:::     :::

"กังฟู คิก" ในตำนานของ "เอริค คันโตน่า"

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 คอลัมน์ Zero to Hero โดย บังคุง
3,185
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
"หากมีหนึ่งเรื่องที่ผมเสียใจสุดในชีวิต"

นั่นคือการกระโดดถีบฮูลิแกนรายนั้นเบาเกินไป


นี่คือคำพูดของเอริค คันโตน่าอดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมกับเหตุการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก เมื่อเขากระโดดถีบแฟนบอลข้างสนาม นำมาซึ่งการโดนแบนยาว พร้อมกับถูกปรับเงินอีกจำนวนหนึ่ง


ช่วงนี้ เราไปย้อนความทรงจำกันหน่อยว่า มูลเหตุ และแรงจูงใจ กับการกระทำครั้งนั้นของคันโตน่า คืออะไรกัน นอกจากนี้ เบื้องลึกเบื้องหลัง และเหตุการณ์หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมไปถึงมุมของแฟนบอลหัวรุนแรงรายนั้นด้วย 

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในวันที่ 25 มกราคม 1995 โดยเป็นเกมที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกพลไปเยือนสนาม "เซลเฮิร์ท พาร์ค" พร้อมกับเผชิญหน้ากับเจ้าบ้านอย่าง คริสตัล พาเลซ ในศึกพรีเมียร์ลีก โดยเวลานั้นปีศาจแดงกำลังเบียดแย่งแชมป์กับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อย่างสนุกเลยทีเดียว 


อย่างไรก็ตาม ผลเสมอ 1-1 ในเกมดังกล่าว กลับไม่เป็นที่น่าสนใจ มากไปกว่าหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามแข่งขัน เริ่มจากจังหวะที่คันโตน่า ไปปะทะกับดาวเตะเจ้าบ้านอย่างริชาร์ด ชอว์ก่อนที่จะเป็นก็องโต้ ที่เป็นฝ่ายโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 


ระหว่างที่ คันโตน่า กำลังเดินออกจากสนามไป แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ที่ีชื่อว่าแมทธิว ซิมม่อนส์รีบปรี่ลงมาแถวป้ายโฆษณาข้างสนาม ก่อนจะตะโกนด่าคันโตน่า ไปหนึ่งชุด ทำให้ดาวเตะฝรั่งเศส เกิดฟิวส์ขาด จัดการกระโดดถีบไปแบบกังฟูคิก พร้อมกับสาวหมัดเข้าใส่อีกอย่างชุลมุน 


จากการเปิดเผยของสื่อดังอย่างโฟร์โฟร์ทู ระบุว่า ภายหลังนั้น แมทธิว ซิมม่อนส์ วัย 20 ปี ออกมาแก้ต่างว่า เขาแค่เดินมา เพื่อหาทางไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สื่อทำการออกมาตีแผ่ว่า สิ่งที่ซิมม่อนส์ ตะโกนด่าทอคันโตน่า เป็นไปในแง่ของการเหยียดชาติพันธุ์ รวมถึงการพาดพิงบุพการีด้วย 

แกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาเล่าถึงเหตุการณ์หลังจากที่จบเกมนั้นว่า ทั้งเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รวมถึงเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงทุกคน ไม่มีใครกล่าวโทษคันโตน่า ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นกำลังใจให้เขา เพราะคันโตน่า ถือว่าเป็นที่รักของทุกคนในสโมสร และเป็นคนที่คนอื่นอยากยืนเคียงข้าง 


โดยนักเตะหลายคนบอกว่า คันโตน่า เป็นเพียงไม่กี่คน ที่ไม่เคยโดนไดร์เป่าผมจากเฟอร์กี้ เลยสักครั้ง แน่นอนว่า จากเหตุการณ์กังฟู คิกทำให้คันโตน่า รู้สึกเบื่อหน่าย และอิ่มตัว ถึงขั้นอยากแขวนสตั๊ดเลยทีเดียว แต่ยังได้เฟอร์กี้ ที่ลงทุนเกลี้ยกล่อม จนเขากลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งในที่สุด  


หลังจากนั้น คันโตน่า โดนลงโทษแบนยาวมากกว่า 9 เดือน พร้อมกับปรับเงินเป็นจำนวน 10,000 ปอนด์ พร้อมกันนี้ เขายังโดนสั่งบำเพ็ญประโยชน์ 120 ชั่วโมง ขณะที่คู่กรณีอย่าง ซิมม่อนส์ ถูกจำคุก 7 วัน และปรับเงินราว 500 ปอนด์ แถมถูกแบนห้ามเข้าสนามหนึ่งปี จากข้อหาใช้ภาษา และพฤติกรรมรุนแรง


เรื่องราวที่หลายคนอยากรู้คือ ชีวิตหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายประสบกับชะตากรรมแตกต่างกันพอสมควร เมื่อคันโตน่า รับใช้ผลของการกระทำตัวเอง พร้อมกับพ้นโทษมาเป็นกำลังหลักของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติด ในซีซั่น 1995-96 และ 1996-97 รวมถึงเอฟเอ คัพ 1 สมัยด้วย 

คันโตน่า บอกว่า ช่วงระยะเวลาที่เขาโดนโทษแบนไป สโมสรปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี และสนับสนุนทุกอย่างที่เขาต้องการระหว่างรับโทษ โดยเฉพาะผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน  ที่ประคบประหงมเขาเป็นอย่างดี จนเขารู้สึกว่า อยากกลับมาลงสนามอีกครั้ง และอยากตอบแทนต้นสังกัดให้คุ้มค่า


คันโตน่า กล่าวว่า เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเลย เพราะเขามองว่า ซิมม่อนส์ ควรจะได้เรียนรู้จากการกระทำของตัวเองเช่นเดียวกัน การโดนแบน 9 เดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนานเลย อย่างไรก็ตาม เขาต้องขอบคุณผู้จัดการทีม ที่พาทีมคว้าแชมป์ โดยที่มีเด็กรุ่นใหม่เป็นแกนนำ 


อย่างที่เราทราบกันดี กับหนึ่งคำพูดที่คลาสสิคในโลกลูกหนัง คันโตน่า ออกมากล่าวหลังจากนั้นว่าความเสียใจเพียงอย่างเดียว คือการน่าจะกระทืบซิมม่อนส์ ให้หนักกว่านี้” ..... นี่คือคำพูดที่แฟนบอลปีศาจแดงยกให้เป็นอีกหนึ่งความทรงจำ และเหมือนเป็นคำพูดที่บ่งบอกบุคลิกของดาวเตะฝรั่งเศส รายนี้ไปแล้ว 


สลับมาดูในมุมของ ซิมม่อนส์ กันบ้าง เขาบอกว่าตัวเองต้องเจอประสบการณ์ที่เลวร้าย เพราะว่าหลังจากนั้น เขาต้องโดนรุมเกลียดจากแฟนบอลหลายคน นอกจากนี้ จากการไปมีปัญหากับคันโตน่า ทำให้เขาโดนขู่ฆ่าอยู่เป็นประจำ แถมยังต้องตกงานด้วย โดยถือว่าชีวิตตกต่ำอย่างถึงที่สุด 


หลังจากนั้น ช่วงปี 2011 ซิมม่อนส์ ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข็ด หรือพยายามเรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีตเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาไปก่อเรื่อง จนถึงขึ้นโรงขึ้นศาลอีกครั้ง จากข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา  

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด