:::     :::

4ปัจจัยสู่ความยิ่งใหญ่ของ "กระต่ายแก้ว"

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,013
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังผ่านไปแล้ว 21 นัด ดูเหมือนว่าแฟนบอล บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เตรียมที่จะฉลองแชมป์ไทยลีก หนแรกของประวัติศาสตร์สโมสร นับตั้งแต่เทคโอเวอร์มาจาก ธ.กรุงไทย เมื่อปี 2009 หรือรวมๆแล้วพวกเขาใช้เวลามากกว่า 1 ทศวรรษ ในการเถลิงบัลลังก์โทรฟี่นี้

 หลายๆอย่างดูเหมือนจะเป็นใจให้กับพวกเขา ทั้ง องค์ประกอบของทีม รวมไปด้านแท็คติคที่พวกเขาใส่ลงไปแบบพิถีพิถันในแต่ละนัด ซึ่งเราจะมาดู 4 ข้อสู่การเป็นแชมป์ไทยลีก สมัยแรกของยอดทีมจาก ลีโอ สเตเดี้ยม กันเลย


1.การเสริมทัพ

 การกลับมาสู่ไทยลีก 2020 ได้อีกครั้ง แชมป์ T2 เริ่มทำการบ้านอย่างหนัก ด้วยการเสริมทัพแบบไม่หยุดหย่อน เริ่มจาก การคว้าตัว วิคเตอร์ การ์โดโซ่ มาเป็นหัวใจเกมรับ ช่วยปักหลักได้อย่างเหนียวแน่น แถมยังมีประสบการณ์ในวงการลูกหนังไทยมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อุบล ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด นั่นทำให้เขาแทบไม่ต้องปรับตัวใดๆ


 ต่อเนื่องด้วยการคว้า สุมัญญา ปุริสาย จาก การท่าเรือ เอฟซี เข้ามาเป็นจอมทัพ แม้หลายคนมองว่าอายุเยอะ แต่บนเลขไมล์ 33 ปี ถือว่ากำลังสุกงอมเลยทีเดียว แน่นอนว่าเป็นแท็คติคที่ "โค้ชโอ่ง"ดุสิต เฉลิมแสน กุนซือของทีมต้องการมากๆ เพราะจะให้ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ซึ่งกลับมาจาก โออิตะ ทรินิตะ ทำลายเกมฝั่งตรงข้ามเพียงอย่างเดียว


 ก่อนจะสร้างความฮือฮาด้วยการดึงโนเนมอย่าง สันติภาพ จันทร์หง่อม มาจาก โปลิศ เทโร เอฟซี ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่า เขาเป็นใครกัน ทำไม "เดอะบลู แมชชีนส์" ต้องควักกระเป๋าซื้อมาด้วย แต่เขานี่แหละที่มีส่วนช่วยต้นสังกัดเก่าเลื่อนชั้น แถมยังเล่นได้ทั้งวิงขวา-ซ้าย 

 เมื่อเปิดฤดูกาลเขาทำให้เห็นว่าคุ้มค่าตัว จากการวิ่งเติมเกมรุกและลงมารับแบบไม่หยุดหย่อน จนเข้าไปอยู่ในใจของแฟนบอลทุกคนเวลานี้


 การเสริมทีมไม่จบเท่านี้ เมื่อตลาดรอบพิเศษพวกเขาไปดึง อันเดรส ตูเญซ ปราการหลังทีมชาติเวเนซูเอล่า ที่ขอแยกทางกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยมีความตั้งใจกลับบ้านที่สเปน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ในตอนนั้น ทำให้การเดินทางไม่สามารถออกจากไทยได้ จึงเป็นเหตุให้เขาโยกมาเล่นให้ "เดอะ แรบบิท"

 ยังมี เจนรบ สำเภาดี มาจาก การท่าเรือ เอฟซี ซึ่งหลายคนมองว่าน่าจะถูกปล่อยไปทีมพันธมิตรอย่าง เชียงใหม่ เอฟซี หรือ ราชประชา แต่ที่ไหนได้ เขากลับพัฒนาตัวเอง เปลี่ยนทัศนคติใหม่ จนสามารถยึดตัวหลักตั้งแต่การออกไปเยือนทีมเก่า และยิงประตูชัยทันที


 เหนือสิ่งอื่นใด คือ การทุ่มเงิน 30 ล้านบาท ไปกระชาก สารัช อยู่เย็น ออกมาจาก เอสซีจี เมืองทอง นั่นทำให้แผงกองกลางของพวกเขาดูมีมิติเพิ่มขึ้น จากการวางบอลยาวพร้อมกับเปลี่ยนบอลอย่างรวดเร็ว แถมยังเข้าขากับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และ สุมัญญา ปุริสาย แบบลงตัว ตลอดจนตัวสำรองอย่าง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ และ มิตสึรุ มารุโอกะ ก็สามารถทดแทนตัวหลักได้เช่นกัน


2. คู่หอกมหาประลัย

 ตลาดซื้อขายครั้งสุดท้ายก่อนเปิดเลกสอง การได้หัวหอกยอดดาวยิงทะลุ 100 ประตูในไทยลีก อย่าง ดิโอโก้ หลุยซ์ ซานโต กับ ธีรศิลป์ แดงดา เข้ามาเป็นคู่สังหารในแดนหน้า 


 ด้วยสถิติของพวกเขาที่ถือว่าสุดยอดอยู่แล้ว เริ่มจากกองหน้าหัวหยองที่มาเล่นในเมืองไทยให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมทุกรายการ ตั้งแต่ 2015-2018 ทั้งสิ้น 159 นัด ทำไป 132 ประตู 9 แฮตทริก ได้แชมป์ ทั้ง ไทยลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนคัพ (ถ้วยก) 2 สมัย, แม่โขง คลับ 2 สมัย และ พรีเมียร์ คัพ 1 สมัย

 ส่วน ธีรศิลป์ แดงดา ลงสนามให้ทีมเดียวของเมืองไทย นั่นคือ เอสซีจี เมืองทองฯ ด้วยจำนวนเกมไทยลีก 266 นัด จำนวน 117 ประตู (ดาวซัลโว 2012 ร่วมกับ คลีตัน ซิลวา) รวมทุกรายการ 349 นัด จำนวน 161 ประตู 

 ตลอดระยะเวลากับ "กิเลนผยอง" ของเขานั้น สามารถคว้าแชมป์ไทยลีก 4 สมัย ฤดูกาล 2009, 2010, 2012, และ 2016 และยังมีฟุตบอลถ้วย 8 รายการ ประกอบไปด้วย  ลีกคัพ 2016 และ 2017, เอฟเอคัพ 2010, 2011 และ 2015, ถ้วยพระราชทาน ก. 2010, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ 2017, แม่โขงคลับ แชมเปี้ยนส์ชิพ 2017


 แค่เกมเปิดหัวของการจับคู่กัน ในการบุกเยือน โปลิศ เทโร เอฟซี ก็แผลงฤทธิ์ออกมา หลังจาก ดิโอโก้ หลุยซ์ ซานโต ครอสบอลจากขวาไปเสาไกลให้ ธีรศิลป์ แดงดา ชาร์จเน้นๆส่งบอลเข้าไปประเดิมการกลับมาเล่นในไทยลีก ชนิดที่ต้องบอกว่า "เซนส์" ของพวกเขาทันกันแบบไม่ต้องปรับ จนเป็นขีปนาวุธที่น่าสยองของแนวรับทุกทีม 

 

3. ความทุ่มเทของ "ปวิณ ภิรมย์ภักดี"

 ภาพเกมสุดท้ายในไทยลีก 2018 ที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้ให้กับ นครราชสีมา มาสด้า คาบ้าน 1-2 ทำให้มี 42 คะแนน เท่ากับ ชัยนาท ฮอร์นบิล แต่ว่า "เดอะ แรบบิท" ต้องตกชั้น ด้วยกฏอะเวย์โกล ที่เป็นรองขุนพล "นกใหญ่พิฆาต" ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์เรื่องนี้มากมาย


 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพวกเขามีการเปลี่ยนโค้ชไปร่วม 5 คน จาก ออเรลิโอ วิดมาร์ เฮดโค้ชชาวออสซี สู่ โค้ชจุ่น-อนุรักษ์ ศรีเกิด ซึ่งการเปลี่ยนโค้ชบ่อยก็ส่งผลกับทีมเช่นกัน เพราะตัวนักเตะจะต้องปรับสไตล์การเล่นให้เข้ากับผู้ฝึกสอนคนใหม่ๆ หรืออาจจะต้องปรับถึงตำแหน่งการยืนในสนาม

 หรือบางคนบอกว่า การรื้อสนามหญ้าใหม่ทั้งหมด ที่เปลี่ยนจากหญ้าเทียมสู่หญ้าจริง นักเตะของทีมหลายคนที่อยู่กับสโมสรบีจีมานาน มักคุ้นชินกับการเล่นฟุตบอลบนผืนหญ้าเทียม และการเปลี่ยนรูปแบบสนามมาใช้หญ้าจริงย่อมส่งผลต่อผู้เล่นในบางส่วน ตรงที่การควบคุมลูกฟุตบอลบนสนามที่เปลี่ยนไป โดยชนะ 8 เกมจาก 17 แมตช์ในบ้าน

 รวมถึงการเปลี่ยนสีสโมสรจาก เขียว มาเป็น น้ำเงิน ซึ่งเวลานั้นคนที่ออกมาเปิดใจก็คือหัวเรือใหญ่อย่าง "ปวิณ ภิรมย์ภักดี" ที่ไม่ได้โทษปัจจัยอะไรเลย นอกจากความผิดพลาดของทีมตัวเอง และตั้งใจที่จะฟื้นฟูทีมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งดึง ดุสิต เฉลิมแสน เข้ามาลุยไทยลีก 2 เมื่อปี 2019


 ความไว้ใจต่อ "โค้ชโอ่ง" ส่งผลให้ฟอร์มดีวันดีคืน และเป็นกุนซือไทยคนแรกที่อยู่ครบซีซั่น จากการพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 2 จนทำงานกันแบบต่อเนื่องในซีซั่นนี้ ซึ่งทุกครั้งจะคอยรับฟังเหตุผลในการตัดสินใจ ทั้ง แท็คติค การเสริมทัพ จากอดีตแบ็คซ้ายดาราเอเชีย

 ยิ่งการไฟเขียวซื้อเหล่าผู้เล่นในปีนี้ เห็นได้ชัดว่านายใหญ่ของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ให้ความสนใจและเอาจริงมากๆ จนสามารถคว้าตั๋วไปเล่นในเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2021 รอบแบ่งกลุ่ม เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร อีกทั้งกำลังจะเข้าใกล้แชมป์ไทยลีกเสียด้วย ... นี่แหละผลตอบแทนที่คุ้มค่า


4. ชนะอีก 4 เกมเถลิงแชมป์ทันที

 สถานการณ์ผ่านไป 21 นัดของพวกเขา มีอยู่ 57 คะแนน และหนี การท่าเรือ เอฟซี 16 แต้ม โปรแกรมแข่งขันเหลืออีกแค่ 9 นัดมีแต้มให้เก็บสูงสุดคือ 27 คะแนน นั่นหมายความว่าหากพวกเขาสามารถเก้บได้อีก 12 แต้ม การเป็นแชมป์หนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร จะบังเกิดขึ้นในทันที ซึ่ง 9 แมตช์ที่เหลือของพวกเขา ประกอบด้วย


 25 ก.พ. พบ ระยอง เอฟซี (ย), 28 ก.พ. พบ สมุทรปราการซิตี้ (ย), 4 มี.ค. พบ สุโขทัย เอฟซี (ห), 7 มี.ค. พบ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด (ห), 11 มี.ค. พบ ชลบุี เอฟซี (ย), 14 มี.ค. พบ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี (ห), 17 มี.ค. พบ สุพรรณบุรี เอฟซี (ย), 20 มี.ค. พบ ราชบุรี มิตรผล เอฟซี และ 28 มี.ค. พบ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด (ย)

 อย่างไรก็ตามถ้าเกิดเหตุการณ์ที่พวกเขาชนะรวด พร้อมเก็บได้ 84 คะแนน ก็ยังไม่สามารถทำลายสถิติของ บุรีรัมย์ ยูไนต็ด ที่ทำไว้ทั้งหมด 87 แต้ม ซึ่งตอนนั้นมีทั้งหมด 18 ทีม และทีมใดต้องการทำลายจริงๆ ต้องเอาชนะให้ได้ทั้งหมด 30 เกม เพื่อให้มี 90 แต้ม ถือว่ายากมากๆเช่นกัน

 ปี 2018 ทีมที่ได้แบ่งแต้มจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกอบด้วย เสมอ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เสีย 2 คะแนน, เสมอ สุพรรณ เอฟซี เสีย 2 คะแนน, แพ้ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เสีย 3 คะแนน, แพ้ สุโขทัย เอฟซี เสีย 3 คะแนน, แพ้ ชัยนาท ฮอร์นบิล เสีย 3 คะแนน และ เสมอ การท่าเรือ เอฟซี เสีย 2 คะแนน

และด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้มั่นใจว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จะครองความยิ่งใหญ่ทั้งในฤดูกาลนี้ และปีต่อๆ ไปได้อีกสักระยะแน่นอน อย่างไรก็ตามอุปสรรคด้านสังขารก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะนักเตะแกนหลักส่วนใหญ่อายุขึ้นหลัก 30 กว่ากันแล้ว และคงยืนระยะอีกได้ไม่นานนัก

แต่เชื่อว่าสิ่งนี้ทาง "กระต่ายแก้ว" รู้ดีกว่าใคร และต้องการยิ่งใหญ่อย่างยั่งยืน ก็คงต้องมีการทั้งเสริมและสร้างนักเตะรุ่นใหม่เข้ามาเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาวให้จงได้อย่างแน่นอน


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด