:::     :::

สู้เรือใบในช่วงเวลาไม่ใช่

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ โรงเตี๊ยมลูกหนัง โดย ทอมมี่ ท่ามะกา
1,108
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความปราชัยต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับ อาร์เซน่อล โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่ลูกทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ไม่พร้อมในหลายอย่างสำหรับการรับมือจ่าฝูงที่กำลังร้อนแรง

อาร์เซน่อล เพิ่งผ่านเกม ยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดแรก กับ เบนฟิก้า ที่เดินทางไปแข่งสนามกลางในอิตาลี ก่อนกลับมาเล่นในบ้านเจองานยากที่สุดอีกนัดในฤดูกาลนี้

มิเกล อาร์เตต้า จำเป็นต้องเปลี่ยนทีมถึง 5 ตำแหน่งหลังผ่าน 2 เกมหนักทั้งในลีกกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด และยกแรกกับ เบนฟิก้า รวมถึงการมีนัดสองกับทีมดังของโปรตุเกสรออยู่

คีแรน เทียร์นีย์ ฟิตกลับมาลงตัวจริงอีกครั้งหลังหายเจ็บกลับมาเรียกจังหวะการเล่นในยูโรปา ลีก ไปแล้ว ขณะที่คู่เซนเตอร์เปลี่ยนเช่นกันให้ ร็อบ โฮลดิ้ง ลงประสานงานกับ ปาโบล มารี เปิดทางให้ ดาวิด ลุยซ์ กับ กาเบรียล มากัลเญส ได้พัก

ส่วนแดนกลาง ดานี่ เซบายอส ได้พักอีกรายเพื่อให้ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ ได้ลงแทนเพื่อเล่นร่วมกับ กรานิต ชาคา ส่วนอีกตำแหน่งคือ นิโกล่าส์ เปเป้ ลงทำเกมแทน เอมิล สมิธ โรว์

แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีการปรับทัพเช่นกันจากเกมลีกที่บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 จุดสำคัญคือการได้ทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ กับ อิลคาย กุนโดกัน ฟิตลงตัวจริงทั้งคู่ และยึดแท็กติกไม่มีหน้าเป้าธรรมชาติเพราะ เซร์คิโอ อเกวโร่ "กุน" กับ กาเบรียล เชซุส ต่างเป็นเพียงสำรอง

แมนฯ ซิตี้ มาเยือนด้วยผลงานสุดร้อนแรงชนะ 17 นัดติดต่อกันจากทุกรายการ เป็นสถิติของฟุตบอลอังกฤษ และเอาชนะ อาร์เซน่อล ในเกมลีกได้ตลอด 7 นัดหลังสุด

เพียงเริ่มเกมมานาทีเศษ ทุกคนแทบจะได้บทสรุปที่ไม่ต่างจากเดิมเมื่อ แมนฯ ซิตี้ ได้ประตูนำอย่างรวดเร็วจากลูกโหม่งของนักเตะที่ตัวเล็กสุดในสนาม 

อาร์เซน่อล เสียท่าตั้งแต่ไก่โห่จากความผิดพลาดในการยืนตำแหน่งอันหละหลวมที่ปล่อยให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้ขึ้นโขกลูกเปิดของ ริยาด มาห์เรซ เข้าไปง่ายๆ


ทุกอย่างจึงอยู่ในการคอนโทรลของเรือใบสีฟ้าตั้งแต่เริ่มเกมที่เป็นฝ่ายต่อบอลทำเกมรุกและสร้างโอกาสลต่อเนื่องในช่วง 15 นาทีแรก

ทีมปืนใหญ่ใช้เวลาพักใหญ่ในการตั้งสติและเซตบอลเพื่อตอบโต้คืนและได้ลุ้นจากการต่อบอลกันทางกราบซ้ายระหว่าง บูคาโย่ ซาก้า และ คีแรน เทียร์นีย์ ก่อนจบด้วยการยิงของ ซาก้า ทว่าไปติด ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ที่ยืนขวางวิถีบอลและล้ำหน้าด้วย

แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้โหมรุกสุดตัว แต่เล่นไปตามจังหวะ และอาศัยการแทงบอลตามช่องของ เดอ บรอยน์ ที่ยังคงอันตรายแม้เพิ่งหายเจ็บกลับมาเป็นตัวจริงให้ทีมในรอบ 6 สัปดาห์

อาร์เซน่อล จึงมีพื้นที่ในการเล่นพอสมควร แต่ว่าเมื่อบอลเข้าสู่แดนของ แมนฯ ซิตี้ ก็ทำกันไม่เป็น จังหวะสุดท้ายขาดๆ เกินๆ ไม่มีการเล่นที่โจมตีคู่แข่งได้จริงจัง อีกทั้งเสียบอลง่ายเมื่อเพรสซิ่งถึงตัว

ในครึ่งหลัง รูปเกมไม่ต่างจากเดิมมาก ทั้งสองทีมต่างมีช่วงเวลาได้ต่อบอล แต่โอกาสลุ้นยังเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ทำได้ใกล้เคียงกว่าโดยเฉพาะต้นครึ่งหลังจากลูกชิพของ เดอ บรอยน์ ที่หลุดเสานิดเดียว และลูกยิงของ กุนโดกัน ที่ เลโน่ ต้องออกแรงเซฟ

