:::     :::

จุดเริ่มต้น-แลมพาร์ด ถึง ทูเคิ่ล และยูโรปีหน้า

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,038
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ถ้าจะบอกว่า เมสัน เมาท์ คือนักเตะที่คงเส้นคงวามากที่สุดในทีม เชลซี ณ เวลานี้ คงไม่ใช่คำพูดที่เกินเลยไปนัก

ท่ามกลางการทุ่มงบมหาศาลของทีมในช่วงซัมเมอร์ในการเสริมความแข็งแกร่งสู้ศึกในซีซั่นนี้ ลูกหม้อแห่งรั้วสิงโตน้ำเงินแทบจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่้เกิดขึ้นเลย

แข้งวัย 22 ปีคือนักเตะที่ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และลงสนามมากที่สุดในทีมของซีซั่นนี้หากนับเป็นนาที โดยมีส่วนร่วมกับทีมไปแล้ว 37 เกมทุกรายการ ทำไป 6 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ 

กับการถูกเลี้ยงมาในห้องแต่งตัวของทีมอย่าง ฮาแวนท์ ทาวน์ สโมสรนอกลีกที่ "โทนี่" คุณพ่อของเขารับบทผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ซึ่งอย่างที่บอกว่าคุณพ่อของเขาจะพาเขาไปด้วยอยู่เสมอ

"ผมไม่อาจจะจะพูดมาเกินไปเกิดกับสิ่งที่เขาพูดออกมาได้" เมาท์ พูดพร้อมเสียงหัวเราะในระหว่างรำลึหความทรงจำครั้งเก่า "มันจะชัดเจนเกินไป!"

        

แน่นอนว่าคนที่คอยปกป้อง เมาท์ ออกจากความเกรี้ยวกราดนั้นคือ "เด็บบี้" ผู้เป็นแม่นั่นเอง "แม่มักจะไม่ปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องแต่งตัวในช่วงพักครึ่ง แม่รู้ว่าพ่อเป็นยังไงในฐานะผู้จัดการทีม เขาจะฉุนเฉี่ยวและเดือดดาลอย่างมาก"

"เขาเล่าเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการชนะในช่วงท้ายเกม ชนะในเกมบอลถ้วยในการเจอกับทีมที่อยู่ในลีกสูงกว่า คว้าแชมป์เนชั่นแนลลีก การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในเกม นั่นคือเกมนอกลีก นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!"

เมาท์ เผยว่าครั้งแรกที่ไปดูเกมฟุตบอลคือตอนอายุ 2 ขวบ โดยที่มีคุณแม่คอยอุ้ม "ผมรักเกมนี้อย่างมาก ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เกมที่ยากและการเข้าสกัดที่หนักหน่วง, ใบแดง... บรรยากาศนั่นทำให้ผมรักเกมมากๆ"

"สมัยที่พ่อเป็นผู้จัดการทีม นิวพอร์ท, ผมจะได้ว่าเราเดินทางจาก พอร์ทสมัธ ไปที่เกาะไวท์กับคุณแม่ มันเป็นเกมในบ้าน แต่เป็นวันนอกบ้านสำหรับเรา!"

จริงอยู่ที่ว่าสโมสรแรกของ เมาท์ ก็คือ เชลซี แต่รักแรกของเขาคือการไปเยือนที่ แฟร็ตตัน พาร์ร หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่น่าสนใจที่สุด


"ผมจำได้ว่าเรานั่งในฝั่งที่แฟนบอลแน่น มันเป็นสนามที่เก่าแก่ มันมีเสาขนาดใหญ่ตระหง่านและผมนั่งจรงหลังมันพอดี ดังนั้นผมพยายามมองไปรอบๆและจับตาดูที่นักเตะ"

แน่นอนว่าความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นตอนอายุ 9 ขวบในเกมเอฟเอ คัพรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2008 ที่ พอร์ทสมัธ เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ 

"คุณพ่อพาผมไปดูเกมนี้ บรรยากาศมันน่าเหลือเชื่ออย่างมากและการฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ ผมจำรายละเอียดเกมไม่ได้มากนัก แต่ความทรงจำเกี่ยวกับตอนที่เดินออกมา (ท่ามกลางฝูงชน) ที่เวมบลีย์ในเอฟเอ คัพรอบชิงชนะเลิศ มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมตกใจไปหมด ผมจำได้ว่าพ่อผมพูดว่า 'หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งลูกจะลงไปอยู่ตรงนั้นและและต่อหน้าผู้คนเหล่านี้' จากนั้นไม่กี่ปีมันก็เกิดขึ้น ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ"

ท่ามกลางกระแสเงินที่หลั่งไหลเข้าสู่สโมสร เชลซี นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม แทบไม่มีแข้งเยาวชนที่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมเลย คนสุดท้ายน่าจะเป็น จอห์น เทอร์รี่ เมื่อปี 1998 และนั่นก็ก่อนที่ "เสี่ยหมี" จะเข้ามาซื้อกิจการซะอีก


แม้แต่พ่อของเขายังเกือบยอมแพ้ให้ลูกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า เพราะโอกาสที่ขะขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่แห่งรั้งสแตมฟอร์ด บริดจ์นั้นเป็นไปได้ยาก

แน่นอนว่าเมื่อขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่แล้วโดนปล่อยตัวสู่สโมสรอื่นในทันทีกับ วิเทสส์ ในฤดูกาล 2017/18 และ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 2018/19 ย่อมเป็นเรื่องนี่น่ากังวลใจว่าคงจะยากแล้วที่จะกลับมาได้ เพราะในทีม เชลซี ปล่อยนักเตะยืมเพียบ และแต่ละคนแทบจะหมดหวังที่จะกลับมาได้

แต่ในเมื่อผู้จัดการทีม "แกะเขาเหล็ก" คือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายใหญ่แห่ง "สิงห์บลูส์" มันก็มีส่วนช่วยให้ เมสัน เมาท์ ได้กลับมาอยู่กับทีมด้วย

"พัฒนาการของผมในทุกช่วงวัยนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ถ้าผมได้เล่นกับกลุ่มอายุหนึ่ง ผมมักต้องการจะเล่นกับคนที่โดนกว่าอีกปีเสมอ และนั้นทำให้ผมได้อยู่ในทีมยู-23 และผมต้องการแรงผลักดันมากเป็นพิเศษ"

"ผมไปเล่นที่ฮอลแลนด์และมีฤดูกาลที่ดี ผมได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับฟุตบอลในแบบที่แตกต่างออกไป และจากนั้นก็ไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ เราทุกคนรู้ว่ามันเป็นยังไง มันยากแค่ไหน และช่วยเพิ่มความแตกต่างให้กับเกมของผม จากนั้นก็กลับมาที่ เชลซี และทำมันได้เป็นอย่างดีและมันเพิ่งเกิดขึ้นเอง"

        

แน่นอนว่าการกลับมาเล่นกับ เชลซี ตอนแรกถูกมองว่าเป็น "เด็กเส้น" ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด รวมถึง โจดี้ มอร์ริส ในฐานะที่เป็นลูกหม้อของทีม แต่เจ้าตัวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการได้ลงสนามไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

แต่ผลงานที่เจ้าตัวแสดงออกมาก็กระจ่างชัด การลงสนาม 53 เกมทุกรายการ แบ่งเป็นตัวจริง 42 นัพ ลงเล่นเป็นสำรอง 11 เกม มากที่สุดในทีม โดยทำไป 8 ประตูกับ 6 แอสซิสต์

และแม้จะเปลี่ยนเทรนเนอร์มาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล เจ้าตัวก็ยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นแนวรุกตัวหลักของทีม ในขณะที่คนอื่นมีการสลับกันเล่นอยู่เรื่อยๆ

"ผมไม่เคยมองเรื่องที่คนพูดอะไรนั่นเลยจริงๆ, แฟร้งค์ ส่งผมลงสนามมากมานและช่วยผมได้เล่นในแชมเปี้ยนชิพ การได้เรียนรู้จากฟุตบอลแบบนั้นและจากนั้นนำผมกลับมาที่ เชลซี, ผมเรียนรู้อย่างมาก และตอนนี้มันเป็นการเรียนรู้ที่แตกต่างออกไปจากผู้จัดการทีมที่ต่างกัน"

"สำหรับผมแล้ว ในวัย 22 ปี การเรียนรู้จากผู้จัดการทีมที่มุมมองฟุตบอลแตกต่างกัน มันช่วยทำให้ผมดีขึ้นเรื่อยๆ"

        "ผมไม่เคยเจอกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงของผู้จัดการทีมมาก่อนในอาชีพ ดังนั้นมันเป็นอะไรที่แตกต่าง ผมเคยเห็นมันก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในอะคาเดมี่ แต่คุณไม่มีทางรู้ว่ามันรู้สึกยังไงจนกระทั่งคุณเจอด้วยตัวเอง"

"มันเป็นอะไรที่ยาก คุณรู้ว่าผมเป็นยังไง ผมต้องการลงเล่นทุกเกม แต่กับผู้จัดการใหม่ที่เข้ามา ผมเข้าใจว่าเขาลองเชิงก่อน (เกมกับ วูล์ฟส์) เราได้คุยกันและผมเข้าใจว่ามุมมองของเขาคืออะไรและมันช่วยให้ผมเดินหน้าต่อได้ ผมรู้ว่าผมแค่เดินหน้าทำงานหนักต่อไปและแสดงให้เห็นว่าผมทำอะไรได้"

        

"ชัดเจนว่าตอนนี้ผมได้ลงเล่นหรือสตาร์ทเกือบทุกเกม เขาแค่พูดว่า 'ทำงานหนักต่อไป ฉันเคยนายในการซ้อมแค่ครั้งเดียวและฉันแฮปปี้มาก ดังนั้นเดินหน้าทำงานหนักต่อไป' นั่นคือสิ่งที่ผมรับฟัง ผมเป็นคนที่จะไม่ให้ใครมาดูถูกและแสดงอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน"

ถึงกระนั้นตัว เมาท์ เองยอมรับว่าในหลายเกมยังไม่พอใจผลงานของตัวเองที่ออกมาจากมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้อย่างสูง "ผมเป็นคนที่ตั้งใจดูเกมและศึกษาอย่างจริงจังกับสิ่งที่ผมทำเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ผมมองดูฟอร์มบางส่วนของเกมที่ผมอาจจะดร็อปลงไป บางทีอาจจะ 2-3 เกมติดต่อกันซึ่งบางทีผมก็ไม่ได้ช่วยสร้างความแตกต่างอะไรมากมาย"

"นั่นคือสิ่งที่ผมมองในซีซั่นนี้ ผมต้องการทำให้ดีขึ้น นั่นคือจุดสำคัญ ผมได้คุยกับพ่อด้วยเช่นกัน หลังจากจบฤดูกาลที่แล้ว ผมรู้ว่าได้นำไปใช้และทำได้ดี แต่รู้สึกว่ายังมีอะไรที่ยังต้องแก้ไขอีกมาก"

"ผมไม่ได้พอใจแค่การเล่นดีหรือและมีเกมที่ดีเท่านั้น ผมต้องการมากกว่านี้ ผมมีความสุขแต่ผมผมไม่มีความสุขจนกระทั่งผมทำได้ดีขึ้นกว่านี้ และผมอยู่ในขั้นตอนที่ผมรู้ว่าผมสามารถทำได้"

"หลายคนลงมาเพื่อสัมผัสประสบการณ์ มันเป็นเพียงแค่ซีซั่นที่สองของผมกับทีมชุดใหญ่, ในปีแรก ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่ในทีมและลงเล่นอย่างที่ผมได้เล่น มันยิ่งกว่าตื่นเต้นและต้องการที่จะทำให้ดีมากกว่านี้"


"มันเป็นเพียงการย้อนกลับไปสู่พื้นฐานเมื่อคุณผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก คุณไม่ต้องพยายามทำอะไรยากๆ ลงสู่สนาม เล่นกับบอลและยามไม่มีบอลก็ทำงานให้หนัก"

แน่นอนว่าความทะเยอทะยานของ เมาท์ นั้นชัดเจน, เขาเคยได้แชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ กับ เชลซี แต่เขากับเพื่อนร่วมทีมในเวลานั้นก็มีเส้นทางที่แตกต่างกันไป

"แน่นอน นั่นคือเป้าหมายของเรา และผมรู้สึกว่าผมไม่ได้มีความสุขริงๆจนกระทั่งเราประสบความสำเร็จ เราต้องตั้งเป้าหมายและตามวิสัยทัศน์ว่าต้องการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ต้องการคว้าแชมป์ ต้องการได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก"

"ผมรู้สึกว่าทีมของเรา เราสามารถทำได้ เรากระหายความสำเร็จ มีแรงผลักดัน ด้วยแข้งเก๋าที่มี พวกเขาคอยช่วยแข่งอายุน้อยอย่างเรา กับการพูดคุยและถามว่า 'ความสำเร็จในระดับสูงเป็นยังไง?' มันช่วยเราได้อย่างมาก เราต้องการประสบความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสโมสรใหญ่ พวกเราล้วนผ่านมาได้"

จนถึงตอนนี้ เชลซี อยู่ในท็อปโฟร์, อยู่ในเส้นทางเอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก จากเกมแรกที่ได้เปรียบมาก่อน 

แน่นอนว่ากับกลางปีนี้ที่มีศึกยูโร 2020 ที่เลื่อนมาแข่งกลางปีนี้จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทาง เมสัน เมาท์ คงไม่พลาดที่จะติดทีมชาติอังกฤษ เช่นเดียวกับ เดแคลน ไรซ์ เพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชนที่ เชลซี ด้วย

        

"ผมกับ เดค, เราเป็นเพื่อนซี้กัน, ดังนั้นการทำอะไรบางอย่างเช่นการเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ทั้งการทำประตูและการเล่นร่วมกันในแดนกลาง นั่นเป็นอะไรที่ผมไม่เคยคิดถึงตระหนักมาก่อนว่าเราจะทำได้"

"มันบ้าที่จะคิด เติบโตมาด้วยกัน... ไปเที่ยวบ้านกันและกัน นอนค้างด้วยกันเป็นสิ่งที่เราทำตั้งแต่เป็นเด็ก ตอนนี้เราประสบความสำเร็จ เล่นให้กับทีมชาติและกับศึกใหญ่อย่างยูโรที่กำลังมาถึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสได้ลงสนาม มันเป็นการเดินทางที่บ้ามาก เดินทางในเส้นทางที่แตกต่าง มันเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำไปสร้างเป็นหนังหรือเขียนหนังสือได้"

ในเกมพรีเมียร์ลีกปลายเดือนเมษายนนี้ทั้งคู่มีคิวจะต้องเจอกันเอง ซึ่งหากสถานการณ์ยังเดินไปในแบบที่เป็นอยู่ เชลซี และ เวสต์แฮม อาจจะต้องแย่งพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกกัน ซึ่งแม้จะเป็นเพื่อนรัก แต่ เมาท์ ยืนยันว่าจะให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้

"ผมไม่สามารถเครียดขนาดนั้น เขาไม่ปล่อยผมง่ายๆแน่ มิตรภาพถูกปล่อยไว้ข้างหลัง มันมีขีดจำกัด" เมาท์ ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด