Sam Johnstone สายเลือดอันน่าภาคภูมิใจ
นักเตะผู้สวมใส่หมายเลข1ของเวสต์บรอมวิช เคยย้ายเข้ามาร่วมทีมอะคาเดมี่ของแมนยูไนเต็ดตั้งแต่อายุ10ขวบ แต่ว่าไม่เคยได้ลงเดบิวต์ให้ทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียวตลอด9ปีที่อยู่กับสโมสร
หลังจากที่เราปล่อยยืมให้สโมสรต่างๆถึง7สโมสร ในที่สุดแซม จอห์นสตันก็ย้ายซบกับเวสต์บรอมด้วยค่าตัว 6.5ล้านปอนด์ในปี2018 และลงเล่นอยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพสองซีซั่นก่อนที่จะได้เลื่อนชั้นในปี2020ได้สำเร็จ
การได้กลับมาเจอกับสโมสรเก่าอีกครั้ง จอห์นสตันได้เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาเคยถูกสโมสรปรับเงิน แต่ว่านักเตะในทีมชุดใหญ่ขณะนั้นอย่าง "เอ็ดวิน ฟานเดอซาร์" ได้ช่วยจ่ายเงินค่าปรับแทนให้
"เวลาเล่นผู้รักษาประตูจะต้องใส่ที่กันนิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วหัก แต่ว่าผมลืมใส่วันนั้น สุดท้ายแล้วนิ้วเลยเจ็บตอนซ้อม ผมก็เลยต้องบากหน้าไปหาโค้ชโกลอย่าง Eric Steele ด้วยความละอายใจ แล้วไปสารภาพบอกว่านิ้วบวม ดังนั้นผมเลยจะต้องถูกปรับทันที"
"ที่ที่ผมเติบโตขึ้นมานี้มันไม่ได้มีเพียงแต่เรื่องฟุตบอล แต่มันคือการโตเป็นผู้ใหญ่และให้ความเคารพกับทุกสิ่ง เราสนิทกับโค้ชทุกๆคนได้, การบ้านเป็นสิ่งจำเป็น และการอยู่อย่างสมถะไม่ฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งที่สมควรปฏิบัติ ทุกอย่างจะต้องมาก่อนเรื่องฟุตบอลเสมอ เพราะถ้าคุณยังไม่มีระเบียบวินัยพอก็อย่าเดินเข้ามาซ้อมฟุตบอลจนกว่าจะพร้อม นั่นเป็นสถานที่ที่เยี่ยมยอดซึ่งผมได้โตขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องของความเข้มงวด แต่คุณต้องแสดงความเคารพและมีความรับผิดชอบอยู่ในตัวเอง"
"ฟานเดอซาร์บอกผมว่าอย่าทำแบบนี้อีกแล้วนะ เขาเป็นคนดีมากๆที่คอยดูแลทุกๆคนเลย"
Richard Hartis คือโค้ชผู้รักษาประตูตอนที่จอห์นสโตนอยู่กับสโมสร แต่ว่าย้ายไปอยู่กับโซลชาที่ Molde ในปี2011 แล้วก็ตามโอเล่ไปที่Cardiff ก่อนจะกลับมาร่วมงานกับยูไนเต็ดอีกครั้งในปี2019 จอห์นสโตนกล่าวถึงความรู้สึกตอนที่ Hartis ย้ายออกไปว่า
"เค้าเป็นทั้งโค้ชและเป็นเพื่อนของผม เขาคือส่วนสำคัญที่ทำให้ผมพัฒนาขึ้นได้ ในตอนที่อายุแค่นั้นแล้วต้องเติบโตขึ้นในสถานที่อย่างยูไนเต็ด เขาเป็นคนลงลึกฝึกเบสิคต่างๆให้กับผม และคอยดูแลเรื่องราวการใช้ชีวิตนอกสนามซ้อมอีกด้วย"
"มันน่าเหลือเชื่อมากๆนะ เพราะว่าตอนผมอายุเท่านั้นเขามักจะพูดว่ารู้เรื่องราวของผมหมดทุกอย่างนะ เขาสนิทกับพ่อผมแล้วบอกเขาว่า ขนาดร่างกายของผมดีเลย ผมจะโตขึ้นอีก สิ่งที่เราต้องทำคือแค่อัดเบสิคให้ผมอย่างเช่นฟุตเวิร์ต การใช้มือ และซ้อมการอ่านจังหวะให้กับผม"
"เพราะงั้นแล้ว ริชเป็นคนที่สำคัญมากๆสำหรับผม พอเขาย้ายไปผมเลยเซ็งมากจริงๆนะ และตอนที่เราเดินทางไปเตะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดซีซั่นนี้ เรายืนคุยกันในอุโมงค์หลังเกมจบต่ออีกเป็นชั่วโมงๆเลย เขารู้ว่าผมลงเล่นมาเป็นยังไงบ้าง ต้องปรับปรุงเรื่องอะไร และยังดูสิ่งที่ผมทำอยู่เสมอๆ มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลย"
และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่ แซม จอห์นสตัน อดีตเด็กเก่าของเรากล่าวเอาไว้ก่อนจะลงสนามในเกมเมื่อคืนที่ไปเยือนเวสต์บรอมวิชอัลเบี้ยนก่อนที่จะเสมอกันไป 1-1 โดยที่หากใครจำกันได้ ต้นซีซั่นยูไนเต็ดเปิดบ้านเอาชนะเวสต์บรอมไปได้ด้วยสกอร์เพียง 1-0 เท่านั้นจากจุดโทษของบรูโน่ แฟร์นันด์ส
เกมนั้นยูไนเต็ดเป็นฝ่ายครองบอลถึง 63% และได้โอกาสยิงทั้งหมด 17ครั้ง เข้ากรอบถึง7ครั้ง แต่ได้มาเพียงแค่ประตูเดียว และอย่างที่หลายๆคนคิด ตำแหน่งแมนออฟเดอะแมตช์ที่ทางBBCให้เอาไว้ก็คงหนีไม่พ้น Sam Johnstone ด้วยเรตติ้ง 7.87 เหนือกว่าทุกคนในสนาม
เดาทางบรูโน่ถูกไปครั้งนึงเมื่อนัดที่แล้ว แต่ว่ากระโดดออกมานอกเส้นเยอะจึงโดนปรับให้ยิงใหม่และเสียประตูในที่สุด
นี่จึงเป็นคำตอบที่ดีว่าทำไมจอห์นสตันจึงได้เป็นหนึ่งในนักเตะที่เราคาดหมายว่าอาจจะเจอเขาเล่นงานเอาอีกในเกมเมื่อคืน ซึ่งก็พรีวิวเอาไว้เป็น1ใน3ตัวอันตรายของWBA และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อน้องแซมสามารถเซฟสวยๆในเกมนี้ได้หลายๆครั้ง โดยมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่ใช้ขาบล็อคลูกยิงระยะใกล้ของเมสัน กรีนวู้ด และ"เซฟระดับโลก"ด้วยการบินปัดลูกโหม่งที่กำลังจะเสียบสามเหลี่ยมอยู่แล้วของแฮรี่ แมกไกวร์ในนาทีที่90+4 ได้สำเร็จ
น้องแซมกลายเป็นผู้ที่ทำให้แมนยูไนเต็ดคะแนนหล่นไปอีก2แต้มเต็มๆกับเกมเมื่อคืนนี้ที่จบลงด้วยการเสมอกัน 1-0 ที่สนาม The Hawthorns
แม้จะเสียดาย แต่เราต้องยอมรับว่าทีมยังดีไม่พอจะเอาชนะในเกมแมตช์นี้จริงๆ ซึ่งคนที่ปฏิเสธชัยชนะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อคืนนี้กลับกลายเป็นอดีตนักเตะเยาวชนของทีมเราเอง ซึ่งลูกเซฟนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ "ผู้รักษาประตูระดับท็อปคลาส" มักจะทำได้ในจังหวะตัดสินชีวิตช่วงเสี้ยววินาที ซึ่งนั่นคือนาทีสุดท้ายของการทดเวลาด้วยซ้ำเพราะเพียงแค่ไม่นาน ผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดหมดเวลาทันที
นี่คือการ "สร้างความแตกต่างของเกม" เกิดขึ้นจากฝีมือของนักเตะคนสำคัญของพวกเขา
ในฐานะคู่แข่งเราอาจจะไม่ถูกใจ แต่ในความที่แซม จอห์นสตันนั้นเป็นหนึ่งใน "เลือดเนื้อเชื้อไขของปีศาจแดง" เรากลับภูมิใจว่าระบบเยาวชนของสโมสรนั้นได้สร้างนักเตะที่มีคุณภาพพอจะไปลงกับทีมใดๆก็ได้ในลีกที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีกนี้
หลายๆทีมนำเอานักเตะจากระบบอะคาเดมี่เราไปใช้งานในระดับ "ตัวหลักคนสำคัญของทีม" แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกจอนนี่ อีแวนส์, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ที่ย้ายมาWBAก็อยู่ในสถานะกัปตันทีม นักเตะปัจจุบันที่เป็นสายเลือดเราก็มีอย่างเช่น ไมเคิล คีน กองหลังตัวจริงของทีมเอฟเวอร์ตันภายใต้บัญชาของอันเชล็อตติ นั่นก็ตัวจริง รวมถึงล่าสุด นักเตะอย่างเจสซี่ ลินการ์ดเอง ก็ดูเหมือนจะได้ย้ายไปเป็นsquad playerคนสำคัญของเวสต์แฮมที่คุมโดยเดวิด มอยส์อีกรายด้วย
แม้นักเตะเหล่านี้อย่างเช่นจอห์นสตันนั้นอาจจะยังไม่ดีพอจะเป็นตัวจริงสำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่คุณภาพในการเล่นของเด็กเราหลายๆคนก็ดีพอจะเป็นตัวจริงให้ทีมอื่นๆในลีกได้อย่างสบายๆ
เคสของแซม จอห์นสตัน คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นคำตอบในทางอ้อมให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้เองนั่นแหละว่า "ระบบเยาวชน" ของทีมนั้นสำคัญที่สุดในการเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญระดับกระดูกสันหลังของสโมสรตลอดประวัติศาสตร์ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
หากเรายังคงรักษาคุณภาพและให้ความสำคัญตั้งแต่รุ่นอายุน้อยๆแล้ว แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะมีนักเตะฝีเท้าเยี่ยมขึ้นมาช่วยเหลือทีม และประดับวงการฟุตบอลได้อีกมากมาย
แม้ว่าแซม จอห์นสตันจะไม่ได้ดังเปรี้ยงเป็นโกลระดับโลกอะไรขนาดนั้น แต่ฝีมือที่เห็นก็อยู่ในระดับสูงและสามารถพูดได้ว่าเป็นของจริงเช่นกัน (จริงแค่ไหนก็ลองถามแมกไกวร์กับบรูโน่เอาเอง)
ท้ายที่สุดแล้วนั้น เราก็มีความสุขมากที่เห็นเขาลงเล่นในลีกสูงสุดให้กับเวสต์บรอมเช่นนี้ เวลาที่เห็นนักเตะโชว์ฟอร์มเก่งๆในทีมอื่น และเราสามารถพูดได้ว่า "นี่เป็นเด็กปั้นของยูไนเต็ด" ในทุกๆครั้งนั้น มันทำให้รู้สึกภูมิใจเหลือเกินว่า นี่คือผลผลิตของแท้จากสโมสรเรา ที่สร้างนักฟุตบอลดีๆมาประดับวงการได้อย่างมากมาย
ดีใจทุกครั้งที่เห็นนายบินสูง เพราะนายคือ "สายเลือดอันน่าภาคภูมิใจ"ของเราเช่นกัน.. แซม จอห์นสตัน
-ศาลาผี-
References
https://therepublikofmancunia.com/johnstone-van-der-sar-paid-a-club-fine-for-me/