ผู้ตัดสิน จอน มอสส์ ได้เป่าฟาวล์มากขึ้นในครึ่งหลังที่ต้องหยุดเกมถึง 16 ครั้งและแจก 2 ใบเหลือง ต่างจากครึ่งแรกที่เป่าฟาวล์เพียง 4 ครั้ง และไม่ได้ควักใบอะไรออกมา

แม้จะมีการปะทะมากขึ้น แต่ก็อยู่ในเกมการเล่นทั้งหมด ไม่ได้มีเลยเถิด เช่นเดียวกับจังหวะบาดเจ็บของ ร็อบ โฮลดิ้ง ที่ถูกหัวเข่าของ ชูเอา กานเซโล่ กระแทกเต็มหน้าจนฟุบก็เป็นอุบัติเหตุ

จังหวะนี้ได้กลายเป็นการเปลี่ยนตัวครั้งประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกที่เริ่มทดลองใช้การเปลี่ยนตัวที่มาจากอาการบาดเจ็บที่อาจกระทบกระเทือนทางสมอง 


อาร์เซน่อล ใช้โควตาเปลี่ยนตัวนี้ด้วยการส่ง ดาวิด ลุยซ์ ลงแทน โฮลดิ้ง และไม่กระทบกับการเปลี่ยนตัวอื่นที่ยังคงเปลี่ยนได้ 3 ครั้งตามปกติ

ในภาพรวมครึ่งหลัง ทั้งสองทีมเล่นเหมือนพอใจกับสกอร์ในครึ่งแรก อาร์เซน่อล ไม่เสียเพิ่มถือว่าโอเคแล้วเพราะเจอกันในลีกช่วงหลังโดนเฉลี่ย 3 ประตูต่อนัด

ส่วน แมนฯ ซิตี้ ไม่จำเป็นต้องทุ่มพลังงานไล่ยิงคู่แข่งแบบเอาเป็นเอาตาย ชนะ 1-0 หรือ 5-0 ก็คือ 3 คะแนนเท่ากัน ยังรักษาระยะห่างจาก แมนฯ ยูไนเต็ด เอาไว้ที่ 10 คะแนนเท่าเดิม

ทั้งสองทีมต่างมีเกมยุโรปรออยู่ โดยธรรมชาติย่อมคิดอยู่ในหัวล่วงหน้าเพราะเป็นเกมสำคัญ แมนฯ ซิตี้ เคยได้ทุกแชมป์ในประเทศ แต่เวทียุโรปกลับไม่เคยถึงฝั่งฝัน

ยิ่งกับ อาร์เซน่อล ด้วยแล้ว เกมยุโรปนัดต่อไปยิ่งสำคัญเพราะตัดสินเข้ารอบเลย "อยู่" หรือ"ไป" ได้รู้กันแน่นอน 

มิเกล อาร์เตต้า ต้องโฟกัสในยูโรปา ลีก มากกว่าเพราะอาจเป็นทางเดียวที่มีโอกาสได้ตั๋วไปเล่นถ้วยยุโรปและเป็นถ้วยใหญ่อย่างแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้าหากคว้าแชมป์ได้ ส่วนโควตาในลีกผ่านทางการเป็นแชมป์บอลถ้วยก็ตกรอบไปหมดแล้วทั้งคาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ 

ครั้นจะคิดถึงการเร่งทำอันดับในลีกให้ติดพื้นที่ยุโรปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังมีหลายทีมขวางหน้า ขนาดแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ก็ทำท่าว่าจะต้องเบนเป้ามาลุ้นตั๋วยูโรปา ลีก ด้วยอีกทีม เพิ่มความยากมากขึ้นไปกันใหญ่

นั่นทำให้การเจอกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่ใช่สำหรับ อาร์เซน่อล

ไม่ใช่ทั้งเรื่องของคุณภาพทีมและคุณภาพการเล่นที่เป็นรองอยู่มาก

ไม่ใช่ทั้งเรื่องของโปรแกรมที่ก่อนและหลังเจอ แมนฯ ซิตี้ ต้องเดินทางไปเตะเกมยุโรปนอกบ้านทั้งสองนัด ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง กฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องใช้เวลามากขึ้นในการเข้าแต่ละประเทศในช่วงที่มีมาตรการต่างๆ รับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด1-9

ไม่ใช่ทั้งเรื่องแรงกระตุ้นที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้แต่ อาร์เตต้า ก็ยอมรับว่าคิดถึงเกมยุโรปนัดสองที่รออยู่

อาร์เซน่อล จึงแพ้ต่อ แมนฯ ซิตี้ อีกนัด และเป็นการแพ้ต่อทีมเดียว 8 นัดติดในลีกอีกครั้งหลังเคยแพ้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ระหว่างปี 1973-1976

ถ้าเป็นเกมที่ อาร์เซน่อล ไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว ต้อง "ทุบหม้อข้าว" สู้เหมือนรอบตัดเชือก เอฟเอ คัพ ปีก่อน ก็อาจได้ลุ้นเป็นผู้ชนะ

แต่ไม่ใช่กับช่วงเวลานี้ที่หลายคนรู้สึกไม่ต่างกันในทันที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ขึ้นโหม่งโล่งๆ เข้าไป! 



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด