันลง"

พูดง่ายๆคือเลิกมองว่า หมากต้องลง แรชต้องลงสักที เพราะสองคนนี้ตำแหน่งทับกัน ถ้าจะเลือกก็ส่งคนใดคนหนึ่งลงไปเลย และตัวที่ดีกว่า ณ ตอนนี้ในตำแหน่งปีกซ้าย คือมาร์คัส แรชฟอร์ดที่ควรได้ยึดตัวจริง และหมากจะต้องสำรองแรชฟอร์ดก่อน

แต่ไม่ใช่ การที่รักแรช เสียดายหมาก สุดท้ายต้องให้ลูกรักลง จนแรชฟอร์ดต้องเสียสละไปเล่นทางขวาให้ทีม เพราะเพียงแค่ว่าเขา"เล่นได้"

นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดจุดมากๆ จะเห็นได้จากเกมเจออาร์เซนอล เป็นอีกครั้งที่โอเล่มองหมากสำคัญมากเกินไป เพราะตอนที่แม็คโทมิเนย์เจ็บช่องท้อง วิธีแก้ปัญหามีหลายทางมากไม่ว่าจะเป็นมาติช ฟานเดอเบค ที่ลงแทนตรงกลางได้ หรือจริงๆก็มีตัวทางขวาที่ลงได้อีก

วิธีแก้ที่ถูกจริงๆคือ เอาแรชฟอร์ดย้ายสลับมาปีกซ้ายที่มันว่าง เพราะว่าดึงป็อกบาลงต่ำไปเล่นคู่กับเฟร็ดแทน

จากนั้นควรเป็น "เมสัน กรีนวู้ด" ที่ถูกใช้เปลี่ยนลงมายืนกองหน้าฝั่งขวา(RS)ให้กับทีม

นี่ต่างหากที่เป็นวิธีแก้ที่ถูกต้อง เพราะแรชฟอร์ดจะได้เล่นเต็มประสิทธิภาพทางซ้าย เช่นเดียวกับกรีนวู้ดที่ลงฝั่งถนัดทางขวา และป็อกบาก็ไปช่วยกลางได้ ก็ยังมีมิติเปิดเกมจากแนวลึกได้อยู่

แต่ที่โอเล่ทำคือการฆ่าตัวตายด้วยการลดประสิทธิภาพนักเตะตัวเองลงด้วยการ โยกแรชไปเล่นขวาที่เขาไม่ได้ถนัดอะไรมาก แค่เล่นได้ แล้วส่งมาร์กซิยาลลงปีกซ้ายแทน ซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าหมากลงเล่นขวาไม่ได้ มันก็ควรที่จะใช้ตัวอื่น(กรีนวู้ด)มาเล่นขวาแทน เขาควรนั่งสำรองต่อไป

กลับเอาลงมาแย่งตำแหน่งให้แรชไปตายด้านขวา และตัวเองที่ลงมาทางซ้ายก็ไม่ได้ทำเกมอะไรได้ดีมากไปกว่าจังหวะชิ่งต้นครึ่งหลังช็อตเดียวเท่านั้นที่ดูจะดีสุด

ย้อนกลับไปด้านบนของหัวข้อนี้ ที่เขียนไว้ว่า หมาก-แรช ควรสลับกันลง เพราะงั้นช็อตเปลี่ยนตัวเกมอาร์เซนอลนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าผิดจุด เพราะพวกเขาไม่ควรลงมาพร้อมกัน

เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า บทความนี้ทำขึ้นมาเพื่อจะบอกว่า ควรดร็อปมาร์กซิยาลไปเลยใช่ไหม ถึงจะสาสมและทีมจะดีขึ้น? ผมก็ต้องรีบตอบตรงนี้ก่อนว่า "ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ"

เรา(โอเล่)ควรใช้มาร์กซิยาล กับ แรชฟอร์ดสลับกันให้ถูกสถานการณ์ ถูกจังหวะ จึงจะเกิดประโยชน์กับแมนยูไนเต็ดสูงสุด

เห็นชัดนะครับ ไม่ใช่การดร็อปหมากทิ้งออกจากการลงสนามทันที อย่าเข้าใจผิด[เด็ดขาด]

เรื่องนี้ผมตั้งใจปูเนื้อหาเอาไว้ในหัวข้อ "1.2" เรื่องการมีส่วนร่วมกับทีม และการซัพพอร์ตเกมรุก ย้อนไปอ่านได้ จะบอกว่า จุดเด่นของมาร์กซิยาลนั้นคือ skills & technique ที่ดูดีกว่าแรชฟอร์ดมาก ที่%การจ่ายบอลสูงกว่าอีกสองคนที่เหลือ และการแอสซิสต์ให้เพื่อนได้ยิงนั้นก็ดูดีกว่าเช่นกัน

เพราะงั้นโอเล่ควรที่จะเลือกใช้งานเขาให้ถูกต้อง และผมมองว่า หมากเหมาะกับการใช้ลงในตำแหน่งปีกซ้ายในเกมที่เจอกับคู่แข่งที่อ่อนชั้นกว่าเราเยอะๆ และมา"ตั้งรับลึก" ใส่เรา เพราะเทคนิคการเล่นที่เหนือชั้นกว่าคู่แข่ง, มิติการเล่นสั้น และการจ่ายบอลสวยๆในกรอบของหมาก มันก็พอจะช่วยทีมได้ หมากอันตรายกว่าการใช้แรชฟอร์ดเวลาเจอทีมรับลึกแบบนี้

ส่วนแรชฟอร์ดที่เด่นกว่าหมากด้านความมุ่งมั่น และการเล่นด้วยความสามารถทางกายภาพนั้น ก็ชัดเจนว่า แรชฟอร์ดเหมาะจะยืนปีกซ้ายในเกมที่เป็น "เกมเปิด" บุกแลกกันเหมือนนัดที่เจอลิเวอร์พูล หรือ อาร์เซนอล ซึ่งจุดนี้นี่แหละที่ทำให้แรชเป็น Big Match Winner หลายต่อหลายครั้ง แรชฟอร์ดเหมาะมากในการเจอคู่แข่งที่เปิดเกมบุกใส่เรา

สองคนนี้ควรเลือกสลับกันใช้งานดีๆ และควรต้องแย่งตำแหน่งกันเอง หากเกมไหนที่ควรพัก การดร็อปเอาตัวแบกแบบแรชไปนั่งสำรองบ้าง เป็นสิ่งที่โอเล่โคตรควรจะทำเพราะจะได้พักร่างกายเขา รวมถึงกระตุ้นด้านจิตใจให้แรชพยายามจะแย่งตำแหน่งคืนอีกด้วย

เพราะงั้นสรุปแล้วสองคนนี้ควรสลับกันลงและแย่งตำแหน่งกันเองในปีกซ้ายเท่านั้น

ส่วนทางด้านขวาไม่ต้องไปแคร์มาก ในเมื่อไม่มีคนเล่นถนัดจริงๆก็ "อย่าตัดปีกซ้ายตัวเองทิ้ง" ด้วยการโยกเอาแรชฟอร์ดไปฝืนลงด้านขวาเพื่อจะเล่นcounter-attack แม้ว่าจะได้ผลบ้างก็จริง แต่ทีมก็เสียมิติเกม "สวนกลับจากด้านซ้ายที่แรชถนัด" เช่นกัน (เหมือนที่เล่นอย่างแพรวพราวในเกมลิเวอร์พูล)

เราควรรีดศักยภาพสูงสุดในตัวนักเตะออกมาใช้ และให้เขาได้เล่นตำแหน่งถนัดต่างหากที่ควรจะทำ พวกคอเกมFMคงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี ส่วนทางขวานั้นก็ควรให้เป็นการแย่งตำแหน่งกันเองของ Greenwood, James, Mata หรือแม้กระทั่ง "Pogba" ที่หากว่าโซลชาแพ็คเกมกลางสนามด้วย "แม็คเฟร็ด" ด้านหลังแล้ว ก็สามารถดันป็อกขึ้นมาเล่น "เพลย์เมคเกอร์ด้านข้างทางขวา" ที่หุบเข้าในไปพลางๆก็ได้ แล้วก็ใช้AWBในการ overlap ริมเส้นเหมือนที่เขากำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้

และทั้งหมดนี้คือการบริหารจัดการทีมในการเลือกตัวนักเตะลงให้ถูกตำแหน่ง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดให้กับทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังไม่ทำให้เห็นในตอนนี้

ก็ได้แต่หวังว่า โอเล่จะตาสว่าง และมองเห็นประเด็นสำคัญ(ง่ายๆ)นี้สักที

ย้ำอีกครั้ง

1.แค่ใช้แรชฟอร์ด มาร์กซิยาล สลับกันลงและแย่งตำแหน่งกันเองในฝั่งซ้าย (ไม่ใช่ให้ดร็อปหมากไปเลย) ทีมจึงจะได้ประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง และจะช่วยแก้ปัญหาให้เกมรุกของเรากลับมาลงตัวอีกครั้ง

2.เอดินสัน คาวานี่ ที่ควรจะต้องยืนตำแหน่ง"หน้าเป้าตัวเลือกแรก" ให้กับทีม ไม่ใช่มาสำรองมาร์กซิยาลเหมือนในหลายๆครั้ง หมากต่างหากที่ต้องคอยสำรองซัพหน้าเป้าให้คาวานี่ และค่อยสลับลงมาเล่นแทนเพื่อพักคาวานี่บ้างในเกมไม่ยากหรือแทคติกที่ต้องใช้ความเร็ว นั่นแหละจึงจะดีที่สุด

สองอย่างแค่นี้เอง ไม่ยากเกินไลเซนส์โค้ชของคุณใช่ไหมล่ะ Ole Gunnar Solskjaer?

-ศาลาผี-

น้าลูกอม : ศาลาผีลงท้ายเล่นกูอีกแล้ว ไอสาด

References

https://www.transfermarkt.com/

https://www.whoscored.com/

https://www.infogol.net/en

https://www.premierleague.com/

https://www.footballcritic.com/

https://fbref.com/en/

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด