:::     :::

ย้อนรอย ลิเวอร์พูล-มาดริด ก่อนดวลเดือดรอบ 8 ทีม

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
2,637
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ผลจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ออกมาเรียบร้อยแล้วนะครับ โดย ลิเวอร์พูล จับติ้วมาชนกับ เรอัล มาดริด โดยหงส์แดงต้องออกไปเยือนก่อนในวันที่ 6 เมษายน และกลับมาตัดสินที่แอนฟิลด์ในวันที่ 13 เมษายน

รายละเอียดที่น่าสนใจและการวิเคราะห์เกมของคู่นี้​ ผมจะเขียนให้อ่านอีกทีในช่วงสัปดาห์ก่อนเตะนะครับ​ วันนี้ขอพาไปรำลึกความหลัง​กับ ​ 6​ นัดในอดีตที่​ 2​ ยักษ์ใหญ่จากฝั่งอังกฤษและสเปนเคยดวลกันมาแล้ว​ ว่าผลงานของทั้งคู่ในการเจอกันหนก่อน​ ๆ​ นั้น​ เกิดอะไรขึ้นบ้าง


1) ลิเวอร์พูล​ 1-0  เรอัล​ มาดริด​ (1981)

ยูโรเปี้ยน​ คัพ​ รอบชิงชนะเลิศ

 

เกมวันนั้นเตะกันที่​ปารีส​ โดยหงส์แดงกำลังอยู่ในยุคยิ่งใหญ่หลังเพิ่งจะคว้าถ้วยยุโรปใบโตนี้มาได้​ 2​ ครั้ง​ ในรอบ​ 5​ ปีหลังสุด​ (ได้มาในปี​ 1977 และ​ 1978)


ลิเวอร์พูล​ ผ่านด่าน​ อเบอร์ดีน​ ของ​ เซอร์​ อเล็กซ์​ เฟอร์กูสัน, ซีเอสเคเอ​ โซเฟีย​ และ​ บาเยิร์น​ มิวนิค​ มาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ​ ซึ่ง​ เรอัล​ มาดริด​ ในเวลานั้นมีสตาร์ประจำทีมอย่าง​ บิเซนเต้​ เดล​ บอสเก้,​โฆเซ่​ อันโตนิโอ​ คามาโช่​ แถมยังมีปีกชาวอังกฤษอย่าง​ ลอรี่​ คันนิ่งแฮม​ เล่นอยู่อีกด้วย ฝั่ง​ ลิเวอร์พูล​ ต้องลุ้น​ เคนนี่​ ดัลกลิช​ จนนาทีสุดท้าย​ เพราะดาวเตะชาวสกอตต์ไม่ได้ซ้อมกับทีมเลยในช่วงสัปดาห์​สุดท้ายก่อนถึงรอบชิง​ แต่ก็สามารถเรียกความฟิตมาลงสนามได้ทันเวลา

 

หงส์แดงครองบอลเหนือกว่าและสร้างโอกาสได้หลายต่อหลายครั้ง​ ก่อนจะมาได้ประตูชัยในนาทีที่​ 82​ จาก​ อลัน​ เคนเนดี้​ แบ็คซ้ายชาวอังกฤษ​ ที่รับบอลจากลูกทุ่มริมเส้นก่อนจะแหวกฝูงนักเตะชุดขาวเข้าไปอัดด้วยอีซ้ายเต็มตีน​จนตาข่ายแทบขาด​ ท่ามกลางเสียงเฮลั่นสนามบนสักขีพยานกว่า​ 4​ หมื่นคน

 

นั่นคือชัยชนะต่อ​ เรอัล​ มาดริด​ ครั้งแรก​ และยังเป็นชัยชนะที่ส่งให้หงส์แดงผงาดคว้าแชมป์ยุโรปเป็นสมัยที่​ 3​ อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย




 

2) เรอัล​ มาดริด​ 0-1 ลิเวอร์พูล​ (2009)

ยูฟ่า​ แชมเปี้ยนส์​ ลีก​ รอบ​ 16​ ทีมสุดท้าย นัดแรก

 

เกมแชมเปี้ยนส์​ ลีก​ รอบ​ 16​ ทีมสุดท้ายนัดแรกเตะกันที่​ ซานติอาโก้​ เบร์นาเบว​ ซึ่งตามหน้าเสื่อในวันนั้น​ สื่อต่างประเทศล้วนยกให้ราชันชุดขาวเป็นต่อกันแทบทั้งสิ้น

 

มาดริด​ เจ้าบ้านมีสตาร์ระดับโลกแทบทุกตำแหน่ง​ ไล่ตั้งแต่​ อิเคร์​ กาซิยาส, เซร์คิโอ​ รามอส,​ ฟาบิโอ​ คันนาวาโร่, เปเป้, อาร์เยน ร็อบเบน, มาร์เซโล่ และ ราอูล กอนซาเลซ เป็นต้น ส่วนตัวสำรองยังมีทั้ง เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์, ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท รวมไปถึง ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า อีกต่างหาก

 

ฝั่ง ลิเวอร์พูล ในตอนนั้นมี ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นกุนซือ และนักเตะในมือยังห่างชั้นจาก เรอัล มาดริด อยู่มากมาย มีเพียง เปเป้ เรน่า, ชาบี อลอนโซ่, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และ เฟร์นานโด ตอร์เรส เท่านั้น ที่เป็นสตาร์ใน 11 ตัวจริง ส่วน สตีเว่น เจอร์ราร์ด มีชื่อในม้านั่งสำรอง

 

รูปเกมเป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลและบุกเข้าใส่มากกว่า โดยราชันชุดขาวได้บุกถึง 13 ครั้ง ตรงกรอบ 5 และได้เตะมุมถึง 7 ขณะที่ทีมเยือนได้บุกเพียง 7 ครั้ง ตรงกรอบ 3 เตะมุมเพียงแค่ครั้งเดียว ทว่า ด้วยความเขี้ยวในเรื่องแท็กติกของ ราฟา ลิเวอร์พูลจึงสามารถเบียดเอาชนะ เรอัล มาดริด ไปได้ 1-0 จากลูกโหม่งของ ยอสซี่ เบนายูน ในนาทีที่ 82 ซึ่งนั่นเป็นประตูอเวย์ โกล ที่ล้ำค่ามาก เพราะทำให้ ลิเวอร์พูล​ กุมความได้เปรียบสำหรับเกมนัดที่ 2 มากทีเดียว

 

"ผมไม่ค่อยได้ทำประตูจากลูกโหม่งมากนัก แต่ลูกนี้มันคืิอประตูสำคัญลูกนึงในชีวิตของผมเลย มันไม่ใช่แค่ประตูให้ทีมชนะเท่านั้น แต่มันคือประตูที่เกิดขึ้นใน เบร์นาเบว ซึ่งทำให้ทีมของเราได้เปรียบมากขึ้นในนัดที่ 2 อีกเยอะเลย" เบนายูน ฮีโร่ของทีมกล่าวทิ้งท้าย



3) ลิเวอร์พูล 4-0 เรอัล มาดริด (2009)

ยูฟ่า​ แชมเปี้ยนส์​ ลีก​ รอบ​ 16​ ทีมสุดท้าย นัดที่ 2

 

ใครจะไปคิดครับว่าเกมนัดที่ 2 ซึ่งกลับมาเล่นในแอนฟิลด์ จะกลายเป็นมหกรรมถล่มประตูชนิดเอาต์ คลาส ด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 4-0

 

ลิเวอร์พูล ได้กัปตันทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ฟิตกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงได้แล้วในเกมนัดนี้ และนี่ยังเป็นเกมที่ เจอร์ราร์ด ลงสนามรับใช้ทีมในบอลยุโรปเป็นนัดที่ 100 อีกด้วย หงส์แดงเร่งเครื่องใส่ทีมเยือนอย่างเซอร์ไพรส์ และได้ประตูออกนำ 2-0 ตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี โดนประตูแรกมาจากการยิงของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ในนาทีที่ 16 ซึ่งต้องชม ตอร์เรส กับ เดิร์ค เคาท์ ที่วิ่งบีบจน เปเป้ สกัดพลาด แล้ว เคาท์ ถวายพานให้ ตอร์เรส ซัดโล่ง ๆ พาทีมขึ้นนำอย่างเด็ดขาด

 

จากนั้นในนาทีที่ 22 เจอร์ราร์ด ก็มาซัดจุดโทษให้ทีมนำห่างเป็น 2-0 ก่อนที่ต้นครึ่งหลัง สตีวี่ จี จะโฉบเข้ามายิงจากลูกเปิดของ ไรอัน บาเบล ให้ทีมหนีไปไกล 3-0 ฉลองการลงสนามนัดที่ 100 ในถ้วยยุโรปอย่างเพอร์เฟคท์​

 

ก่อนที่จะมาปิดจ็อบด้วย อันเดรียส ดอสเซน่า ก่อนหมดเวลา 2 นาที ส่งผลให้สกอร์รวม 2 นัด ลิเวอร์พูล ถล่ม เรอัล มาดริด ไปได้ 5-0 ซึ่งเกมที่แอนฟิลด์นี้ นอกจากจะเป็นชัยชนะที่ขาดลอยที่สุดในการพบกับ เรอัล มาดริด แล้ว ยังเป็นเกมสุดคลาสสิคในถ้วยยุโรปของ ลิเวอร์พูล มาจนทุกวันนี้อีกด้วย



 


4) ลิเวอร์พูล 0-3 เรอัล มาดริด (2014)

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

 

การพบกันของหงส์แดงกับราชันชุดขาวเมื่อปี 2014 ถือเป็นช่วงเวลาที่อยากลบไปจากความทรงจำของ เดอะ ค็อป โดยเกมวันนั้น แบรนดอน ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียนทีม และพ่ายทีมเยือนไปยับเยิน โดยมาดริดได้ 3 ประตูจากในครึ่งแรกทั้งหมด

 

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงให้ชุดขาวขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 23 ก่อนที่ คาริม เบนเซม่า จะมาบวกเพิ่มอีก 2 เม็ดตอนนาทีที่ 30 และ 41 ตามลำดับ ซึ่งเปอร์เซ็นต์การครองบอลของทั้ง 2 ทีมถือว่าใกล้เคียงกันที่ 46-54% และต่างฝ่ายต่างผลัดกันบุกใส่อยู่ที่ 12-14 ครั้ง แต่เป็นทีมเยือนที่คมกว่า เมื่อสามารถยิงเข้ากรอบถึง 7 และได้ 3 ประตู ขณะที่ ลิเวอร์พูล เองยิงตรงกรอบเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น



 


5) เรอัล มาดริด 1-0 ลิเวอร์พูล (2014)

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

 

เกมเยือน เบร์นาเบว หงส์แดงถูกราชันชุดขาวย้ำแค้นได้อีกครั้งจากการยิงประตูชัยของ เบนเซม่า เจ้าเก่าในนาทีที่ 27 ซึ่งลูกนี้ มาร์เซโล่ เป็นคนทำแอสซิสต์ให้

 

เกมนี้ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ด้วยฟอร์มการเล่นที่สู้ไม่ได้เลย พวกเขาถูกมาดริดบุกเข้าใส่มากถึง 27 ครั้ง และตรงกรอบถึง 9 หน ขณะที่ลิเวอร์พูลเองได้โต้ตอบเพียงแค่ 4 ครั้ง ตรงกรอบแค่ครั้งเดียว และยังทำฟาวล์มากถึง 12 ครั้งอีกด้วย

 

ความพ่ายแพ้จากเกมดังกล่าว ทำให้ในเวลานั้น ลิเวอร์พูล ตกมาอยู่อันดับ 3 ในตารางคะแนนของกลุ่ม บี และสุดท้ายพวกเขา็ไม่สามารถแซง บาเซิ่ล ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ได้ จนทำให้ต้องร่วงลงไปเล่นในยูโรปา ลีก ในท้ายที่สุด



 


6) เรอัล มาดริด 3-1 ลิเวอร์พูล (2018)

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ

 

ลิเวอร์พูล ภายใต้การทำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาไกลจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ด้วยขุมกำลังที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะไกลได้ถึงขนาดนี้

 

หงส์แดงมี โม ซาล่าห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ เป็นตัวความหวังในแดนหน้า และการมีอยู่ของ เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค คือคีย์แมนสำคัญที่ทำให้เกมรับของทีมแน่นหนั่นขึ้น ทว่า มันยังไม่เพียงพอสิครับ


เกมวันนั้น คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง ลอริส คาริอุส ลงสนามเป็นตัวจริง หลังจากที่มือกาวชาวเยอรมันกำลังโชว์ฟอร์มได้เป็นอย่างดีก่อนถึงนัดนี้ แต่อย่างที่ทราบกันดี คาริอุส ดันมาฟอร์มหลุดในเกมสำคัญจนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมพ่าย มาดริด กระจุยถึง 1-3 โดยเฉพาะประตูแรกที่เขาออกบอลไม่ดีจนถูก เบนเซม่า ฉกไปยิงโล่ง ๆ

 

แม้หงส์แดงจะตามตีเสมอได้ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา แต่ความมั่นใจของ คาริอุส ไม่เหลืออีกแล้ว ประตู 2-1 ของ มาดริด อาจไม่ใช่ความผิดของเขาเต็ม 100 แต่ประตูที่ 3 นั้น มันบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลย เมื่อรับบอลที่ไม่น่ายากหลุดเข้าประตูไป จนท้ายที่สุด หงส์แดงต้องมาปราชัยในนัดชิงครั้งนี้อย่างเจ็บปวดที่สุด

 

อีก 1 ไฮไลต์ในเกมนี้ก็คือจังหวะฟาวล์ของ เซร์คิโอ รามอส ที่อัดใส่ โม ซาล่าห์ จนได้รับบาดเจ็บน้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ครึ่งแรก ซึ่งเป็นประเด็นเดือดหลังจบเกมนี้ไม่แพ้ความผิดพลาดของ คาริอุส เลยทีเดียว



 


ปี 2021 ลิเวอร์พูล กับ เรอัล มาดริด จับฉลากชนติ้วกันอีกครั้งในรอบ 16 ทีม ฝั่งหนึ่งคือราชันยุโรปของลีกสเปน อีกฝั่งคือราชันยุโรปจากฝั่งอังกฤษ ซึ่งว่ากันตามตรง เกมนี้จะเป็นเกมที่ทั้ง 2 ทีมเน้นมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลิเวอร์พูลที่หมดลุ้นในเกมลีกไปแล้ว

 

ถ้วยใบนี้คือความหวังของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่จะเป็นการแก้ตัวจากผลงานในลีก และยังเป็นเกมที่เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะล้างแค้นแผลในใจจากนัดชิงที่เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2018 อีกด้วย

 

เป็นเกมที่เดอะ ค็อป ทุกคน ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง!!!



ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด