:::     :::

สิ่งที่ เดวิด มอยส์ คิดถูกสมัยคุมผีแดง

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 คอลัมน์ เด็กเก็บบอล โดย ยักษ์เดนส์
8,908
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ในสายตาของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงมองว่า เดวิด มอยส์ น่าจะเป็นคามล้มเหลวอย่างที่สุดในการนั่งเก้าอี้นายใหญ่แห่งรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด

ด้วยความที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เลือกเองกับมือ นั่นทำให้ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้จะมีเสียงค่อนขอดอยู่บ้างก็ตาม แต่สุดท้ายก็อย่างที่รู้กันว่า เดวิด มอยส์ อยู่คุมทีมได้เพียง 8 เดือนก่อนโดนปลดออกจากตำแหน่งไป ฝากผลงานคุมทีม 51 เกม ชนะ 27 เสมอ 9 แพ้ 15

นั่นคือผลพวงที่ทำให้ปีนั้นถือเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดของ "ปีศาจแดง" ในการเล่นพรีเมียร์ลีกจนถึงปัจจุบัน โดยทีมจบที่อันดับ 7 ของตาราง, ตกรอบ 3 เอฟเอ คัพ, ตกรอบรองชนะเลิศลีก คัพ และตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มีให้ได้ยิ้มตอนต้นซีซั่นกับการชนะ วีแกน 2-0 ในคอมมูนิตี้ ชิลด์ก่อนเปิดฤดูกาล


ถึงกระนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่ เดวิด มอยส์ ก็ใช่ว่าไม่แย่ไปทั้งหมด มันก็มีเรื่องดีที่ส่งให้ทีมประสบความสำเร็จแม้เจ้าตัวจะไม่ได้อยู่คุมทีมแล้ว หรือแม้กระทั่งในตอนนี้ด้วย

ลองดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่กุนซือชาวสกอตแลนด์ทำไว้ให้กับทีม

จอห์น เมอร์ทัฟ

ผู้อำนวยการฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาทำงานกับสโมสรในยุคของ เดวิด มอยส์ นั่นเอง

        

ในตอนแรกนั้นเจ้าตัวนั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาฟุตบอล โดยมีส่วนสำคัญในการดึง ฮันนิบาล เมจบรี้ ดาวรุ่งฝีเท้าเยี่ยมมาจาก โมนาโก ในฝรั่งเศสมาอยู่กับทีมเมื่อปี 2019

การที่ จอห์น เมอร์ทัฟ ได้รับการแต่งตั้งให้นั่งตำแหน่งสำคัญของทีมในเวลานี้ ย่อมเล็งเห็นถึงฝีมือในการบริหารว่าสามารถทำหน้าที่ในบทบาทที่สำคัญนี้ได้

ถือเป็นหนึ่งมรดกที่ทาง เดวิด มอยส์ ทำไว้ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รอติดตามกันว่า ผู้อำนวยการฟุตบอลคนนี้นำพาทีมไปถึงจุดไหน

โน้มน้าว เวย์น รูนี่ย์ ให้อยู่กับทีมต่อไป

        

แม้จะเคยเสีย เวยน์ รูนี่ย์ ในวัย 16 ปีให้กับ แมนเเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาแล้วสมัยที่ยังคุม เอฟเวอร์ตัน แต่เจ้าตัวไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกซ้ำสองเมื่อมาคุมทีมในรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด

หลังการอำลาทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถือว่าสร้างความปั่นป่วนให้ทีมไม่น้อย แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องมาถึง ซึ่งในตอนนี้ เวย์น รูนี่ย์ ก็มีข่าวย้ายทีมอย่างหนาหูเลย

โดยเฉพาะกับ เชลซี ที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในเวลานั้นพร้อมเต็มที่กับการไล่ล่าดาวยิงทีมชาติอังกฤษรายนี้มาร่วมทีมให้ได้ถึงขนาดยื่นข้อเสนอมาด้วยแต่โดนบอกปัดไป รวมถึงยังมี เรอัล มาดริด อีกทีมที่อยากได้ตัวอย่างมาก

เดวิด มอยส์ ประกาศอย่างชัดเจนในเวลานั้นว่าไม่มีทางขายดาวยิงตัวเองออกจากทีมอย่างแน่นอนกระทั่งโน้มน้าวใจให้ เวย์น รูนี่ย์ อยู่กับทีมต่อไปได้ในที่สุด

บริหารจัดการสโมสร


การจากไปของ เซอร์ อเล็ฏซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้เกิดข้อสงสัยมากมาย และในเวลานั้นสโมสรก็กำลังมึนงงว่าจะบริหารจัดการยังไงดี

การเปลี่ยนแปลงทีมงานถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบางคนก็มองว่าสโมสรคงเผชิญกับวิกฤติอย่างไม่ต้องสสงสัย มีไม่กี่คนที่มองว่าทีมจะเดินหน้าอย่างมั่นคง

ในทีมมีสตาฟฟ์ที่มากเกินความจำเป็นในการทำงานของ เดวิด มอยส์ ก็ให้สโมสรกำจัดออกไปเลย แม้ว่าจะโดนวิจารณ์อย่างหนักว่าเอาวิธีการทำงานกับสโมสรที่เล็กกว่าอย่าง เอฟเวอร์ตัน มาใช้ก็ตามที

แต่การทำแบบนั้นก็ช่วยสโมสรลดภาระค่าใช้จ่ายได้ เหมือนกันเป็นรีเซ็ตค่าสโมสรเป็นค่าโรงงานในช่วงเวลาที่ "ปีศาจแดง" กำลังมึนงงกับการจากไปของ "ป๋า"

ให้โอกาสกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

        

แฟนบอลยูไนเต็ดอาจจะจำภาพที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงเล่นเกมแรกในสีเสื้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล แต่อันที่จริงเข้าขึ้นมาสูทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ยุคของ เดวิด มอยส์ แล้ว

ด้วยวัยเพียง 16 ปี กองหน้าทีมชาติอังกฤษในปัจจุบันถูก เดวิด มอยส์ ดันขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ด้วยความที่มองเห็นพรสวรรค์ว่าเจ้าหนูรายนี้จะเป็นสุดยอดดาวยิงได้ในอนาคต

แน่นอนนี่ไม่ใช่โคมลอยหรือเขียนกันไปเองเพราะทาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ออกมาพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย

"มันเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์อย่างมาก ผมยังทำการซ้อมได้ : เราไม่ได้สัมผัสบอลจริงๆ เราทำออกกำลังและวอร์มกัน แต่จากนั้นเราก็กลับอยู่กับทีมกลุ่มอายุเดียวกับเรา แต่สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ในเวลา 15-20 นาทีนั่นประเมินค่าไม่ได้เลยในฐานะแข้งอะคาเดมี่"

"ช่วงเวลาเหล่านั้นช่วยเพิ่มเติมคุณอย่างแท้จริง และเมื่อคุณเริ่มซ้อมกับพวกเขามากขึ้น คุณได้รับอะไรมากขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้น แต่นั่นคือวิธีที่ทำให้คุณก้าวขึ้นมาเป็นแข้งชุดใหญ่"

การซื้อตัวที่สมเหตุสมผล


แม้จะอยู่คุมทีมไม่นานมากนักไม่เต็มฤดูกาลดี แต่ก็มีการซื้อตัวนักเตะใหม่เข้ามาสองคน นั่นคือ มารูยาน เฟลไลนี่ ในช่วงซัมเมอร์ และ ฆวน มานูเอล มาต้า ในตลาดหน้าหนาว

27.5 ล้านปอนด์ ที่จ่ายกับการดึง เฟลไลนี่ มาจาก เอฟเวอร์ตัน โดนแซะว่าเป็นการดึงลูกน้องเก่ามาร่วมทีม แต่แข้งทีมชาติเบลเยี่ยมก็พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่เด็กเส้นและทำผลงานให้กับทีมได้เป็นอย่างดี แม้ในปีแรก เดวิด มอยส์ จะโดนวิจารณ์เรื่องผลงานอย่างหนักก็ตาม

เพราะแม้ มอยส์ จะไม่อยู่แล้ว แต่ เฟลไลนี่ ยังคงเป็นกำลังหลักของทีม โดยตลอด 6 ปีกับทีมลงเล่นไป 177 เกมเลย ทำไปรวม 22 ประตู

ส่วนอีกคนคือ ฆวน มาต้า ที่จ่ายราว 40 ล้านปอนด์ให้ เชลซี พร้อมกับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในช่วง 1-2 ฤดูกาลที่ผ่านมาจะไม่ได้เป็นตัวหลัก และมีรายการว่าจะอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนี้

แต่กับการลงเล่นไป 267 เกมให้กับทีม ทำประตูรวม 50 ลูก ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมของสโมสรเลย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด