:::     :::

ย้อนความทรงจำกับ "ฮิเดโตชิ นากาตะ"

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
3,816
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หากเอ่ยถึงนักฟุตบอลสายเลือดเอเชีย

ที่ถือว่าทรงอิทธิพลในโลกลูกหนัง โดยเฉพาะช่วงปลายยุค’90 ต่อด้วยต้นยุคมิลเลนเนี่ยม หนึ่งในนั้นคือฮิเดโตชิ นากาตะอดีตจอมทัพทีมชาติญี่ปุ่น ที่ครั้งหนึ่ง กลุ่มนักข่าวจากสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่างเจแปน ไทม์สพากันขนานนามเขาว่าเดวิด เบ็คแฮม แห่งทวีปเอเชียซึ่งนั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยไปนัก


นอกจากแฟชั่นการแต่งตัวแล้ว ด้านทรงผม, หน้าตา และบุคลิกภาพ ที่ทำให้ตัวของนากาตะ ถูกมองว่าเป็นเบ็คแฮม แห่งเอเชียเจแปน ไทม์สยังแสดงความเห็นว่า นากาตะ ไม่เหมือนกับนักเตะซามูไรคนอื่น เพราะเขาถือว่าเป็นนักเตะคนแรกของประเทศ ที่สร้างชื่อจนโด่งดังไปทั่วโลก และปักหมุดวงการลูกหนังแดนอาทิตย์อุทัย ให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะฟุตบอลโลก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเอง 


อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ถูกพูดถึงในตัวของนากาตะ จวบมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นการคือตัดสินใจแขวนสตั๊ด ด้วยวัยเพียงแค่ 29 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุผลในด้านของความอิ่มตัว และหมดความท้าทาย ซึ่งอายุ 29 ปี ถือว่าเป็นช่วงวัยน้อยมาก เมื่อเทียบกับเส้นทางลูกหนังที่ยังคงเหลืออยู่ ช่วงนี้ เราลองไปย้อนความทรงจำ ผ่านความรู้สึกของเขากัน โดยมีหลากหลายแง่มุมที่น่าสนใจ และเป็นคลายสิ่งที่หลายคนยังสงสัยกัน

อย่างที่เราทราบกันดี นากาตะ สามารถสร้างชื่อจนโด่งดัง จากการนำพา ทีมชาติญี่ปุ่น ออกเดินทางไปเล่นฟุตบอลโลก 1998 รอบสุดท้าย ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยถือว่าเป็นเวิลด์ คัพ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทัพซามูไร บลูส์และเป็นทัวร์นาเมนต์ สร้างชื่อของนากาตะ อย่างแท้จริง เมื่อฝีเท้าของเขาเริ่มฉายแววออกมาอย่างน่าชื่นชม จนเตะตาบรรดาทีมดังจากทวีปยุโรป ที่อยากได้ตัวเขาไปสร้างสรรค์เกมในแดนกลาง


หลังจบศึกฟุตบอลโลก 1998 นากาตะ เดินทางไปเล่นฟุตบอลนอกบ้านเกิดเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยการย้ายไปร่วมทีมเปรูจา สโมสรในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ซึ่งความโด่งดังของเขา ทำให้เกมแรกกับเปรูจา มีแฟนบอลชาวญี่ปุ่นประมาณ 5,000 คน เดินทางมาชมเกมที่สนามสตาดิโอ เรนาโต คูรี่ เรียกได้ว่า เกมวันนั้นเนืองแน่นไปด้วยชาวญี่ปุ่น อย่างแท้จริง และเป็นการเปิดตลาดวงการฟุตบอลอิตาลี ให้มีสีสันเพิ่มมากขึ้น 


ไม่เพียงเท่านั้น เปรูจา ยังได้รับผลประโยชน์ จากการย้ายมาของนากาตะ แบบเต็มๆ โดยเฉพาะในแง่ของการขยายตลาด และการดำเนินธุรกิต เมื่อมียอดสั่งเสื้อหมายเลข 7 ที่สกรีนชื่อของนากาตะ เข้ามาทันทีกว่า 70,000 ตัว สร้างรายได้เข้าสโมสรอย่างถล่มทลาย แน่นอนว่า นี่คือนักเตะที่สามารถทำเงินให้กับสโมสร มากกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ถือเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่ออกผลมาในเชิงบวก 


นากาตะ บอกว่า การย้ายมาเล่นในอิตาลี ทำให้เขาค้นพบกับวัฒนธรรมแบบใหม่ เหมือนเป็นการเปิดโลกอีกหนึ่งใบ แม้ว่าความท้าทายเหล่านั้น ต้องแลกมาด้วยการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก ในแง่ของการปรับตัวพิสูจน์ตัวเอง และจัดการความกดดัน กระนั้น นากาตะ มองว่าฟุตบอลคือภาษาสากล ที่ไม่ว่าคนจากชาติใด ก็สามารถสื่อสารด้วยความเข้าใจกันได้ 


"ฟุตบอลโลกครั้งแรก เป็นอะไรที่ลำบาก แต่ผมไม่มีอะไรจะเสีย และเต็มไปด้วยแรงจูงใจ เหมือนเด็กตัวเล็กที่สนุกกับของเล่นดีๆ การจากญี่ปุ่น ไปค้าแข้งที่อิตาลี พวกเขามีวัฒนธรรมที่แตกต่าง ภาษาอิตาลี และการใช้ชีวิต ถือว่ายากเอาการ อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลถือเป็นภาษาสากล เป็นเหมือนกันทั่วโลก ผมจึงมีสมาธิกับการหวดลูกหนังเท่านั้น" นากาตะ กล่าวไว้แบบนั้น 

จากนั้น นากาตะ เริ่มขยายความยิ่งใหญ่ส่วนตัวออกมา เมื่อตัดสินใจย้ายไปคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา กับสโมสรอาแอส โรม่า ที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์แบบล้นทีม โดยที่เขาสามารถแทรกมาเป็นตัวหลักอย่างน่าชื่นชม ก่อนที่จะสร้างสถิติเป็นนักเตะเอเชีย ค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์ (เวลานั้น) ด้วยการย้ายร่วมทีมปาร์ม่า ด้วยค่าตัวราว 28.4 ล้านยูโร ฝากผลงานเอาไว้คือแชมป์โคปา อิตาเลีย 1 สมัย 


ช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้ง นากาตะ พเนจรไปลงเล่นกับหลายสโมสร ไม่ว่าจะเป็นโบโลญญ่า, ฟิออเรนติน่า ก่อนจะมาปิดฉากเส้นทางลูกหนังของตัวเองกับโบลตัน ทีมดังจากเกาะอังกฤษ พร้อมกับอกมาประกาศแขวนสตั๊ด ด้วยวัยเพียงแค่ 29 ปีเท่านั้น สร้างความตกใจให้กับแฟนบอลทั่วโลก ที่ต่างมองว่า เขาน่าจะต่อยอดในลูกหนังอาชีพได้นานกว่าที่เป็น 


นากาตะ ออกมาเปิดเผยถึงเหตุผลที่แท้จริง ในการประกาศแขวนสตั๊ดเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ตลอดเส้นทางลูกหนังของตัวเอง เขาพยายามใส่ความเป็นมืออาชีพโดยตลอด เขามีสมาธิ แค่การไล่หวดลูกหนังเพียงอย่างเดียว นั่นคือสิ่งที่ยึดมั่นมาเสมอ เปรียบเหมือนกับคติประจำใจ เขาไม่เคยเหยาะแหยะ หรือแสดงความไม่เต็มที่ออกมาเลย


นากาตะ เปิดเผยต่อว่า เขามีหน้าที่แค่ฝึกซ้อม, เดินทางไปแข่งขัน และกลับบ้าน วนเวียนอยู่แบบนั้น แน่นอนว่า ชีวิตประจำวัน และสังคมของเขามีเพียงแค่ที่บอก ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็ตามมา เขาถูกทักทายด้วยความว่าอิ่มตัวจนต้องตัดสินใจโบกมือลาอาชีพนักฟุตบอล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เขาลงมือทำมาตลอด 

นากาตะ เดินทางมาถึงจุดที่ว่า เขามุ่งความสนใจกับฟุตบอลมาเพียงอย่างเดียว โดยไม่เคยได้รับรู้เลยว่า โลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมถึงความสงสัยว่า โลกนอกสังคมลูกหนัง หมุนไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ดังนั้น เขาจึงมีความคิดว่า อยากออกไปใช้ชีวิตในโลกข้างนอกบ้าง เพื่อเป็นการชดเชยในสิ่งที่เขายังไม่ได้พบเห็น ในช่วงที่ยังคงเล่นฟุตบอลอยู่  


นากาตะ ยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ เขาออกมาค้าแข้งนอกบ้านเกิด ตั้งแต่ที่อายุยังน้อยมาก ทำให้เขานั้นสูญเสียเวลาที่บ้านเกิดไปเกือบทศวรรษ เขาได้กลับบ้านเกิดน้อยครั้งมาก ดังนั้น เขาจึงไล่ตามเก็บอะไรหลายอย่างที่ทำหายไประหว่างทาง ซึ่งคนรอบข้างเขาก็เคารพการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ปัจจุบัน เขาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง เพื่อทำในสิ่งที่รักในรูปแบบอื่น


อดีตจอมทัพทีมชาติญี่ปุ่น หันมาให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ในแง่ของวัฒนธรรม ทั้งการท่องเที่ยว, อาหาร รวมไปถึงแฟชั่น ถือเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้สัมผัสมันอย่างเต็มร้อย ในขณะที่ยังเป็นนักฟุตบอลอยู่ โดยเขาทิ้งท้ายเอาไว้ว่าสิ่งที่ผมลงมือทำ ถูกกลั่นมาออกมาจากความหลงใหล ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินตรา หรือหน้าตาทางสังคม


นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมตัวผมถึงไม่มีความสำเร็จที่คงอยู่ตลอด และความล้มเหลวที่ยั่งยืน ตลอดชีวิตผมเล่นฟุตบอลมาตลอด ผมไม่เคยรู้เลยว่า โลกภายนอกเป็นยังไง ผมอยากรู้ว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับโลกใบนี้บ้าง มันก็แค่นั้นเอง” นากาตะ ทิ้งท้าย 

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด