:::     :::

พัง.....

วันจันทร์ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,522
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ต่อให้รักแค่ไหน แต่ยังไงถ้าถ้าคนที่เรารักกำลังเดินผิดทาง หรือทำตัวน่าผิดหวัง ก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนกันบ้างล่ะครับ ไม่เว้นแม้แต่ทีมรักอย่างลิเวอร์พูลที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในค่ำคืนที่ผ่านมาเช่นกัน




วางแผนพังๆ
    

          อาจจะบอกว่าเป็นการ “เก่งหลังเกม” ก็ได้ล่ะครับ แต่ในเมื่อผลการแข่งขันมันออกมาแบบนี้ โค้ชอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ก็ต้องรับผิดชอบผลของการตัดสินใจแบบนี้ไปนั่นแหละ  กับการที่ลิเวอร์พูลเองก็ได้กองหลังธรรมชาติมาเสริมทีมเรียบร้อยแล้ว แถมมีถึง 2 ตัวอย่างโอซาน คาบัค กับ เบน เดวิส เลยด้วยซ้ำ แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ก็ตัดสินใจเลือกที่จะใช้กองกลางอย่างเฮนโด้ และฟาบินโญ่มาเล่นกองหลังตัวกลางเหมือนดังเช่นเคย โอเคล่ะครับ เข้าใจได้เลยว่าผู้มาใหม่ต้องมีการปรับตัวแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันก็น่าคิดเหมือนกันล่ะครับ ว่าคนที่ฝืนเล่นในตำแหน่งที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติของตัวเอง กับ คนที่เพิ่งมาใหม่ แต่เล่นในตำแหน่งนี้มาตลอดแบบนี้ การเลือกแบบไหนมันถูกต้องกว่ากัน ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูถึงตอนนี้ฟาน ไดค์เพิ่งย้ายมาลิเวอร์พูล เขาเองก็ลงสนามในทันทีเหมือนกัน และก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรเท่าไรเลย แถมยังเป็นคนโหม่งประตูชัยด้วยซ้ำ ซึ่งตรงนี้ก็ยืนยันได้ล่ะครับ ว่าการเลือกตัดสินใจแบบนี้ก็น่าจะมาจากคล็อปป์เองมากกว่า และกับผลการแข่งขันแบบนี้ก็ต้องบอกกันตรงๆ ล่ะครับ ว่าเขาตัดสินใจผิดจริงๆ เพราะทั้งเฮนโด้และฟาบินโญ่โดนแนวรุกของซิตี้เล่นงานแทบทั้งเกมจนเละเทะไปหมด และกับการเอาสองคนนี้มาเล่นตำแหน่งกองหลังแบบนี้ก็ทำให้เกมแดนกลางของลิเวอร์พูลตกเป็นรองแมนฯ ซิตี้อย่างเห็นได้ชัดเลยด้วย ใครจะไปรู้ล่ะครับ ว่าถ้าเฮนโด้หรือฟาบินโญ่ได้กลับไปเล่นกองกลางอย่างที่ตัวเองถนัด ผลการแข่งขันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ .....




ไร้พลัง ไร้ความมั่นใจ จนพัง
    

          ไม่รู้ว่าใครจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า ..... แต่ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้ช่างดูเปราะบางจริงๆ ครับถ้าเกมออกมายังเสมอ 0-0 หรือนำอยู่ก็ยังจะพอเบาใจได้หน่อย แต่เมื่อไรที่พวกเขาตกเป็นฝ่ายตามหลัง หรือกระทั่งตอนที่นำอยู่แล้วโดนตีเสมอขึ้นมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหมดแรง หมดพลังที่จะฮึดสู้ไปเอาทวงประตูคืน หรือเอาประตูชัยไปแล้วจริงๆ ลิเวอร์พูลในตอนนี้ดูเหมือนคนที่กำลังสับสนหลงทาง และเปราะบางมากเหลือเกินครับ จริงๆ การเล่นของพวกเขาในวันนี้ก็ต้องบอกว่า “พอใช้ได้” เหมือนกัน แต่ว่าผลการแข่งขันในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนมันยัง “หลอน” พวกเขาอยู่ และดูเหมือนว่ามันยังฝังอยู่ในหัวของพวกเขาชนิดที่ว่าหยั่งรากลงไปลึกมากจนสลัดให้ออกไปไม่ได้ง่ายๆ เลยทีเดียว จริงอยู่ครับ พวกเขาเริ่มต้นได้ดี และมารอดตัวไปจากจังหวะการเสียจุดโทษ แต่จากแววตาและภาษากาย และการเล่นในสนามของพวกเขา เหมือนกับว่าเสียขวัญและสติแตกไปหมดแล้ว พวกเขาเล่นกันชนิดที่เรียกได้ว่า “ไร้ทิศทาง” จริงๆ ครับ แต่กระนั้นก็ยังโชคดี ที่พวกเขายังได้ประตูตีเสมอจากจังหวะโชคดีแบบสุดๆ จากความผิดพลาดของกองหลังแมนฯ ซิตี้ แต่มันก็แค่นั้นล่ะครับ หลังจากนั้นพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สร้างความอันตรายใดๆ ต่อทีมเรือใบสีฟ้าทีมนี้ได้เลย จนมันเกิดโศกอนาตกรรมกลางแอนฟิลด์อย่างที่เห็นๆ กันนั่นแหละ


 


ผิดพลาดจนพัง .....
    

          เป็นที่รู้กันอยู่แล้วล่ะครับ ว่าในเกมใหญ่แบบนี้ ไม่มีการอนุญาตให้ผิดพลาดได้อยู่แล้ว ..... แต่ก็แบบที่เห็นกันครับ ลิเวอร์พูลในเกมนี้ก่อความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และผิดพลาดแบบไม่ยอมเข็ดหลาบเอาเสียเลย จริงๆ แล้วทางฝั่งแมนฯ ซิตี้เองก็ก่อความผิดพลาดออกมาแบบน่าเขกกะโหลกเหมือนกันนะครับ จากจังหวะที่รูเบน ดิอ๊าซ ไปพลาดปั๊มบอลผิดจังหวะจนทำให้ซาล่าห์หลุดเดี่ยว จนต้องเสียท่าไปดึงดาวยิงสัญชาติอิยิปต์จนผู้ตัดสินเป่าให้จุดโทษจนทำให้เสียประตูตีเสมอในจังหวะนี้  แต่มันจิ๊บจ๊อยไปเลยครับ เมื่อเทียบกับความผิดพลาดที่ลิเวอร์พูลก่อขึ้นในเกมนี้ ทั้งที่พวกเขารอดตัวอย่างเหลือเชื่อจากจังหวะที่ฟาบินโญ่ไปทะเล่อทะล่าดีดลูกหลังไปโดนสเตอริ่งจนเสียจุดโทษ แต่กุนโดกันกลับยิงจุดโทษพลาดอย่างเหลือเชื่อ แต่พวกเขาก็เหมือนคนเจ็บแล้วไม่จำครับ กลับมาก่อความผิดพลาดจนทำให้เกิดหายนะในเกมนี้ขึ้นมาจากพ่อหมี อลิสซง เบ็คเกอร์ที่อยู่ๆ ก็จ่ายบอลพลาดไปเข้าทางผู้เล่นทางฝั่งแมนฯ ซิตี้ดื้อๆ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้โดนกดดันอะไรมากมายจากผู้เล่นแมนฯ ซิตี้เลย จนทำให้ทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังแบบไม่น่าเกิดขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานก็มาผิดพลาดซ้ำแบบเดิมอีก จนทำให้ทีมตกตามหลังอย่างสุดกู่ 3-1 ซึ่งกับสถานการณ์ในตอนนี้ที่ทั้งสองทีมฟอร์มการเล่นและความมั่นใจสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ ครับที่ลิเวอร์พูลจะกลับมาได้ในเกมนี้ และสุดท้ายพวกเขาก็โดนตอกตะปูฝังฝาโลงแบบแนบสนิทจากจังหวะที่โดนฟิล โฟลเด้นลากโซโล่ เดี่ยวมาซัดเข้าแสกหน้าอย่างเด็ดขาด เท่ากับว่าเกมนี้พวกเขาแพ้เพราะตัวเองจริงๆ .....





มันจบแล้วจริงๆ ....

    

          จริงอยู่ล่ะครับ ที่ตอนนี้การแข่งขันพรีเมียร์ลีก เพิ่งผ่านเกินครึ่งทางไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น แต่กับสถานการณ์ในตอนนี้คงต้องยอมรับกันจริงๆ ล่ะครับ ว่าประตูของการป้องกันแชมป์สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว น่าจะปิดตายไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้สิ่งที่คล็อปป์และทีมควรทำคือ หาทางกลับเข้าสู่สถานการณ์ที่ควรจะเป็นให้เร็วที่สุดครับ และอาจจะต้องถึงกับเป็นการ “เตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลหน้า” กันตั้งแต่ตอนนี้เลยก็ได้ จัดการกับนักเตะใหม่ให้เข้ากับทีมให้ได้เร็วที่สุด และควรจะต้องลดบทาทกับนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมเสียที โดยอาจจะต้องมุ่งเป้าไปที่การแข่งขันที่ยังพอจะมีลุ้นได้บ้างอย่างถ้วย UCL ที่เหลืออยู่นี่แหละครับ ในลีกอาจจะต้องยอมรับและเล่นแค่ประคองไปก่อน และไปเน้นสุดๆ กับ UCL ที่ยังพอจะมีลุ้นมากกว่า

          การหมดลุ้นแชมป์แต่เนิ่นๆ แบบนี้คิดๆ ไปก็น่าเจ็บใจและท้อแท้อยู่เหมือนกันล่ะครับ  แต่ถ้ามันทำให้เรารู้ตัวและไปทุ่มเทกับสิ่งที่เหลืออยู่อย่างการเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 7 และถ้าสุดท้ายมันจบลงแบบนั้น ก็นับว่าเป็นการปลอบใจแฟนๆ ได้ดีอยู่ล่ะครับ  ฮรี่ๆ  มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ครับ ชีวิตยังมีความหวังเสมอ จับมือกันไว้และฝ่าพายุลูกนี้ไปด้วยกันครับ YNWA ครับ ทุกคน

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด