:::     :::

ความถี่ / ความเจ็บ / ความล้า และปัญหาในCase Study แมนยู-ลิเวอร์พูล

วันศุกร์ที่ 05 มีนาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
2,817
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
บทวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ของความถี่ในการลงเล่นที่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บและความล้า ที่แมนยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลต่างประสบปัญหากันทั้งคู่ แตกต่างกันที่รูปแบบ และการที่แมนยูปีนี้ตัวเจ็บน้อยกว่าไม่ได้แปลว่าเราไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ และคำตอบมันก็เกี่ยวกับการคุมทีมของโอเล่โดยตรง

ประเด็นนี้อาจจะเป็นเรื่องที่แฟนๆปีศาจแดงฤดูกาลนี้ไม่ได้นึกถึงมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าเราแทบจะไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้เลย กับประเด็นในเรื่องของ "ความถี่ในการลงเล่น และความสัมพันธ์กับปัญหาอาการบาดเจ็บ" ของนักเตะ

ต้องบอกแบบนี้ก่อนว่า นักเตะที่บาดเจ็บของแมนยูปีนี้มีหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า "มี"

มันไม่ใช่ว่าทีมเราไม่มีใครเจ็บเลย ก็อย่างที่เห็น ปอล ป็อกบาพลาดการลงสนามมาเป็นเดือนๆแล้ว ในขณะที่นักเตะหลายคนก็มีต้องพักไปอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเอดินสัน คาวานี่ ที่มีต้องพักเพราะบาดเจ็บบ้าง รวมถึงเอริค ไบญี่, ลุค ชอว์, ดอนนี่ ฟานเดอเบค และ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ที่ใช้ร่างกายหนักหน่วง และเจอกับการบาดเจ็บอยู่เรื่อยๆเช่นกัน ยังไม่รวมถึงฮวน มาต้า คืออีกรายที่ยังกลับมาลงเล่นให้ทีมไม่ได้จนผู้จัดการต้องหนีบนักเตะดาวรุ่งอายุ17,18ติดทีมมาด้วยในช่วงนี้

ซีซั่นนี้แมนยูไนเต็ดก็มีนักเตะบาดเจ็บเช่นกัน เพียงแต่ว่ามันมีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยบรรเทาให้แมนยูไนเต็ดค่อนข้างเยอะมาก จะถือว่าปีนี้เราโชคดีเรื่องปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะจริงๆ ต่างกับปีก่อนๆที่บางทีเจ็บยาวๆพร้อมกันหลายคน เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นกับลิเวอร์พูล

แฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะบ่นกันว่า เรื่องนี้คือสาเหตุหลักของปัญหาอาการฟอร์มตก แต่จริงๆแล้วลักษณะการมีตัวหลักเจ็บยาวพร้อมกันหลายๆคนเช่นนี้ทีมอื่นก็เจอกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดหากจะจำกันได้ ปีก่อนแรชฟอร์ด ป็อกบา แม็คโทมิเนย์ เจ็บยาวพร้อมๆกัน แถมท้ายด้วยปลายปีก็มีลุค ชอว์ที่หายไปอีก ต้องบอกว่ายูไนเต็ดจบด้วยอันดับ3ได้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วเพราะบรูโน่ แฟร์นันด์สเข้ามาช่วยเป็นกำลังสำคัญประคองทีมขึ้นจากขุมนรกได้สำเร็จ

ส่วนในซีซั่นนี้ 2020/21 ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ถึงกับเป็นปัญหาหนักมากสำหรับยูไนเต็ด แม้จะมีคนเจ็บไปบ้าง แต่โดยรวมถือว่าเรามีทั้ง "โชค" และ "ความพร้อม" ของทีม ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้

1.Squad Depth ยูไนเต็ดมีขนาดใหญ่พอจะรองรับปริมาณการลงเล่นจำนวนมากได้

เรื่องนี้สำคัญสุด และเป็นจุดที่ทีมเราพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด จากการได้นักเตะใหม่อย่างคาวานี่ อเล็กซ์ เตลีส และ ดอนนี่ ฟานเดอเบค เข้ามาเสริมทีม ทำให้แมนยูไนเต็ดมีความพร้อมมากๆในเรื่องของคุณภาพเชิงลึกของทีม เนื่องจากสามคนหลักนี้เข้ามาอยู่ในสามแอเรียหลักที่เป็นพื้นฐานของทีมกันครบเลย ทั้ง"แดนหน้า แดนกลาง และ แดนหลัง"

เป็นนักเตะฝีเท้าดีที่ดึงตัวเข้าทีมมาแล้วสามารถใช้งานได้จริง และฝีเท้าดีพอจะลงให้ทีมได้ ดังนั้นทีมเราจึงมีตัวเลือกที่เยอะขึ้นครบทุกๆส่วนในสนาม เวลาที่มีคนบาดเจ็บ หรือจะโรเตชั่นเพื่อพักนักเตะ โซลชาจึงสามารถบริหารนักเตะในทีมได้อย่างสบายเนื่องจากตัวเลือกทดแทนที่มีคุณภาพมีเยอะมากพอ

2.ตัวหลักไม่เจ็บพร้อมกัน

ประเด็นนี้ต้องร่ายไปถึงทางด้านลิเวอร์พูลเลยว่า นี่คือจุดที่พวกเขาเจอกันอยู่ในซีซั่นนี้นั่นก็คือ ตัวหลักเจ็บพร้อมๆกันหมด และเป็นการเจ็บยาว ซึ่งในตอนที่เขียนนี้พวกเขามีตัวเจ็บอยู่ 7คน และเป็นตัวหลักทั้งนั้น ไม่ใช่ประเภทส่วนเกินของทีม ไม่ว่าจะเป็นฟานไดค์, มาติป, โกเมซ, ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, นาบี้ เกอิต้า และ  ดิโอโก้ โจต้า

หากสมมติว่าแกล้งๆตัดเกอิต้าออกเพราะไม่ใช่ตัวหลักจริงๆ ยังไงลิเวอร์พูลก็มีตัวหลักที่เจ็บพร้อมกันถึง6คน เป็นCBซะ3 มิดฟิลด์ตัวหลัก2 และตัวรุก1 ก็ยังถือว่าเยอะมากอยู่ดี

การเจ็บยาวไม่ใช่เรื่องแปลก นักเตะยูไนเต็ดปีก่อนก็มีเจ็บยาว ปีนี้ก็ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ามันสลับๆกันเจ็บ และไม่ได้หายไปพร้อมกันทีเดียวแบบนี้ อันนี้ถือว่าลิเวอร์พูลค่อนข้างดวงแตกจริงๆ เพราะนอกจากจะเจ็บยาวแล้ว ยังดันมาเจ็บพร้อมกันอีก กลับกันแมนยูตัวเจ็บยาวๆก็มี แต่มันไม่ได้มาพร้อมกันขนาดนี้ เพราะในบรรดาตัวที่เจ็บๆไปนี่คือ "รูดม่าน" ปิดซีซั่นนี้ไปแล้วเรียบร้อย

ในรูปนี้VVDยังอยู่เลย

จะมีแค่ตัวเดียวที่น่าจะกลับมาได้ก่อนคนอื่นก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นหายยาวหมด เพราะเจ็บจุดสำคัญทั้งนั้น โดยเฉพาะเข่านี่หลายคนเลย ไม่ว่าจะโจต้าที่เข่าช้ำ / โจ โกเมซที่กระดูกหัวเข่า(Patella) / ฟานไดค์เจ็บACL คนที่เหลืออย่างโจเอล มาติปก็เจ็บจุดสำคัญอย่างเอ็นข้อเท้าอีก

ส่วนด้านแมนยูนั้นมีเจ็บก็จริง แต่กระจายๆกันไปทั้งซีซั่น ไม่ได้เจ็บพร้อมกัน อย่างเช่นต้นฤดูกาลที่ชอว์เจ็บลากยาวมาในช่วงต้น จากนั้นค่อยกลับมาเข้าทีมหลังจากนั้น, ป็อกบาที่ติดโควิดในช่วงต้นพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับมายาวๆ ก่อนที่เพิ่งจะกลับมาเจ็บจริงๆจังๆอีกครั้งในช่วงเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่แม็คโทมิเนย์ที่หายหน้าไปบ้าง แต่ก็กลับมาช่วยทีมได้ในยามที่ป็อกบาหายยาวๆเช่นกัน

เรียกง่ายๆว่าตัวสำคัญของปีศาจแดงนั้น ไม่ได้หายหน้าไปพร้อมกันทีเดียวหมด แต่สลับๆกันเจ็บเฉลี่ยกันไปทั้งทีม และระยะเวลาที่หายไปก็น้อยด้วย

3.เจ็บไม่นาน

ปีนี้ผู้เล่นของแมนยูไนเต็ดที่มีเจ็บๆไปบ้างนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเจ็บหายไปจากทีมแค่แปปเดียวในแต่ละครั้ง และไม่กี่นัดต่อมาก็จะกลับมาลงเล่นได้เหมือนเดิม ต่างกับปีที่แล้วที่หลายคนเจ็บยาวแทบทั้งนั้น

ยกตัวอย่างง่ายๆ มาร์คัส แรชฟอร์ด ปีที่แล้วแรชมีอาการบาดเจ็บที่สะโพก พักไป8วัน (3นัด) และอาการ"เจ็บหลัง" ต้องพักไปอีก 141วัน หรือราวๆ13นัด ซึ่งเยอะมาก รวมๆแล้วแรชหายไป16นัด นับรวมๆแล้วก็เฉียดๆครึ่งซีซั่นเลยที่เจ็บหายไป

แต่กลับกัน ฤดูกาล2020/21 แรชฟอร์ดเจ็บไปทั้งหมด2ครั้ง มีอาการบาดเจ็บทั่วไปครั้งนึง เจ็บไปราว3วัน และอีกครั้งก็คืออาการบาดเจ็บที่ไหล่ที่ต้องพักไปเป็นวันเช่นกัน

มาลองดูอาการบาดเจ็บของนักเตะคนสำคัญๆของเราที่เจ็บไป เทียบปีนี้กับปีที่แล้วจะเห็นความต่างชัดเจนมาก

คนแรกที่ต้องพูดถึงก่อนเลยคือ Marcus Rashford อย่างที่ยกตัวอย่างไปแล้วว่า ปีก่อนแรชเจ็บยาวมาก แต่ปีนี้จะเจ็บไปแค่สั้นๆและพักเพียงแปปเดียวก็กลับมาลงสนามแล้ว 

แต่ต้องบอกว่าในเคสของแรชฟอร์ดนั้นแฟนบอลอาจจะต้องเห็นใจฟอร์มการเล่นของน้องมันบางแง่มุม ในแง่ที่ว่าแรชต้องลงเล่นติดต่อกันแทบทุกนัด จะไม่ลงก็ไม่ได้เพราะไม่มีตัวจะแบ่งเบาแดนหน้าได้ ในยามที่กรีนวู้ดพลังการทำประตูหายไป ในขณะที่มาร์กซิยาลเป็นยังไงเราก็รู้ๆกันอยู่(ฮา) แรชฟอร์ดจึงต้องลงต่อเนื่องเพื่อทีมโดยไม่มีแบ็คอัพที่ดีพอในการพักเขาได้นาน

และอันที่จริงแล้ว แรชฟอร์ดแบกอาการบาดเจ็บลงเล่นด้วย เนื่องจากปัญหาล่าสุดที่เจ็บไหล่นี่เอง จริงๆแล้วมันยังไม่หายดีและยังคงเจ็บอยู่ เพราะมีรายงานจากTelegraphและTimesSportว่า แรชตัดสินใจที่จะรอหลังจากจบฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปก่อนค่อยทำการไปผ่าตัด  และอาการเจ็บไหล่มันอักเสบรุนแรงจึงทำให้การเล่นทำได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะทางด้านการเคลื่อนที่ที่ดรอปลงไป รวมถึงการกระโดดและการครอบครองบอลด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เพื่อนร่วมทีมค่อนข้างประหลาดใจว่าเขาลงเล่นไหวทั้งๆที่บาดเจ็บอยู่จนถึงตอนนี้

ปีนี้แรชฟอร์ดลงสนามรวมแล้วทั้งหมด ณ ตอนที่เขียนนี้คือ "42นัด" (บ้าไปแล้ว) ทำได้18ประตู กับ 11แอสซิสต์ ต้องแบกทั้งทีมและแบกทั้งอาการบาดเจ็บของตัวเอง ซึ่งเชื่อว่าส่งผลต่อภาคการเล่นแน่นอน ทั้งเรื่องความเฉียบคมในการตัดสินใจเล่นที่อาจจะต้องยั้งๆตัวเองและไม่เสี่ยงในหลายๆจังหวะ จึงมีส่วนกับเรื่องที่แฟนบอลเห็นถึงปัญหาการตัดสินใจในจังหวะสุดท้ายของเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้นแฟนผีได้โปรดเข้าใจและช่วยเป็นกำลังใจให้น้องด้วย สาเหตุที่เราหยิบประวัติอาการบาดเจ็บย้อนไป5ปี เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า แรชฟอร์ดเป็นนักเตะที่ไม่ค่อยบาดเจ็บออดๆแอดๆสักเท่าไหร่ และแบกการลงสนามอย่างแท้จริง จะมีก็คือเจ็บหลังเมื่อปีที่แล้วนี่แหละที่เป็นการเจ็บยาวจริงๆจังๆครั้งแรกของเขา

กองหน้าชั้นยอดหลายคนไปไม่ถึงจุดพีคของตัวเองมาหลายคนเนื่องจากเจ็บหนักในจุดสำคัญโดยเฉพาะเข่า ก็หวังว่าแรชจะไม่ต้องเจออาการนั้น เพราะเราอยากเห็นร่างสุดยอดของแรชฟอร์ดกันเต็มแก่แล้ว เอาใจช่วยน้องกันด้วย

คนต่อไปคือ "ปอล ป็อกบา" และนี่คืออาการเจ็บของเขาเทียบปีนี้กับปีที่แล้ว

เห็นกันชัดเจนในเรื่องจำนวนวันที่แตกต่างกันมากระหว่าง 219/20 เทียบกับปีนี้ 20/21 ของปอล ป็อกบา คือยังมีอาการเจ็บบ่อยๆอยู่เหมือนเดิม แต่ป็อกบาปีนี้ไม่ค่อยเจ็บไปนานมากเท่ากับปีก่อนที่เข้าขั้นเรื้อรังและแทบจะไม่ได้ลงเล่นเลยจริงๆ ปีก่อนเจ็บนานกว่าเยอะ และปีนี้ช่วงปลายมีนาน่าจะได้เห็นเขากลับมาบ้างแล้วในช่วงท้ายของซีซั่น

คนต่อมาคือ "เอริค ไบญี่" เจ้าพ่อบาดเจ็บ กองหลังสายเอ็นเตอร์เทนของเรารายนี้


อาการบาดเจ็บของไบญี่ปีนี้ถือว่าดี ดีมาก ดีเว่อร์ เยี่ยม สุดยอดแล้ว เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ โดยเฉพาะซีซั่นที่แล้วก็อย่างที่เราเห็นในข้อมูลนี้ ไม่ได้ลงเล่น33นัด ถือว่าเยอะมาก แทบจะหมดฤดูกาลอยู่แล้ว แต่กลับกัน ปีนี้แม้ไบญี่จะยังมีอาการบาดเจ็บขึ้นมาบ้าง แต่เจ็บครั้งนึงก็แค่ไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็คือมีชื่อมาเป็นสำรองตลอด ซึ่งแปลว่าก็พร้อมจะลงสนาม เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วปีนี้มีแค่อาการknock หรือที่เรียกว่าบาดเจ็บทั่วไปเล็กๆน้อยๆ เจ็บแค่เป็นหลักสัปดาห์เท่านั้นเองก็กลับมาได้แล้ว อันนี้คือแตกต่างมาก

คนต่อมาคือ "สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์" อาการบาดเจ็บในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมีดังนี้


สังเกตดูว่าปีนี้ก็ถือว่าน้องแม็คเจ็บน้อยมาก ต่างกับปีก่อนแบบเห็นจะจะเพราะหายไปแค่เกมสองเกมก็กลับมาได้แล้ว ฟื้นตัวยังกะวูล์ฟเวอรีน ทั้งๆที่บวกหนักทุกนัดขนาดนั้น (โคตรป่าเถื่อน) แล้วพอเทียบกับปีก่อน เจ็บลากยาวหายไปที่13นัด หายไปเกือบ2เดือน ยังไม่รวมพวกนัดเคาะสนิมอีกกว่าจะกลับมาสมบูรณ์ มันแตกต่างกันมากๆเรื่องการเจ็บยาวปีก่อนกับปีนี้ของแม็ค

ส่วนคนสุดท้ายคือ "ลุค ชอว์" เจ้าพ่อโรงหมออีกคนที่ตอนนี้ระเบิดร่างUltra Instinctอยู่ชนิดที่ใครก็หยุดไม่ได้ แถมล่าสุดชนะโหวตได้รางวัลนักเตะประจำเดือนกุมภาพันธ์ของสโมสรไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และนี่คืออาการบาดเจ็บของชอว์เทียบปีนี้กับปีที่แล้ว

การบาดเจ็บของชอว์ยังคงเป็นคนที่ ถ้าเจ็บทีนึงก็หายไปอย่างต่ำๆ1เดือนถึง2เดือนตลอดทุกครั้ง สถิติบนนี้ก็ยืนยันสิ่งที่แฟนผีคิดได้เป็นอย่างดี ลุค ชอว์เป็นคนเดียวในบรรดาตัวที่ยกตัวอย่างมาว่า ปีที่แล้ว กับ ปีนี้ ก็มีอาการบาดเจ็บที่ใกล้เคียงกัน แต่ปีนี้ดูดีกว่าปีก่อนมาก และลงเล่นต่อเนื่องได้สบาย ไม่มีปัญหา "เจ็บออดแอด" ทีละนิดทีละน้อยบ่อยๆเหมือนปีก่อน จะเห็นชัดเจนว่าปีนี้เจ็บ2ครั้งใหญ่ ส่วนปีที่แล้วนอกจาก2ครั้งใหญ่ๆก็ยังมีเจ็บรายทางด้วยเรื่อยๆจนส่งผลกระทบต่อฟอร์มไปพอควร

เรื่องนี้ต้องขอบคุณ Alex Tellesจริงๆที่มาช่วยชอว์ทั้งการแบ่งเบาภาระลงสนาม และเป็นตัวเรียกฟอร์มชอว์พุ่งกระฉูดในตอนนี้ที่ทั้งรุกรับโหดพอๆกัน

และทั้งหมดที่หยิบยกสถิติขึ้นมานี้เพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านเห็นได้ชัดด้วยFact และ injury historyกันจริงๆว่า นักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดปีนี้นั้นโชคดีที่รวมๆทั้งทีมเฉลี่ยแล้วนักเตะเราเจ็บไม่นานเท่าไหร่ เจ็บก็หายไปแปปเดียวก็กลับมาช่วยทีมได้แล้ว ต่างกับปีก่อนที่เราเจ็บหนักเจ็บยาวมาก แถมขนาดทีมก็เล็กไม่มีตัวลงมาช่วยเลย มีเท่าไหร่ก็จำเป็นต้องส่งลงสนาม จึงเกิดปัญหาอาการบาดเจ็บหนักที่ส่งผลต่อทีมเช่นนั้น

มีข้อมูลที่เปิดเผยออกมาและมีสื่อนอกทำวิเคราะห์เอาไว้เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสองปัจจัย โดยวัดเอาจาก "จำนวนวันเฉลี่ยที่แต่ละทีมได้พัก" (Average Rest Days Between Matches)  และนำมาวัดเทียบกับ "จำนวนนัดรวมทั้งหมดที่นักเตะบาดเจ็บในทีมไม่สามารถลงแข่งได้" (Accumalated Games Missed by players through injuries)

พูดเป็นภาษาชาวบ้านคือ เป็นกราฟที่แสดงค่าความสัมพันธ์ระหว่าง ความถี่ในการเตะ กับ ปริมาณของปัญหาบาดเจ็บที่ทำให้ลงสนามไม่ได้นั่นเอง ซึ่งออกมาเป็นภาพดังนี้

แกนนอน คือจำนวนวันพักโดยเฉลี่ยของแต่ละทีม ทีมที่วันพักเฉลี่ยน้อย หรือเรียกว่า "ทีมที่เตะถี่มากๆ" จะอยู่ค่อนมาทางซ้ายของแกนx ส่วนทีมที่ได้วันพักเยอะๆ จำนวนการลงเล่นไม่ถี่มาก ก็จะอยู่เยื้องไปทางขวา

แกนตั้งคือจำนวนแมตช์รวมทั้งหมดที่นักเตะบาดเจ็บในทีมลงสนามไม่ได้ ซึ่งก็เป็นตัวที่แสดงในเชิงปริมาณที่ทีมได้รับผลกระทบจากปัญหานักเตะเจ็บนั่นเองว่าเสียหายกันไปเท่าไหร่จากเรื่องนี้ อยู่บนๆของแกนแปลว่าจำนวนนัดที่ตัวเจ็บในทีมลงไม่ได้มีเยอะ ในขณะที่ยิ่งอยู่ล่างๆของแกนyหมายความว่า จำนวนนัดรวมที่ตัวเจ็บลงไม่ได้ในทีมมีน้อยนั่นเอง

ส่วนเส้นประตรงกลางเป็น "Trend Line" ที่แสดงถึงแนวโน้มโดยเฉลี่ยๆทั่วไปจากทั้งหมดแล้วว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นควรจะเป็นเช่นไร โดยเทียบความถี่กับอาการบาดเจ็บเฉลี่ยทั้งหมดในลีกที่ควรจะเป็น ในกราฟนี้ก็คือ expected injuries นั่นเอง

จะเห็นว่าเส้นประtrend lineนี้จะอยู่สูงทางซ้าย และค่อยๆมีแนวโน้มลดระดับลงทางขวา ความหมายก็คือ ตามธรรมชาติแล้ว ทีมที่ลงเตะถี่ๆ ก็ควรจะและมีโอกาสที่จะมีปัญหาอาการบาดเจ็บสูงกว่า ส่วนทางขวาคือทีมที่ลงเตะไม่ถี่มาก วันพักเฉลี่ยมีเยอะ ดังนั้นอาการบาดเจ็บก็ควรจะลดๆลงไป ตามจำนวนวันที่ทีมนั้นๆได้พักเยอะขึ้น

หวังว่าจะไม่งง ถ้าอ่านแล้วงงขึ้นไปอ่านใหม่ แต่เอาเป็นว่ามันคือเส้นที่แสดงถึงเรทธรรมดาๆที่เมคเซนส์ว่า ลงเตะถี่ๆ=อาจเจ็บเยอะ / ลงเตะไม่ถี่=ควรจะเจ็บน้อย ตามลำดับ

ดังนั้น ทีมที่อยู่ใต้เส้นประTrend Lineนี้ก็หมายถึงทีมที่เจ็บน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนทีมที่อยู่บนเส้นประก็หมายถึงมีอาการบาดเจ็บมากกว่าที่ควรจะเป็น หรือที่คาดการณ์ไว้นั่นเอง

ในเคสนี้เราไม่ต้องนั่งดูมันทั้งกราฟให้งง เราโฟกัสแค่ไม่กี่ทีมก็พอ เอาที่แมนยูไนเต็ดก่อน จะเห็นว่าแมนยูเป็นทีมที่เตะถี่สัสๆ เตะถี่ที่สุดแล้วในบรรดาทุกทีมในพรีเมียร์ลีก เพราะจำนวนวัดพักเฉลี่ย(แกนX)อยู่ชิดซ้ายสุดเลย เฉลี่ยแล้วแมนยูได้พักแค่ราวๆ3วันต่อแมตช์เท่านั้น แปปๆนึงเตะอีกแล้ว

แฟนผีน่าจะรู้เรื่องนี้ดี เพราะเราได้พักดูบอลแปปเดียวเดี๋ยวแมนยูก็มีเตะอีกแล้ว ไม่ว่าจะบอลถ้วยเล็กถ้วยน้อย บอลยุโรป เกมนัดกลางสัปดาห์ เพียบ!

วัดจากความถี่ของแมนยูที่ต้องลงเล่นราวๆ4วันต่อ1นัด จำนวนแมตช์รวมที่ตัวเจ็บลงแข่งไม่ได้นั้น ทีมเราควรจะอยู่ที่ราวๆ 125นัดตามtrend lineของการวิเคราะห์ แต่แมนยูอยู่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มที่เป็นค่ากลาง125นัด (แถมต่ำกว่า100เสียอีก) ของเราอยู่ราวๆสัก 80-90นัดเองโดยรวมของจำนวนแมตช์ที่นักเตะเจ็บในทีมลงสนามไม่ได้ตามกราฟวิเคราะห์นี้

ดังนั้นแค่นี้จะเห็นได้เลยชัดเจนว่า ทีมเราเตะถี่เตะหนักสุดกว่าเพื่อน แต่อาการบาดเจ็บน้อยมากจริงๆในซีซั่นนี้

แต่ทีมที่อยู่beyondทุกสิ่งที่สุดในเรื่องนี้คือเชลซี ที่วันพักเฉลี่ยราว3.5วันต่อแมตช์ แต่อาการบาดเจ็บในทีมน้อยมากๆ จำนวนนัดรวมนักเตะเจ็บลงสนามไม่ได้มีแค่50เท่านั้นเอง เป็นทีมที่อยู่ต่ำและห่างจากเส้นประแนวโน้มอยู่ห่างที่สุดในบรรดาทีมที่เจ็บน้อยกว่าtrendที่ควรจะเป็นมา

กระดูกเหล็กมากเชลซี และก็มีดวงช่วยด้วยไม่ต่างจากแมนยูเลยที่ลงเล่นเยอะกันทั้งคู่แต่เจ็บน้อยกว่าชาวบ้าน

ทีนี้กลับกัน เรามาดูทีมที่ดวงแตก "เจ็บเยอะ" กันบ้าง อันนี้ไม่ต้องคิดมากเลย ดูที่ "ลิเวอร์พูล" ทีมเดียวเท่านั้น วันพักเฉลี่ยและความถี่ที่ลงเล่นนั้น ลิเวอร์พูลได้พักราวๆ 3.7นัดต่อแมตช์ ซึ่งก็ดีกว่าแมนยูแมนซิตี้สเปอร์เยอะ เพราะได้พักเยอะกว่าเฉลี่ยแล้วราวๆเกือบวัน แต่จำนวนปริมาณที่นักเตะลงสนามไม่ได้ในทีมนั้น รวมๆแล้วเด็กของพวกเขาลงสนามไม่ได้ทะลุ250นัดไปแล้วในซีซั่น2020/21นี้

และแน่นอน อยู่ทิ้งห่างมาจากเส้นtrend lineที่ควรจะเป็นออกมาห่างแบบลิบลิ่ว นี่ก็beyond imaginationเหมือนกัน!

ตารางนี้เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นเลยว่า ลิเวอร์พูลมีปัญหาหนักมาก ซึ่งจริงๆแล้วทีมทางซีกซ้ายในกราฟนี้ ก็คือทีมพวกที่มีเกมยุโรปให้ลงเล่นเหมือนๆกันทุกทีม แตกต่างกันที่ตารางการแข่งขันโดยรวมกับถ้วยอื่นๆอีก ยังมีทีมที่เตะถี่กว่าเยอะอยู่ และก็มีทีมที่เตะน้อยกว่าพวกเขาเช่นกัน (ข้อมูลเล็กๆน้อยๆคือ ลีดส์เป็นทีมที่ได้พักเยอะที่สุดของลีกแล้ว)

ลิเวอร์พูลถือเป็นทีมที่เตะบ่อยอยู่ในระดับแค่กลางๆของลีกเท่านั้น แต่กลับเจ็บเยอะ เจ็บนาน เจ็บมาก และเจ็บพร้อมๆกันมากกว่าทีมอื่นอย่างมาก ซึ่งเอาจริงๆแล้วทีมที่ประสบปัญหาลักษณะนี้จริงๆแล้วมัน"ไม่ใช่เคสแรก" ที่เคยเกิดขึ้นมาหรอก เพราะทีมอื่นๆในซีซั่นอื่น หรือทีมเล็กๆต่างๆนั้นบางทีตัวสำคัญๆเจ็บกันไปครึ่งทีม ก็เคยมีมาแล้ว เพียงแต่ว่าทีมเหล่านั้นไม่ได้เป็นทีมใหญ่แบบลิเวอร์พูลนั่นเอง ที่ไม่ได้ต้องมานั่งลุ้นแชมป์อะไรมาก มันเลยไม่ได้รับการโฟกัส ในขณะที่แมนยูปีก่อนที่เจ็บยาวเยอะๆพร้อมๆกันเช่นกัน แต่เอาตัวรอดในอันดับ3มาได้

นี่จึงเป็นปัญหาของเจอร์เก้น คล็อปป์ และลิเวอร์พูลเช่นกันที่ต้องทำสิ่งเดียวกับที่โซลชาเคยพาแมนยูไนเต็ดผ่านพ้นวิบากกรรมที่ว่านั่นมาแล้ว

อีกจุดนึงที่น่าสนใจคือ แมนเชสเตอร์ซิตี้เองก็เตะถี่พอๆกับยูไนเต็ดแทบจะไม่ต่างกันเลย ซึ่งตัวเจ็บของซิตี้ดูจะสัมพันธ์กับความเป็นจริงมากกว่าเพราะพวกเขาอยู่ใกล้ๆกับtrend lineในกราฟที่ว่านี้ แถมเจ็บเยอะกว่าที่ควรด้วย เพราะอยู่ครึ่งซีกบน ซึ่งแปลว่าเจ็บมากกว่าค่าที่ประมาณการไว้

แต่อันดับในตารางคะแนนของแมนซิปีนี้ เอาใครมาหยุดก็ฉุดไม่อยู่ ต่อให้เป็นช้างไอ้งาดำในเพชรพระอุมาก็คงจะสกัดกั้นทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าไม่อยู่อีกแล้ว ยิ่งช่วงหลังๆพวกเขาโกยทีละสามแต้มๆยาวรวดเดียว ไล่แมนยูจากด้านล่างขึ้นมาแซงจนทิ้งห่างไปแล้วในตอนนี้ ซึ่งต้องยอมรับกันกลายๆว่าพวกเขาคงจะคว้าแชมป์แน่ๆแล้วในทางปฏิบัติ เพราะระยะห่าง14แต้มกับทีมฟอร์มเทพขนาดนี้ ไม่มีทางไล่ทันแน่นอน ในยามที่อันดับสองอย่างเรา แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด "แผ่ว" ไปเยอะมากๆ


กราฟนี้แสดงความต่อเนื่องของการเก็บแต้มของทีมครึ่งตารางบน ซึ่งทีมทั่วๆไปเขาก็เก็บแต้มกันด้วยเรทปกตินี่แหละ แต่จุดที่น่าสนใจและเส้นที่เด่นที่สุด มันก็มีอยู่เส้นเดียวนั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ซิตี้นั่นเองที่เก็บทีละสามแต้มเน้นๆทุกนัด ตั้งแต่คะแนนที่22ขึ้นมา25เป็นต้นมา ซิตี้กด3แต้มรัวๆแบบไม่หยุดเลย ในขณะที่เส้นของแมนยูไม่ได้มาด้วยเรทแบบนั้น แถมจุดตัดที่คะแนน 40-41 ที่ซิตี้กดเกียร์4 ร่างสเน็คแมน พุ่งยาวรวดเดียว24แต้มเป็นหัวงูขึ้นไปแตะ65แต้มแล้ว ในขณะที่แมนยูจากจุดนั้นขึ้นมาอีกแค่11คะแนนเอง

จะเห็นว่าทีมเราดรอปลงไปมาก นับตั้งแต่ขึ้นจ่าฝูงได้สำเร็จจนเมืองแมนหนาว1องศา(ฮา) แต่หลังจากนั้น10นัดก็ดรอปยาวๆตามภาพด้านล่างนี้ ก็อย่างที่ทราบๆกันว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาเราสะดุดในลีกซ้ำแล้วซ้ำอีก และพลาดเสมอมาไม่รู้กี่นัด แพ้บ๊วยก็มี ทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาดรอปลงไปอย่างชัดเจน เพราะถ้าเป็นช่วงฟอร์มพีคๆ เชื่อว่าเกมล่าสุดที่เจอกับคริสตัลพาเลซ เราน่าจะล้างแค้นได้แล้ว เพราะพวกเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลย

สิ่งนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงว่าแมนยูไนเต็ดอาจจะไม่ได้อันดับสองแบบแบเบอร์ด้วยซ้ำ ตอนนี้ที่ยังรักษาสถานะได้ก็เพราะว่าเลสเตอร์ก็พลาดติดๆกันแบบเดียวกับเราแค่นั้นเอง ซึ่งจุดหนึ่งที่น่าสนใจมากๆที่เกี่ยวพันกับทั้งหมดในบทความนี้ กับประเด็นเรื่องของความถี่ในการลงเล่น / ปัญหาอาการบาดเจ็บ และ การเก็บคะแนนในลีกที่เกี่ยวพันกับฟอร์มการเล่นนั้น เรามีข้อสงสัยว่า ในตอนนี้นักเตะแมนยูไนเต็ดไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บเยอะเท่าลิเวอร์พูลก็จริง

แต่เรากำลัง "ล้า" หรือไม่

หากวัดกันด้วยตาเปล่าๆค่อนข้างชัดเจนว่า เด็กเราล้าลงไปเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" ที่ไม่ว่าจะพยายามและแข็งแกร่งทนมือทนตีนขนาดไหน แต่เขาก็ยังมีขีดจำกัดไม่ต่างกับมนุษย์ทั่วไปเช่นกัน เพราะบรูโน่ดูจะล้ากว่าช่วงแรกๆมาก พลังงานในการวิ่งไล่บอลเขาใส่เต็มทุกนัด แต่ระยะนี้ช่วงท้ายๆเกม พอสักนาที80+ขึ้นมา เราก็จะไม่ได้เห็นบรูโน่วิ่งพล่านเท่าสมัยก่อนแล้ว รวมถึงสิ่งที่สะท้อนออกมาในภาคการเล่นด้วย

และนอกจากบรูโน่ เรื่องของการล้าเราก็เห็นได้ชัดจากตัวแบกเกมรุกอีกคนอย่างแรชฟอร์ดเช่นกันว่า ล้าชัดเจน เมื่อรวมกับปัญหาเจ็บไหล่เรื้อรังของเขาที่รอผ่าอยู่ ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมแรชฟอร์ดตกขนาดนั้นในนัดล่าสุด

มีสถิติๆหนึ่งเปิดเผยขึ้นมา ซึ่งโคตรน่าตกใจมากๆ นั่นก็คือ นักเตะในพรีเมียร์ลีกที่ลงเล่นมากที่สุดในฤดูกาลนี้รวมทุกถ้วย 5อันดับแรก กลายเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแล้วเสีย "4คน" ดังภาพนี้

ไม่ต้องแปลกใจเลยเมื่อนักเตะที่ลงทุกนัดอย่างแฮรี่ แมกไกวร์ ผู้ซึ่งอายุครบ28ปีในวันนี้หมาดๆ(5 มีนาคม) มาเป็นอันดับหนึ่ง และตามมาด้วยอารอน วานบิสซาก้าติดๆ ก่อนที่อันดับสามจะโดนคั่นด้วย ยูริ ทีเลมันส์ของเลสเตอร์ จากนั้นอันดับ4ก็คือ มาร์คัส แรชฟอร์ด และตามด้วย บรูโน่ แฟร์นันด์ส ในอันดับ5

Factเหล่านี้มันช่วยให้เราหมดข้อข้องใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราคิดไปเองหรือไม่ เพราะอย่างที่เห็นกันว่า นอกจากจะลงในพรีเมียร์ลีกทุกนัดแล้ว โซลชายังใช้ตัวหลักๆเหล่านี้ลงในบอลถ้วย และ บอลยุโรปทุกๆนัดด้วยเช่นกัน จนสถิติออกมาเป็นเช่นนี้

สิ่งนี้เราไม่ได้จะหยิบมาเพื่อบ่นการmanagementของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา แต่มันก็สะท้อนความเป็นจริงที่ว่า เขามีแนวโน้มที่จะยึดมั่นกับนักเตะตัวหลักของทีมค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะนัดไหนๆก็จะใช้ตัวเหล่านี้ลงสนามเป็นหลักไว้ก่อน จากนั้นค่อยrotationตำแหน่งอื่นๆเอา ซึ่งมันก็ดีในแง่ที่ทำให้ทีม "ไม่พลาดแพ้" อย่างที่เราเห็นกัน และด้วยคุณภาพของตัวหลักเหล่านี้โดยเฉพาะบรูโน่กับแรช ก็ทำให้ทีมเก็บชัยชนะได้ด้วย นั่นคือข้อดี

แต่ข้อเสียก็คือนักเตะเหล่านี้จะไม่ได้พักมากเท่าที่ควรเป็น และอาจจะส่งผลต่ออาการล้าที่เกิดขึ้นภายใน แม้จะไม่สะท้อนออกมาในรูปแบบของอาการบาดเจ็บเหมือนที่ลิเวอร์พูลเป็น แต่เชื่อว่าตอนนี้ แมนยูไนเต็ดกำลังได้รับผลกรรมนั้นแล้ว เมื่อฟอร์มการเล่นติดขัดอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาเป็นเดือนๆ แม้จะมีบางนัดที่กลับมาชนะได้ แต่ก็ไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องได้

ตัวเปรียบเทียบอย่างซิตี้ทำให้เราเห็นชัดมากว่าทีมสะดุดเยอะกว่าที่จะprogressไปข้างหน้า

ปัญหานี้สำคัญมากๆ และเราแทบจะกระดิกกระเดี้ยทำอะไรในช่วงนี้ไม่ได้เลย เพราะแรชฟอร์ดก็ไม่สามารถไปพักเพื่อผ่าตัดได้ เพราะโปรแกรมเตะยังเหลืออยู่อีกเพียบมากๆ และสำคัญๆทั้งนั้นในปีนี้ แถมเตะติดๆกันด้วย นี่ยูโรปาลีกก็กลับมาแล้ว และเอซีมิลานก็กำลังรอเราอยู่

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะบริหารจัดการทีมให้เรียกฟอร์มกลับมาได้ และก้าวข้ามผ่าน"ความล้าสะสม"(Cumalative Fatique)ครั้งนี้ไปได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะขอนำวิธีคิดในการเป็นนักวิ่งมาราธอนของผู้เขียนมาช่วยพิจารณาว่า หากเราวิ่งมานานจนถึงจุดๆหนึ่งต่อเนื่อง จนกระทั่งความล้าสะสมมันเยอะหนักจนทำให้วิ่งต่อได้ลำบากนั้น เราจะแก้ปัญหายังไง

วิธีแก้ไขของนักวิ่งคือการใช้วิธี "เปลี่ยนมาวิ่งสลับเดิน" นั่นเอง

เดี๋ยวๆๆ ไม่ใช่เดินแบบนี้

การเปลี่ยนมา"เดิน"บ้างบางครั้ง คือการที่ทำให้ร่างกายเราได้มีโอกาสหายใจหายคอบ้าง เพื่อที่จะบรรเทาอาการเจ็บปวด จากนั้นเราก็จะมีแรงกลับมา"วิ่งต่อ"ได้อีกเรื่อยๆ จากนั้นถ้ารู้สึกว่าหมดก็ค่อยพักอีกรอบ และทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเส้นชัย ก็จะช่วยจัดการกับความล้าสะสมได้

การเดินไม่ใช่สิ่งที่น่าอายของนักวิ่ง บางครั้งเราก็ต้องยอมเดินบ้างเพื่อกลับมาวิ่งได้เต็มสปีดเหมือนเดิม

เช่นกัน สิ่งที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชาต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาล้าสะสมของทีม นั่นก็คือการพักมา"เดิน" บ้าง ไม่ใช่"ฝืนวิ่ง"ต่อไป ที่นอกจากจะทำให้paceความเร็วในการวิ่งตกแล้ว ยังอาจจะทำให้ "เจ็บหนัก" ด้วยถ้าฝืนมากๆ

โซลชาอาจจะจำเป็นต้องผ่อนการใช้งานนักเตะเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น แมกไกวร์ บิสซาก้า บรูโน่ แรชฟอร์ด หรือแม้กระทั่งเฟร็ดก็ตาม แล้วลองเชื่อใจนักเตะชุดBบางคนให้เขาสลับมาลงสนามมาก ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาส่วนหนึ่งในการคุมทีมของโซลชาที่ไม่ค่อยเชื่อใจนักเตะชุดสำรองมากพอ

ในตำแหน่งตัวรุกแดนหน้า เราไม่เถียงว่าแทบจะไม่มีตัวเปลี่ยนลงมาแทนบรูโน่ได้เลยในตอนนี้ ในขณะที่ตัวรุกฟร้อนท์ทรีก็แทบจะไม่มีตัวเปลี่ยนได้มากนัก จะมีอีกคนก็คือ อ็องโตนี่(มาร์กซิยาล) ที่ลงมาก็ไม่ทุ่มเทในการเล่นมากพอจะสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้อีก

จุดที่โอเล่อาจจะต้องกล้ามากกว่านี้ นั่นก็คือการให้โอกาสนักเตะอย่าง "ดอนนี่ ฟานเดอเบค" มากให้ยิ่งกว่าเดิม ดีกว่าจะนำเขาไปดองไว้บนม้านั่งอย่างเดียว ซึ่งดอนนี่เป็นตัวสารพัดประโยชน์ที่สามารถลงเป็นตัวรุกด้านหน้าเล่นคู่กับบรูโน่ได้ โดยให้หุบเข้ากลางมาในลักษณะเดียวกับ "ฮวน มาต้า" เขาก็ใช้งานได้

ในขณะที่ดอนนี่เองก็สามารถเล่นมิติกลางสนามได้ และสามารถลงทดแทนเฟร็ดหรือแม็คได้เช่นกันในแดนกลางที่จำเป็นต้องต่อบอลทำเกมเซ็ตมาจากด้านหลัง

ส่วนตำแหน่งปีก ตอนนี้เจมส์พัฒนาการเล่นขึ้นมาและช่วยทีมได้เยอะมากแล้ว แต่ในหลายๆครั้งที่ปีกเราเล่นกันไม่ออก และตัวที่มีถูกใช้งานไปหมดแล้วนั้น บางครั้งหากว่าตัวในสนามก็เล่นไม่ออกเหมือนกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลยที่โอเล่จะลองส่ง"อามัด เดียโล่" ลงสนามไปป่วนริมเส้นบ้าง แม้ว่าเขาอาจจะยังมีประสบการณ์ในเกมระดับสูงไม่มากพอ และไม่สามารถลงมาแบกทีมให้เกิดimpactได้เลยทันทีทันใด  แต่เขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่อง "ความเหน็ดเหนื่อย" ของนักเตะในสนามได้แน่นอน ดีไม่ดีไอ้หนูนี่อาจจะกดอัลติ ลากเลื้อยป่วนแล้วได้ผลก็ได้ในบางเกม

ส่วนกองหลัง หลายคนอาจจะยี้แต่บางทีสลับเอา "แอ็กเซล ตวนเซเบ้" ลงมาบ้างก็ได้ กล้าๆหน่อย เพราะหากไม่อคติเกินไปนี่ก็เป็นนักเตะที่คุ้นเคยกับบอลอังกฤษดี และศักยภาพพอจะใช้งานได้บ้างแล้ว ส่วนอีกจุดนึงที่น่าจะทดแทนกันได้ก็คือ แบ็คขวาในเกมที่ตัวรุกคู่แข่งไม่โหดมาก เรากล้าๆใช้งานแบรนดอน วิลเลี่ยมส์ เพื่อลดความหนักในการใช้บิสซาก้าหน่อยก็ดี ในด้านเกมรับ เจ้าหนูBWสามารถทดแทนAWBได้พอประมาณ ถือว่าไม่แย่เลย

บางครั้งโอเล่ควรจะต้องกล้าที่จะ "เดิน" ด้วยการRotation และให้โอกาสตัวสำรองมากกว่านี้ มันอาจจะทำให้เราไม่ได้มีผลการแข่งขันที่เลิศเลอมากนัก แต่ผมเชื่อว่ามันจะช่วยในแง่ของความฟิตองค์รวมของทีมได้ดี จะลดความเสี่ยงที่ตัวหลักคนสำคัญเหล่านี้เกิดอาการล้าหรือเจ็บหนักๆได้

เป็นเรื่องที่น่าคิดและตามดูกันต่อไปว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จะมีกึ๋นในการบริหารจัดการทรัพยากรนักเตะในทีมอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องดวงแตกคล้ายๆกับเคสของลิเวอร์พูล ที่ทางนั้นบาดเจ็บหนักๆพร้อมกันหลายคนเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ และจะบอกว่าเพราะเรื่องcounter-pressingของทีม(เกเก้นเพรสซิ่ง) ก็น่าแปลกอีกที่ตัวที่เจ็บกลับเป็นกองหลัง ที่มีหน้าที่เพรสซิ่งน้อยกว่าส่วนอื่นๆ ตัวแดนหน้าควรจะเจ็บมากกว่านี้ก็ถือว่าเจ็บน้อย

การผ่อนคันเร่งลงมาบ้างด้วยการใช้ตัวอื่นสลับลงไปเล่น บางทีอาจจะดีกว่าเร่งเครื่องต่อเนื่องโดยไม่พัก และการลองเชื่อใจเด็กๆคนอื่นที่เหลือ กล้าทำสิ่งใหม่ๆ ผลมันอาจจะดีก็ได้นะน้าโอเล่

-ศาลาผี-

"กูอีกแล้วสินะ ศาลาผี" โอเล่คงอยากจะกล่าวแบบนี้ถ้าอ่านภาษาไทยออก

References

https://www.transfermarkt.com/manchester-united/startseite/verein/985

https://www.transfermarkt.com/fc-liverpool/startseite/verein/31

https://twitter.com/OptaJoe/status/1367493050843471875?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1367493050843471875%7Ctwgr%5E%7Ctwcon%5Es1_&ref_url=https%3A%2F%2Fwww.redditmedia.com%2Fmediaembed%2Flxmulm%3Fresponsive%3Dtrueis_nightmode%3Dfalse

https://i.redd.it/44a2cmeyl3l61.jpg

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด