เมืองทองฯ - บุรีรัมย์ : เมื่อระฆังดังหมดยกที่ 2
ท่ามกลางอุณหภูมิ 30 + ที่ทำเอาคนดูหน้าชุ่มเหงื่อทุก 2 นาที ทว่ากลับไม่มีแฟนบอลฝ่ายไหนบ่น อาจเพราะความเดือดดาลในสนาม-ข้างสนาม สะกดคนดูให้จับจ้องแต่เกมฟุตบอล
หลังพลาดท่าพ่าย “คาบ้าน” มาในยกที่ 1 ใน ช้าง อารีนา ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ค่อนข้างที่จะละเอียดกับเกมวันนี้มากขึ้น ขณะที่ เมืองทองฯ ยังคงเล่นตามเกมของตัวเองเช่นเดิม คือไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม คู่ต่อสู้เป็นใครพร้อมดาหน้าใส่ยับ
รูปเกมเป็น “ปราสาทสายฟ้า” ที่ดูเหนือกว่า ทั้งจังหวะเข้าทำและรายละเอียดในเกม เหมือนที่พบกันครั้งแรก แต่นี่เป็นอีกครั้งที่ “กิเลนผยอง” ไม่ยอมมอบ 3 คะแนนให้
ลูกทีม มาริโอ ยูรอฟสกี เป็นรองทั้งศักยภาพทีม ประสบการณ์ และการขาด “เดอะแบก” ในแดนหน้าอย่าง แดร์เลย์ ที่ติดโทษแบน ทว่าด้วยแพสชั่น ใจที่ไม่ยอมแพ้แม้ต้องตามหลังถึงสองหน สุดท้ายจังหวะ “ฉาบฉวย” หรือ โอกาสอันน้อยนิดที่ บุรีรัมย์ ประเคนให้ เด็กเมืองทองฯ ชุดนี้ พร้อมลงโทษอย่างสาสม
จบเกมด้วยการได้ไปทีมละ 1 คะแนน แต่อัตราความสนุกถูกจัดในระดับ 5 ดาว
สิ่งที่เห็นจากเกมนัดนี้คือทั้งคู่ต่างมีจุดที่ต้องแก้ไข
บุรีรัมย์ฯ เองทิ้งขว้างโอกาสเข้าทำไปหลายจังหวะในพื้นที่สุดท้าย
ขณะที่ เมืองทองฯ รายละเอียดความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ต้องไม่พลาดง่าย ไม่ว่าจะเป็นการออกบอลในแดนกลาง หรือการแก้เพรสซิ่งหน้าปากประตู เพราะการพบกันครั้งแรกที่ บุรีรัมย์ แนวรับเองก็เสียประตูเช่นนี้
ผลเสมอเกมนี้ บุรีรัมย์ อาจดูไม่พอใจนัก เพราะพวกเขากุม 3 คะแนนอยู่ในมือถึง 2 หน แต่กลับทำหลุดไป แน่นอนว่า 1 แต้มในเกมนี้ ทำให้เขายังสลัดหนี การท่าเรือ ไม่ได้เท่าที่ควร และมีโอกาสถูกเขี่ยหล่นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยซ้ำ
ส่วน เมืองทองฯ ผลเสมอ แม้ส่งให้พวกเขายังอยู่อันดับ 4 แต่ก็ตามทีมอันดับ 2-3 ที่มีโควตา เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีกให้ 7-8 คะแนนแล้ว ในขณะที่การแข่งขันเหลือเพียง 5 เกม
ในทางทฤษฎีมีโอกาสที่ เมืองทองฯ จะทำแต้มกระโดดไปถึงรองแชมป์ได้ ทว่าในทางปฏิบัติเองต้องบอกว่ายาก
ทำให้ทีมอาจทำได้แค่ประคองให้จบอันดับในลีกดีที่สุด และเบนเป้าไปยังฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอคัพ แทน
ความน่าสนใจของ เอฟเอคัพ คือ แชมป์รายการนี้จะได้ตั๋วไปเล่นฟุตบอลเอเชียใน “รอบแบ่งกลุ่ม” เลย ขณะที่หากจบอันดับ 2-3 ในไทยลีกจะต้องไปเล่นเพลย์ออฟก่อน ทำให้หลายสโมสรหมายปองกับ “ตั๋วแชมป์” ใบนี้เป็นอย่างมาก
ปัญหาคือคู่ต่อสู้ของ เมืองทองฯ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด “ศัตรูที่รัก”
ด้าน “ปราสาทสายฟ้า” เองก็หมายมั่นกับแชมป์ถ้วยใบนี้ เพราะเปรียบเสมือน “ทางลัด” ไปสู่ฟุตบอลเอเชียที่พวกเขาต้องการกลับไปแข่งขันอีกครั้ง
เมื่อไม่มีทางเลือกสังเวียนจึงถูกเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง แต่หนนี้ไม่มีแบ่งแต้มสมานฉันท์อีกแล้ว มีเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้ไปต่อในรอบตัดเชือก
ทั้ง บุรีรัมย์ และ เมืองทอง ยังมีเวลาแก้ไขจุดที่ผิดพลาด ทำการบ้านกันและกันให้พร้อมที่สุด
ก่อนจะมาพบกันอีกครั้งใน “ยกที่ 3” และเป็นยกตัดสินของฤดูกาลนี้
ดีเดย์ 3 เมษายน ล้างคอรอกันเลย