:::     :::

รวมที่สุด'ของฟรี'พรีเมียร์ลีก

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ ในกะลาครอบ โดย พาสต้า
5,729
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ฮาเมส โรดริเกซ เหมือนกลับมาเกิดใหม่ในโลกลูกหนังอีกครั้งนับตั้งแต่ที่ย้ายมายังอังกฤษ และตอนนี้เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นการย้ายทีมแบบไร้ค่าตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว

    ด้วยสถานการณ์ที่ยากลำบากกับ เรอัล มาดริด หรือแม้กระทั่งที่ บาเยิร์น มิวนิค หลายคนเชื่อว่าความรุ่งโรจน์ของเพลย์เมกเกอร์โคลอมเบียจบลงแล้ว

    ด้วยการเล่นตำแหน่งเบอร์ 10 แบบดั้งเดิม แม้แต่ตัวของ ฮาเมส เองก็ยังยอมรับว่าตำแหน่งของเขากำลังจะตายไปจากฟุตบอลสมัยใหม่

    ทว่านับตั้งแต่ย้ายมา เอฟเวอร์ตัน ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นการย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว สตาร์ฟุตบอลโลก 2014 ได้พิสูจน์ว่าเขายังมีเส้นทางที่ดีอีกหลายปีรออยู่ข้างหน้า

    โรดริเกซ ยิงไป 5 ประตู และ 3 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก โดยลูกยิงล่าสุดของเขาก็เกิดขึ้นในเกมเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-3 อย่างน่าเซอร์ไพรส์นี่เอง

    แต่เขาก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เป็นนักเตะย้ายฟรีที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก

    เราจะพาคุณย้อนกลับไปหาพวกเขาเหล่านั้น

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

เปแอสเช มา แมนฯ ยูไนเต็ด (2016)

    โชเซ่ มูรินโญ่ อาจได้ชื่อว่าล้มเหลวในการนำแชมป์พรีเมียร์ลีก กลับมาสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    แต่ด้วยการเซ็นสัญญากับ อิบราฮิโมวิช มาจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง อย่างน้อย มูรินโญ่ นำความตื่นเต้นมาให้แฟนผีที่ค่อนข้างเบื่อ และผิดหวังได้เล็กน้อย

    ซลาตัน ยิงได้ถึง 17 ประตูในฤดูกาล 2016-17 ก่อนที่จะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเส้นเอ็นฉีกขาดในปีถัดมา ซึ่งทำให้เขาได้ลงสนามเพียง 5 เกมเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ในหนึ่งซีซั่นแบบเต็มๆ นั้น อิบราฮิโมวิช ช่วยให้ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรปา ลีก, อีเอฟแอล คัพ และคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ด้วย


เจมส์ มิลเนอร์

แมนฯ ซิตี้ มา ลิเวอร์พูล (2015)

    หลังจาก 5 ปีที่เอติฮัด สเตเดี้ยม แมนฯ ซิตี้ เลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับ มิลเนอร์ ในฤดูกาล 2014-15

    กองกลางสารพัดประโยชน์มุ่งหน้ามายังคู่แข่งร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูล โดยหลายคนเชื่อว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขานั้นผ่านไปแล้ว

    แม้จะอายุแตะหลัก 30 ปี ในตอนที่เซ็นสัญญา แต่ มิลเนอร์ ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ ลิเวอร์พูล เข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้ง และคว้าแชมป์ในปี 2019

    นอกจากนี้ เขายังเป็นสตาร์เด่นของทีมในขณะที่ หงส์แดง คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ และตอนนี้ก็ลงสนามไปเกือบ 250 นัดให้กับสโมสรจากถิ่นแอนฟิลด์แล้ว

    มิลเนอร์ ได้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง และฟูลแบ็กทั้งสองฝั่งในช่วงเวลาของเขากับทีม ด้วยความหลากหลาย และการทำงานอย่างหนักของเขานั้นคือกุญแจแห่งความสำเร็จล่าสุดของ เจอร์เก้น คล็อปป์


มิชาเอล บัลลัค

บาเยิร์น มา เชลซี (2006)

    ด้วยการถ่ายเลือดใหม่ในเวลานั้นทำให้ สิงห์บลูส์ ได้นำเอาตำนานทีมชาติเยอรมัน และ บาเยิร์น มาแบบไร้ค่าตัวในซัมเมอร์ ปี 2006

    กองกลางรายนี้เคยคว้าแชมป์บุนเดสลีกา มาแล้ว 4 สมัย ตั้งแต่กับ ไกเซอร์สเลาเทิร์น ถึง บาเยิร์น มิวนิค จนกระทั่งเขามายังกรุงลอนดอน

    บัลลัค มีส่วนสำคัญอย่างมากในขณะที่ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ปี 2009-10

    ในช่วง 4 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับทีม ตำนานที่ติดทีมชาติเยอรมันไป 98 นัดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ 3 สมัย, ลีก คัพ หนึ่งครั้ง, คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หนึ่งครั้ง และก็แพ้ในรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2007-08

    รวมแล้ว บัลลัค ลงเล่นไปมากกว่า 166 นัดให้กับทีม โดยมีค่าเฉลี่ยมากกว่า 40 นัดต่อฤดูกาลในช่วงเข้าสู่วัยย่าง 30 ปี


เจย์ เจย์ โอโคชา

เปแอสเช มา โบลตัน (2002)

    ซูเปอร์สตาร์ของทีมชาติไนจีเรียย้ายจาก เปแอสเช มายัง เดอะ ทร็อตเตอร์ส ทันทีหลังฟุตบอลโลก 2002

    และ โอโคชา ก็เขียนชื่อของเขาให้กลายเป็นตำนานของ โบลตัน ซึ่งโดดเด่นอย่างมากในเรื่องของทักษะ และไหวพริบในการครองบอล

    นอกจากนี้ เจย์ เจย์ ยังได้รับตำแหน่งกัปตันทีมในช่วงที่ค้าแข้งในถิ่นรีบ็อค สเตเดี้ยม อีกด้วย

    ในฐานะกัปตัน โอโคชา พา โบลตัน เข้าถึงรอบชิงลีก คัพ ปี 2004 ที่แพ้ให้กับ มิดเดิ้ลสโบรช์ ระหว่าง 4 ปีที่อยู่กับทีม

    ยิ่งไปกว่านั้น โอโคชา ยังช่วยพาทีมเล็กๆ อย่าง โบลตัน ไต่อันดับสูงถึงที่ 8 (ปี 2003-04 และ 2005-06) และที่ 6 (ปี 2004-05) ทำให้ เดอะ ทร็อตเตอร์ส ได้เข้าไปเล่นยูฟ่า คัพ ซึ่งพวกเขาไปถึงรอบ 32 ทีมสุดท้าย


โซล แคมป์เบลล์

สเปอร์ส มา อาร์เซน่อล (2001)

    นี่คือหนึ่งในการย้ายทีมที่อัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย แคมป์เบลล์ ย้ายจาก สเปอร์ส ไปคู่แค้นที่ไม่รู้เกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนอย่าง อาร์เซน่อล ก่อนฤดูกาล 2001-02

    เซนเตอร์แบ็กทีมชาติอังกฤษใช้เวลา 12 ปีกับ ไก่เดือยทองตั้งแต่ระดับเยาวชนมายังทีมชุดใหญ่ แต่ปีที่ดีที่สุดของเขาดันเกิดขึ้นกับ เดอะ กันเนอร์ส

    ในฐานะผู้นำในแผงแนวรับอันสุดแกร่ง แคมป์เบลล์ ช่วยให้ ปืนใหญ่ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย รวมถึงแชมป์ไร้พ่ายในซีซั่น 2003-04 ด้วย

    นอกจากนี้ เดอะ กันเนอร์ส ยังได้แชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย และไปถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยการมี แคมป์เบลล์ อยู่ในทีม


แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์

โคเวนทรี มา ลิเวอร์พูล (2000)

    บนวัย 35 ปี แม็คอัลลิสเตอร์ ถูก เชราร์ อุลลิเย่ร์ ดึงมายังถิ่นแอนฟิลดื ซึ่งทำให้ทุกคนทั่วโลกต่างพากันขมวดคิ้ว

    แต่ดาวเตะมากประสบการณ์ชาวสกอตแลนด์กลับช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับ 2 ปีที่เขาอยู่ที่นั่น

    หลายคนยังจำลูกยิงสุดคลาสสิกของเขาได้จากฟรีคิกระยะ 45 หลา ซึ่งเป็นประตูชัยในศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้เหนือ เอฟเวอร์ตัน ในปี 2001 แถม แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ร่วมคว้า 5 แชมป์กับทีมในหนึ่งปีด้วย

    ปี 2001 หงส์แดง คว้าแชมป์ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า คัพ, ซูเปอร์ คัพ และแชริตี้ ชิลด์

    แม็คอัลลิสเตอร์ ยังคงยิงประตูที่สำคัญๆ ในฤดูกาล 2000-01 ซึ่ง หงส์แดง ก็คว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในปี 2001-02 ด้วย

    นอกจากนี้ เขายิงยิงจุดโทษสำคัญในยูฟ่า คัพ รอบตัดเชือกกับ บาร์เซโลน่า ซึ่ง อุลลิเย่ร์ เรียกดาวเตะสกอตแลนด์ในเวลาต่อมาว่า 'เป็นการเซ็นสัญญาที่สร้างแรงบัลดาลใจมากที่สุด'


คนอื่นๆ

    ยังมีนักเตะคนอื่นอีก อย่างคู่หูจาก เลสเตอร์ ทั้ง คริสเตียน ฟุคส์ และ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ก็เหมาะสม

    ทั้งสองมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัวจาก ชาลเก้ และ แอสตัน วิลล่า ตามลำดับ

    พวกเขามีบทบาทอย่างมากในการช่วยให้พลพรรค จิ้งจอก สร้างความตกตะลึงให้ทั่วโลกด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในปี 2015-16 ทั้งที่อัตราต่อรองตอนเริ่มซีซั่นนั้นระดับ 5,000/1 (แทง 1 จ่าย 5,000 ไม่รวมทุน) เลยทีเดียว

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด