:::     :::

อย่าปล่อยมือกัน .....

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,393
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ลิเวอร์พูลที่กำลังง่อนแง่นเหมือนเรือยักษ์ใหญ่ไทนาทิคที่กำลังใกล้จะจมลงอยู่มะรอมมะร่อตอนนี้ ต้องการจุดเปลี่ยนในฤดูกาลนี้ให้ได้อีกครั้งอย่างเร่งด่วนและรวดเร็วที่สุดจริงๆ นะครับ และถ้าพวกเขาสามารถทำผลงานได้ดีกับเลสเตอร์ที่เป็นทีมใหญ่เหมือนกันได้ล่ะก็ อาจจะทำให้พวกเขาหาจุดเปลี่ยนนั้นเจอก็ได้ .... แต่กลับกลายเป็นเหมือนกับว่าพวกเขาถลำลึกสู่ก้นทะเลให้เร็วขึ้นกว่าเดิมไปเสียอีก




ปัญหาที่แก้ไม่จบ

          ตำแหน่งที่ดีที่สุดของจอร์แดนเฮนเดอร์สัน ไม่ใช่การเล่นเป็นกองหลังตัวกลางแน่ๆ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกๆ คนในโลกยังรู้แล้วทำไมเจอร์เก้น คล็อปป์จะไม่รู้ล่ะครับ ปัญหาของลิเวอร์พูลในตอนนี้ส่วนนึงเลยก็มาจากการที่ “ขาดพลัง” และ สมดุลย์ในแดนกลางด้วยนี่ล่ะครับ ถ้าเราพอจะสังเกตได้ ช่วงก่อนหน้านี้ที่ทีมขาดกองหลังตัวหลักอย่างฟาน ไดค์ไป แต่ยังมีมาทิป กับ โกเมส สลับกันมาเล่นและกองกลางยังไม่เสียสมดุลย์ไปอย่างตอนนี้เพราะยังมีเฮนโด้คอยประคองหรือคอยกำกับอยู่ ลิเวอร์พูลเองก็ยังประคับประคองตัวเองไปได้ล่ะครับ แต่พอไม่มีกองหลังมืออาชีพตัวจริงเหลือแล้ว และต้องถอยเอาทั้งเฮนโด้และฟาบินโญ่ลงไปเล่นเป็นกองหลังแทนแบบนี้ เกมของลิเวอร์พูลเกมไม่มีพลังและไร้ซึ่งความดุดันไปเลยจริงๆ ครับ การนำเข้ามาของ โอซาน คาบัคและเบน เดวิสเองก็น่าจะเพื่อเป็นการทำให้กัปตันเฮนโด้ ขึ้นไปเล่นตำแหน่งที่ถนัดได้เสียที แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดก็ยังโหมกระหน่ำใส่ลิเวอร์พูลไม่หยุดครับ เมื่ออยู่ๆ ฟาบินโญ่เองก็ได้รับบาดเจ็บไปก่อนหน้านี้และด้วยสไตล์การเล่นของเลสเตอร์เองก็ทำให้คล็อปป์ไม่มีทางเลือกครับ ด้วยความเร็วในเกมรุกของจิ้งจอกสยามแบบนี้ไม่น่าจะเป็นเกมที่เหมาะกับกองหลังพันธุ์อืด (เขียนถูกแล้วล่ะ) อย่างแนท ฟิลลิปส์ หรือ รีส์ วิลเลี่ยมแน่นอนครับ จึงทำให้ปัญหาของลิเวอร์พูลในเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาต่อไปเสียที และกับการที่ต้องเปลี่ยนแผงหลังไปตลอดแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอนครับ และมันส่งผลแบบเห็นชัดเจนจริงๆ ในเกมนี้นั่นแหละ 




ไม่ใช่เวลาของติอาโก้


          ต้องบอกก่อนเลยครับ ว่าผมไม่ได้เป็นแอนตี้ แฟนของติอาโก้ อาคันทาร่าแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ใช่คำตอบที่ดีนักในการลงสนามมาแก้ปัญหาของทีมที่กำลังระส่ำอยู่ในตอนนี้ ..... ไม่เถียงครับว่าตอนอยู่เสือใต้ ติอาโก้นั้นโดดเด่นและร่ายลีลาได้สุดยอดเพียงใด แต่ว่าการย้ายข้ามลีกนั้นกับผู้เล่นบางคนอาจจะยังต้องใช้เวลาปรับตัวให้ได้อยู่ดี ไม่เว้นแม้แต่ผู้เล่นชัดยอดอย่างติอาโก้ก็ตาม ติอาโก้นั้นมีข้อเสียหลักๆ เลยสำหรับการเล่นพรีเมียร์ลีกครับ นั่นคือรูปร่างของเขาค่อนข้างเสียเปรียบกับบรรดาคู่แข่งอยู่มากพอสมควร และน่าจะเห็นกันแล้วว่าเขาไม่ใช่ผู้เล่นที่เล่นเกมรับได้ดีซักเท่าไร หลายๆ ครั้งเข้าบอลช้า หรือเสียฟาวล์แบบไม่จำเป็นหลายต่อหลายครั้ง (ในเกมนี้ก็เช่นกัน) กับทีมลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คล็อปป์ชุดนี้ มันจำเป็นเหลือเกินครับ ที่ผู้เล่นแดนกลางต้องทำหน้าที่ได้ทุกอย่างจริงๆ เพราะนี่คือฟันเฟืองขับเคลื่อนของทีมนี้อย่างแท้จริง การลงสนามในตอนนี้ของติดอาโก้นั้นอาจจะยังเร็วไปหน่อยครับ เขาน่าจะยังต้องปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ลีกให้ได้อีกช่วงระยะเวลานึงเลยทีเดียว ..... แต่ก็นั่นล่ะครับ ความโชคร้ายของลิเวอร์พูลเองก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะเรื่องที่ผมว่าไปนั้น คล็อปป์เองก็พอจะสัมผัสได้อยู่ล่ะครับ เขาจัดการพักติอาโก้ไว้เป็นแค่สำรอง แต่เจมส์ มิลเนอร์ที่ร้อยวันพันปีแทบไม่เคยเจ็บก็ดันมาเจ็บช่วงนี้ซะอย่างนั้น ทำให้คล็อปป์เองก็ไม่มีทางเลือกและก็ต้องส่งติอาโก้ลงสนามต่อไป ...... และผลงานในเกมนี้ของเขาเป็นยังไงก็คงเห็นกันแล้วล่ะครับ ........






การเริ่มต้นแบบฝันร้ายของคาบัค


          การปรับเปลี่ยนแผงหลังเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ สำหรับฟุตบอลอาชีพอยู่แล้วครับ แต่ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลสลับสับเปลี่ยนคู่เซนเตอร์ไปแล้วกว่า 13 คู่ ดังนั้นการจะหาความนิ่ง หรือเสถียรภาพของเกมรับกับพวกเขาในเวลานี้มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่ๆ อยู่แล้ว ประกอบกับในแผงมิดฟิลด์เองก็ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติมาแบ่งเบาภาระให้ด้วยทำให้เกมรับของลิเวอร์พูล “ยุ่ย” แบบนี้ที่เห็นเกมนี้นั่นแหละ และแน่นอนล่ะครับ ว่าโอซาน คาบัค คือผู้ต้องสงสัยในการที่เป็นต้นเหตุของการพ่ายแพ้ครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ จริงๆ โอซาน คาบัคนั้นมีข่าวกับลิเวอร์พูลตั้งแต่ซัมเมอร์แล้วล่ะครับ ทำให้หลายๆ คนได้แวะเวียนไปดูฟอร์มของคาบัค กับ ชาลเก้ 04 มาบ้าง และต่างก็ลงความเห็นไปทำนองเดียวกันว่านี่คือ “บ่อน้ำมัน” ดีๆ นี่เอง ..... แต่ก็นั่นแหละครับ กับทีมงานของเอ็ดเวิร์ดส์ชุดนี้ก็ทำให้เหล่าแฟนบอลเงิบไปหลายครั้งแล้วเหมือนกันกับการซื้อตัวของเขา แต่ .... ณ วินาทีนี้ ยังไม่ใช่ครับ  คาบัคนั้นเล่นเกมนี้แบบค่อนข้างจะน่าเห็นใจอยู่พอสมควรเมื่อเขามีโอกาสได้ปรับตัวและเรียนรู้เพื่อนร่วมทีมเพียงแค่ 1 สัปดาห์กว่าๆ เท่านั้น เราจึงได้เห็นว่าหลายๆ ครั้งคาบัคกับเพื่อนร่วมทีมนั้นออกแนว “ประสานงา”  มากกว่า “ประสานงานครับ” ลูกประตูตีเสมอนั้นอาจจะไม่ใช่ความผิดพลาดของเจ้าตัวโดยตรงเท่าไร แต่กับลูก 2-1 และ ลูก 3-1 นั้น ต้องบอกเลยว่า “รับไปเต็มๆ” เมื่อเขาชนเข้ากับอลิสซงที่ออกมาเล่นบอลนอกเขตโทษอย่างจัง ทำให้บอลไปเข้าทางวาร์ดี้และวาร์ดี้ก็ได้ยิงประตูที่น่าจะง่ายที่สุดในชีวิตของเขาเข้าไปอย่างง่ายๆ และประตูที่ 3 ก็เป็นเจ้าตัวอีกนั่นแหละ ที่เช็คล้ำหน้าผิดพลาดจนทำให้ทีมโดนตอกฝาโลงแบบสนิทและหมดโอกาสกลับมาในเกมนี้อย่างสิ้นเชิง ..... ตอนนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะครับ ที่คาบัคจะต้องลงเล่นด้วยความกดดันที่มากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก ก็ได้แต่หวังว่าสายตาของไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์จะเฉียบคมอีกครั้งกับเคสของคาบัคนี้นะครับ ......





YNWA....

    

          ลิเวอร์พูลในตอนนี้ เหมือนคนที่กำลังดวงตกแบบสุดกู่จริงๆ ครับ อะไรๆ ก็ดูจะไม่เข้าทางพวกเขาไปซะทั้งหมด จริงๆ เกมนี้พวกเขานั้นก็ไม่ได้แย่เสียจนเกินไปครับ พวกเขาครองเกมได้แทบจะอยู่ฝ่ายเดียว และแทบจะปิดเกมบุกของเลสเตอร์ไว้ได้แทบจะทั้งเกมเลยก็ว่าได้ .... แต่ก็นั้นแหละครับ พวกเขาก็ทำได้แค่ “เกือบ” นั่นแหละ พอพวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับเพื่อที่จะเก็บผลการแข่งขันหรือประคองความได้เปรียบในเวลาที่เหลือแค่ 10 นาที ก็กลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับพวกเขาไปเสียแล้ว และยังมาโดยการตัดสินจาก VAR ที่ไม่เป็นใจเข้าไปอีก ทำให้พวกเขาต้องพังทลายลงไปอีกครั้งอย่างหมดรูป ..... เจอร์เก้น คล็อปป์เองก็ดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรมในฤดูกาลนี้ไปแล้วล่ะครับ ว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสจะป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้จริงๆ ซะแล้ว ..... การที่ผู้ชายอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ถึงกับหลังน้ำตาออกมาแบบนี้ เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีครับว่าเขานั้นทุ่มเททุกอย่างให้กับลิเวอร์พูลทีมอย่างอย่างเต็มที่และสุดหัวใจจริงๆ
    

          ถ้าเราดีใจและกระโดดโลดเต้นกับสิ่งที่ผู้ชายใส่แว่นชาวเยอรมันคนนี้เข้ามาช่วยฉุดทีมลิเวอร์พูลที่ย่ำแย่ชนิดไม่มีผู้จัดการทีมไหนอยากลงมาจับงานนี้ ให้กลายเป็นทีม “อันดับ 1 ของโลก” ได้อย่างในปัจจุบัน  ตอนนี้ก็น่าจะถึงเวลาแล้วล่ะครับ ที่พวกเราอาจจะต้องเป็นฝ่ายช่วยเหลือผู้ชายคนนี้และทีมของเขาบ้าง การด่าทอการตำหนิติเตียนไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกครับ แต่ในเวลานี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไรนักที่จะมาว่ากล่าวอะไรกัน เพราะสิ่งที่ทีมและเจอร์เก้น คล็อปป์ต้องการมากที่สุดน่าจะเป็น “กำลังใจ” จากกองเชียร์ทุกคนมากกว่า  อย่าให้ประโยค  You'll Never Walk Alone  เป็นเพียงประโยคเท่ๆ ในเพลงเชียร์เท่านั้นครับ เวลาแบบนี้แหละ ที่เราควรจะจับมือกันไว้ ประคับประคองเพื่อฝ่าพายุลูกใหญ่ลูกนี้ไปด้วยกันครับ   YNWA ครับทุกคน
    

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด