:::     :::

เหรียญสองด้าน ของการต่อสัญญา

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
3,536
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ท่ามกลางกระแสไล่ ย่อมมีเสียงคัดค้าน ท่ามกลางกระแสต่อต้าน ย่อมมีแรงสนับสนุน และนี่คือเหรียญสองด้านของความคิดเห็นเรื่องการต่อสัญญาใหม่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

มีประเด็นข่าวที่เกิดมาในช่วงนี้เกี่ยวกับเรื่องราวการต่อสัญญาของ Ole Gunnar Solskjaer ว่ากำลังจะได้รับสัญญาใหม่ที่มีมูลค่าราวๆ 10ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งผู้จัดการทีมวัย48ปีรายนี้ กำลังจะหมดสัญญาลงในช่วงจบฤดูกาล 2021/22 ซึ่งก็คือปีหน้านั่นเอง ว่ากันว่า เอ็ด วู้ดเวิร์ด เตรียมพร้อมที่จะคุยสัญญาใหม่กับเขาทันที โดยไม่เกี่ยวว่าปีนี้จะมีแชมป์ติดมือหรือไม่อย่างไร

ประเด็นนี้จริงๆแล้วมักจะถูกนำไปพาดหัวจนmisleadingอยู่บ่อยๆเช่นว่า "แชมป์ไม่จำเป็น" หรืออะไรบ้าง จนแฟนบอลtoxicบางส่วนก็เชื่อแต่หัวข่าวแล้วเข้าไปแบบนั้น แล้วก็นำไปด่ากันต่อว่า สโมสรเราทำทีมกันไปงั้นๆ ไม่ต้องเอาแชมป์ แค่ติดอันดับและได้เงินไปแชมเปี้ยนส์ลีกเรื่อยๆก็พอแล้ว ไม่ต้องลงทุนเพื่อเอาแชมป์

ในบริบทนี้มันไม่ใช่เรื่องราวเช่นนั้น แต่เป็นเรื่อง "การต่อสัญญา" กับโซลชาเป็นหลักๆแค่ว่า สโมสรต้องการจะเซ็นใหม่เพื่อขยับขยายสัญญาที่กำลังจะหมดปีหน้านั่นเอง

ดังนั้นประเด็นที่แท้จริงของการพูดคุยนั้น เราควรคุยกันในแง่ที่ว่า "การต่อสัญญากับโซลชานั้นเหมาะสมมากน้อยเพียงใด" หรือว่า "ดีพอหรือยังที่จะต่อ" และแม้กระทั่ง "เร็วไปไหมถ้าจะต่อสัญญา" ถ้าคุยกันด้วยประเด็นพวกนี้จึงจะดีกว่าที่จะไปโฟกัสเรื่องราวอื่นๆ

และบทความข้างล่างนี้ศาลาผีไม่ได้เขียนเอง แต่ผมเรียบเรียงและแปลออกมาจากarticleต่างประเทศที่มีชื่อว่า "The two sides to Ole Gunnar Solskjær’s potential contract extension" หรือ เหรียญสองด้านของการต่อสัญญา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งเขียนโดยมุมมองที่แตกต่างกันจากนักเขียนสองคนจาก Andrew Delaney และ Arion Armeniakos ตามลำดับ

บทความนี้น่าจะดีกับแฟนผีทั้งสองฝ่าย เพราะตอนนี้ก็เสียงแตกกันพอสมควรในเรื่องที่ว่า เราจะสนับสนุนโซลชาหรือไม่ หรือว่าอยากจะให้เปลี่ยนผู้จัดการทีม ซึ่งก็เป็นความคิดเห็นที่อยู่แตกต่างกันคนละฝั่ง และบทความนี้เป็นการรวบรวมมุมมองที่มองต่างกัน บทความแรกนำเสนอความเห็นในด้านไม่เห็นด้วย ในขณะที่อีกบทความแสดงความเห็นซัพพอร์ตอย่างชัดเจน

ผู้อ่านสามารถอ่านแล้วคิดตามไปกับความคิดเห็นของตัวเองได้เลย แต่ในฐานะผู้แปลอยากจะบอกว่า นี่เป็นarticleที่ดีทั้งสองบทความ เพราะมันเต็มไปด้วยเหตุผลสนับสนุนและหักล้างกันทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของหลักตรรกะคิดที่ดีทั้งคู่

เพียงแค่ต้องการนำเสนอว่า เวลาเชียร์บอลก็อย่ามุ่งความเห็นไปด้านใดด้านหนึ่ง พยายามคิดให้ครบทุกมิติ เพราะในบรรดาเรื่องดี มันก็มีเรื่องแย่ และสิ่งที่แย่มันก็มีความดีอยู่ในนั้นเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดขาวไปเลยหรือดำไปเลยอย่างเดียว ของทุกอย่างเหรียญมันมีสองด้านเสมอ

และนี่คือสองบทความความเห็นที่แตกต่างกันดังกล่าว ขอเชิญอ่านกันได้เลย แล้วจะเห็นด้วยกับบทความไหนก็แล้วแต่ หรือจะเห็นด้วยทั้งสองบทความเหมือนผู้เขียนนี่ก็ได้ไม่ว่ากัน

เหรียญด้านที่หนึ่ง

"เร็วไปมั้ยที่จะต่อสัญญาใหม่?"

โอเล่ กุนนาร์ ทำผลงานได้ดีในการคุมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดนับตั้งแต่มารับงานในเดือนธันวาคมปี2018 ที่เป็นเผือกร้อนซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาในทีมมากมายไม่ว่าจะเป็นนักเตะอายุเยอะที่ค่าเหนื่อยสูงลิบลิ่ว และปัญหาส่วนตัวของการขาดความมั่นใจ และขาดความฟิตของนักเตะในทีม ซึ่งในความเป็นจริงคือความสามารถของทีมโดยรวมนั้น "ต่ำกว่ามาตรฐานของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" อย่างมาก

ในระยะเวลาแค่สองปี เขาเคลียร์ปัญหาเหล่านี้ออกไป โดยการปล่อยตัวอเล็กซิส ซานเชส, แอชลีย์ ยัง, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน และก็คริส สมอลลิ่ง แล้วนำเอาตัวที่สดกว่า ดีกว่า และมีความกระหายมากกว่าเข้ามาทดแทนอย่างเช่นบรูโน่ แฟร์นันด์ส, อารอน วานบิสซาก้า และแฮรี่ แมกไกวร์เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการทำการค้าที่ฉลาดและสมเหตุสมผลแทบจะทุกดีล ต่างจากเมื่อก่อนที่แมนยูไนเต็ดต้องซื้อนักเตะด้วยการจ่ายเงินที่มากเกินเหตุสำหรับนักเตะบางคน แต่โซลชาทำงานได้ดีเยี่ยมมากในการสร้างทีมใหม่ขึ้นมาที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

จุดที่ดีที่สุดนั้นเขาได้มีการพัฒนานักเตะบางคนที่ถูกตัดหางปล่อยวัดและทอดทิ้งให้ฟอร์มตกมาจากผู้จัดการคนก่อน ซึ่ง ลุค ชอว์ คือตัวอย่างที่ดีอย่างไม่มีอะไรกังขาอีกต่อไปในเรื่องนี้ จากการที่ไม่สามารถควบคุมการดูแลตัวเองและปล่อยให้ร่างกายอ้วนฉุเพราะoverweightสำหรับนักฟุตบอล แถมนำมาใช้งานไม่ได้ในสนาม กลับกลายเป็นนักเตะที่เพอร์ฟอร์มดีระดับน้องๆของเพอร์ฟอร์มของบรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเลย

การคืนชีพขึ้นมาของชอว์ในครั้งนี้นั้นมีส่วนมาจากโอเล่ กุนนาร์ โซลชาค่อนข้างมาก ตามที่ฟูลแบ็ครายนี้เมนชั่นถึงผู้จัดการทีมของเขาในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าโอเล่สำคัญมากๆในการกลับสู่ฟอร์มของเขา

แบ็คซ้ายวัย25ปีกกล่าวว่า "เขาช่วยผมอย่างมากในสนาม แต่มันมีส่วนมากยิ่งกว่านั้นอีกเพราะนี่คือหนึ่งในสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการลงสนามของผมอย่างยิ่ง ซึ่งมันมาจากวิธีการที่เขาดูแลนักเตะ เขารู้ว่านักเตะต้องการอะไรบ้าง"

มันคือการยกย่องอย่างสูงจากชอว์ และเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงทักษะวิธีการบริหารบุคลากรของโซลชา มันสามารถชุบชีวิตอาชีพนักฟุตบอลของคนๆนึงที่ดูเหมือนเกือบๆจะหันหลังให้กับฟุตบอลไปแล้วในหลายปีที่ผ่านมา

งานนอกสนามของเขาส่วนใหญ่ทำได้ดีมากๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีข้อสงสัยเรื่องฝีมือการคุมเกมในสนามอยู่เช่นกัน แน่นอนว่ายูไนเต็ดดูตื่นเต้นภายใต้ยุคของโซลชา ทำให้แฟนบอลดูแล้วรู้สึกดีใจที่เห็นทีมมีความหวังเช่นนั้นในหลายๆครั้ง แต่ว่าเรื่องต่างๆเหล่านี้มันก็ผ่านไปแล้ว ฟอร์มการเล่นของทีมโดยรวมอาจจะพูดได้ว่า ปีนี้ดูจะมั่นคงและแน่นอนกว่าซีซั่นที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่ใครที่ดูแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดลงแข่งอยู่ทุกๆสัปดาห์นั้นก็จะเห็นชัดว่า แต่ละนัดก็มีประเด็นที่แตกต่างกันอยู่เป็นประจำ

มีหลายๆเกมที่ต้องพึ่งพาการแบกทีมของแฟร์นันด์ส, แรชฟอร์ด หรือ ป็อกบา ไม่งั้นเกมนั้นก็เจ๊งบ๊งไปเลย ซึ่งนี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของทีมเราที่นานๆจะต้องเป็นแบบนั้นสักที (พึ่งพาการแบกทีมของตัวแบก) แต่นี่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นทุกนัดจนเป็นเรื่องปกติแล้ว

ปัญหาอื่นที่ยูไนเต็ดของโซลชาเจออีกก็คือการเจาะทีมรับต่ำ(low blocks) นี่ก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดอย่างบ่อยครั้งเช่นกัน สำหรับเกมเค้าท์เตอร์แอทแท็คนั้น แมนยูไนเต็ดทำได้ดีมากเหมือนพวกชั้นนำในยุโรปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่เมื่อใดก็ตามเจอทีมรับต่ำขึ้นมาครั้งใด ทีมเราดูจะเล่นได้ช้ามากๆ บ้อท่า และดูไม่ค่อยมีลุ้นมากๆ

การเน้นยึดติดอยู่กับการใช้กลางคู่โดยไม่ต้องพะวงกับคู่แข่งนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น และดูเหมือนกับว่าทีมจะขาดคุณภาพในการcoaching ที่ทีมระดับท็อปๆทั้งหลายส่วนใหญ่เขาจะหาวิธีเจาะทีมประเภทจอดรถบัสได้ทั้งนั้น

การเปลี่ยนตัวระหว่างเกมของโซลชานั้น มีทั้งเปลี่ยนแล้วโดนจุด กับเปลี่ยนแล้วไม่ได้ผลทั้งคู่ และการตัดสินใจสำหรับการเลือกตัวของเขามักจะทำให้คนดูงงงวยอยุ่เสมอ เช่นว่า ในเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศที่ผ่านมา ทำไมโอเล่ถึงคิดว่ามันเป็นเกมที่เหมาะสมและถูกต้องแล้วในการพักสองนักเตะที่ดีที่สุดของทีมไว้บนม้านั่ง พอๆกับคอมเม้นของเขาที่เหมือนจะไม่ได้ต้องการจะเอาแชมป์ถ้วยนี้ด้วย

จริงอยู่ว่าเรากำลังจะจบซีซั่นด้วยการมีคะแนนเยอะกว่าปีก่อนๆ แต่ว่านักเตะเหล่านี้จะรู้และเข้าใจวิธีการพาทีมเป็นแชมป์ได้อย่างไรในอนาคต ถ้าไม่พยายามจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติของการเป็นแชมเปี้ยนบ้างเลยสักรายการ

มีข่าวลือมากมายว่าโซลชาจะได้รับการต่อสัญญาใหม่ และส่วนตัวของต้นทางผู้เขียนบทความนี้ เขาคิดว่านี่เป็นการเทคแอคชั่นที่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่จากบอร์ด เพราะโซลชาเองนั้นไม่ได้มีสโมสรอื่นๆติดต่อเข้ามาจะแย่งชิงตัวไปคุมทีมแต่อย่างใด แถมด้วยเรื่องที่ว่า ถึงจะมีใครอยากได้ตัวเขาไปคุมทีมก็ตามมันก็เป็นไปไม่ได้อีก เพราะนี่คือ "dream job" ของโซลชาเองด้วยซ้ำ เพราะงั้นเขาไม่มีทางไปไหนอยู่แล้ว

การจะมาเซ็นสัญญาใหม่เพื่อผูกมัดเขาให้อยู่ต่อไปนั้นเหมือนกับการที่สโมสรและบอร์ดนั้น "ไล่ต้อนตัวเองเข้ามุมธง" ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นและพวกเขาก็ไม่อยากถูกบีบให้เป็นเช่นนั้นด้วย ผู้เขียนบทความนี้คิดว่าเราควรที่จะรอดูไปก่อนและค่อย "ประเมินซ้ำอีกครั้ง" ในปีหน้า

ตัวผู้เขียนนั้นห่างไกลมากจากการพยายามไล่โอเล่ให้โดนปลด แต่ถึงกระนั้นก็ยังสงสัยในใจอยู่เช่นกันว่า โซลชาจะพาทีมไปได้ไกลถึงระดับไหน และจะไปได้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่มีอะไรเกิดปัญหาหนักจริงๆหรือไม่ ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นของบทความชิ้นนี้ว่าเรามองเห็นโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทำผลงานที่ดีเยี่ยมมากๆแล้วกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

กุญแจสำคัญคงอยู่ที่การหาใครสักคนที่ดีพอจะสานต่องานอันยอดเยี่ยมนี้จากโซลชาได้ถ้าจะหาผู้จัดการทีมใหม่ และผู้เขียนก็หวังว่าเขาจะคิดผิด และโซลชาจะคุมทีมต่อไปได้

เหรียญอีกด้านหนึ่ง

"สโมสรออกมาแสดงถึงการซัพพอร์ตโซลชาถูกเวลาไหม?"

การขยายสัญญาช่วงกลางฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งเฮดโค้ชแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าคาดหวังให้เกิดขึ้นเลย เพียงเพื่อที่หวังจะให้การต่อสัญญานี้มันเกิดเป็นเรื่องดีๆและ "สปาร์ค" กระตุ้นอะไรบางอย่างที่เป็นเรื่องพิเศษๆแก่เหล่านักเตะและผู้จัดการทีมเท่านั้น การได้สัญญาใหม่ก่อนที่ของเก่าจะหมดลงนั้นมันเป็นเหมือนการรับรองขั้นสุดยอดที่จะบอกว่าคุณจะได้ทำงานนั้นสานต่อไปอีกยาวๆ กับลูกทีมและสตาฟฟ์ที่อยู่ในปัจจุบันบนแผนงานของคุณนั่นเอง

ประเด็นสำคัญเรื่องนึงที่มีการพูดคุยถกเถียงในเรื่องของความคิดเห็นมากๆนั่นก็คือ เรื่องการเป็นผู้จัดการทีมที่เข้ามาคุมทีมได้ดีที่สุดนับตั้งแต่หมดยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่วางมือลงไปจากบัลลังก์

จริงๆเราไม่ควรเอาผู้จัดการปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับผู้จัดการที่ดีที่สุดตลอดกาลสักเท่าไหร่ แต่ว่าหากว่าดูแบบคร่าวๆถึงบอลลีกของป๋าในทุกๆฤดูกาลช่วงยุคที่เป็นพรีเมียร์ลีกแล้วนั้น ความสำเร็จของป๋าถูกสร้างขึ้นบนสิ่งที่เรียกว่า "ความมั่นคง" เป็นหลัก โดยเขามีสูตรความสำเร็จที่ยั่งยืนมาก และยูไนเต็ดก็ไม่เคยจบต่ำกว่าอันดับสามเลยในยุคพรีเมียร์ลีก

ถึงแม้ว่าโซลชาจะยังไม่เคยชูถ้วยใดๆเลยก็ตาม แต่เขาคือผู้จัดการทีมคนแรกในยุค post-SAF ที่สามารถนำ"ความเชื่อ"(belief) กลับมาได้ว่า แมนยูของเรา"ยังไม่ตาย"

การพ่ายแพ้ในรอบรอง4ครั้ง และรอบ8ทีม1ครั้ง ยังคงเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จของเขาอยู่ แต่บางทีแล้วเส้นทางที่ไม่ราบเรียบเหล่านั้นก็เป็นเหมือนอุปสรรคที่จะนำพาไปสู่ "บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น" ก็เป็นได้

หนึ่งในสถิติที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ผู้จัดการในยุคหลังป๋านั้นไม่มีใครสามารถจบท็อปโฟร์ได้อย่างต่อเนื่องได้เลย จากขาประจำแชมเปี้ยนส์ลีก ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่ไม่ใช่ขาประจำ และขึ้นๆลงๆในเกมบอลถ้วยยุโรปของยูฟ่า ไม่ว่าจะเป็นเดวิด มอยส์/หลุยส์ ฟาน กัล หรือ โจเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมเหล่านี้ไม่มีทำให้แน่ใจได้เลยว่าแมนยูไนเต็ดจะได้ไปเล่นถ้วยไหนในซีซั่นหน้า

สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไป เมื่อโซลชาพูดออกมาว่า การคว้าถ้วยรางวัลรายการประหลาดๆเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นตัวป้อน "อัตตา" แก่ผู้จัดการทีมซะมากกว่าที่จะ"สะท้อน" การพัฒนาก้าวหน้าของสโมสรอย่างแท้จริง ซึ่งที่โซลชาพูดส่วนหนึ่งมันก็ถูก และก็คล้ายๆกับที่พวกนักข่าวต่างๆทวีตประโยคพวกนี้

คุณลงเล่นเพียงแค่10เกมเท่านั้นเองในการแข่งขันบอลถ้วยเหล่านี้ เพียงเพื่อที่จะคว้าชัยชนะได้จากช่วงการลงแข่งสั้นๆ แต่ว่าพอได้แชมป์แล้วยังไงต่อ? ถึงจะได้พวกแชมป์ถ้วยทั่วๆไปเหล่านี้ แต่ว่าฤดูกาลนั้นคุณจบอันดับ8 แล้วปีหน้าจบอันดับ10 แต่ว่าได้แชมป์ถ้วยพวกนั้น

อย่างนั้นยังจะเรียกว่า "progress" (เจริญก้าวหน้า)อีกมั้ย? หรือเป็นสัญญาที่ดีในอนาคตหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ความฟินจากการประสบ"ความสำเร็จในระยะสั้น"ที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงาของ"ความล้มเหลวระยะยาว"

ส่วนหนึ่งของโซลชาที่พูดถึงเรื่องการคว้าพวกถ้วยเหล่านั้นในแนวทางนั้น มันก็ถูกจริงๆ

สำหรับผู้จัดการรายนี้แล้วจริงๆเราจะพูดถึงเขายังไงก็ได้แล้วแต่คน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ เขาไม่เคยนำอัตตามาใช้ที่นี่ ด้วยวัฒนธรรมการเชียร์บอลของแฟนสมัยนี้นั้น ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์รายนี้ได้รับการยอมรับเรื่องการเข้ามาพยายามแก้ปัญหาให้กับสโมสรที่เขารัก ซึ่งยักษ์หลับอย่างเรามีบาดแผลเกิดขึ้นมามากมายจากผู้คนหลายๆคนที่ไม่ได้มีสโมสรนี้อยู่ในมโนสำนึก และอยู่ใน"หัวใจ"อย่างแท้จริ

ถึงโซลชาจะยังไม่มีถ้วยใดๆติดมือเลยก็ตาม แต่คุณก็รู้สึกได้ว่าเรากำลังก้าวไปสู่สิ่งนั้นอยู่ จากประเด็นการคว้าแชมป์ที่มันดูจะแย้งๆกันเองจากประโยคของโซลชานั้น เขามักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า ถ้าหากว่าคุณชนะในลีกได้ประจำแล้วนั้น เดี๋ยวพวกถ้วยแชมป์ทั้งหลายมันก็จะตามมาเอง เพราะความสำเร็จมันจะมาพร้อมกับ"ความมั่นคง" เป็นหลัก และนั่นแหละจากที่ผู้จัดการรายนี้ว่าเอาไว้ว่า การเจริญก้าวหน้าที่แท้จริงนั้นมันจะสะท้อนออกมาจาก "ตำแหน่งในลีก" มากกว่า ซึ่งเป็นการลงแข่งขันหลักๆที่คุณจะสามารถพิสูจน์ทีมได้ผ่านการเล่นในทุกๆสัปดาห์ให้เราเห็นตลอด "38ครั้ง" ในเกมลีก

แมนยูไนเต็ดแพ้เพียงแค่สี่ครั้งเท่านั้นในลีก นับตั้งแต่"กุมภาพันธ์ปี2020" อย่างไรก็ตามพวกเขาพลาดเสมอก็เยอะเช่นกัน ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆอยู่นั่นแหละ แต่โซลชา แก้ปัญหาเรื่องความสม่ำเสมอทันทีด้วยการทำการค้าที่แน่นอนในการลงตลาดนักเตะ การชนะต่อเนื่องตลอดซีซั่นให้ได้นั้น คือวิธีที่ดีที่สุดในการวางรากฐานความสำเร็จที่ยั่งยืน มากกว่าชัยชนะแค่เป็นครั้งคราว

ท้ายที่สุดแล้ว การจะชนะคาราบาวคัพได้(อย่างที่แฟนบางคนคาดหวัง) แต่ทีมจบอันดับ6ในลีกงี้ มันอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับที่นี่ และก็ไม่ใช่สิ่งที่สโมสรแห่งนี้ควรจะอยู่ในตำแหน่งเช่นนั้น ซึ่งfactก็คือผู้จัดการทีมระดับบิ๊กเนมต่างๆในอดีตต่างก็ทำไม่ได้ แต่โซลชากำลังสร้างสถิติการติดท็อปโฟร์ต่อเนื่องกันให้กับทีมได้ ซึ่งเป็นสิ่งแรกๆที่เขาพูดออกมาหลังจากถูกถามว่าจุดมุ่งหมายในการทำทีมอยู่จุดไหน

อันดับสามในฤดูกาลแรกที่ได้คุมทีมแบบเต็มๆ และกำลังเดินเครื่องการันตีอันดับสองอยู่ในขณะนี้นั้น โซลชาต้องการที่จะรักษาเสถียรภาพของเรือลำมหึมาลำนี้ และคุมหางเสือพาเรือไปในทิศทางถูกต้องอย่างที่มันควรจะเป็น เพื่อมุ่งไปสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านี้ จากที่ผู้จัดการทีมสองคนสุดท้ายพาทีมจบเกือบๆจะกลางตารางและกลายเป็นสถิติส่วนตัวใหม่ของพวกเขาที่ไม่เคยเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

โซลชาแก้ปัญหาเรื่องนโยบายซื้อขาย, เคลียร์พวกdeadwood(นักเตะที่ไม่มีประโยชน์ และหมดแล้ว)ออกจากทีม, ปลุกผีทีมอะคาเดมี่และสร้างความสดใหม่ สร้างทีมใหม่ขึ้นมาด้วยการผสมผสานนักเตะเวิร์ลคลาส กับพวกดาวรุ่งที่มีฝีเท้าดีไว้ใจได้ เข้ามาร่วมอยู่ในทีมตลอดสองปีที่ผ่านมา

ด้วยทรัพยากรในทีมที่จำกัดเมื่อเทียบกับคู่แข่งของเขา โซลชาสามารถประสบความสำเร็จใหญ่ๆได้ แม้ว่าจะยังไม่มีถ้วยมาตั้งในตู้โชว์ ตอนนี้สโมสรเรารู้สึกปลอดภัยและมั่นคงมากกว่าเดิม ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงสิบปีให้หลัง และก็เป็นเวลาที่จะเริ่มขยับต่อในก้าวต่อไป

เกิดสัญญาณในแง่บวกต่างๆที่แฟนบอลต้องการ และการเล่นของทีมก็ดีขึ้นแม้ว่ายังไม่สม่ำเสมอเพียงพอ ผลการแข่งขันทุกอย่างก็ดูดีขึ้น อันดับในลีกกระเตื้องขึ้น

แม้ว่าทีมจะยังไม่มีคุณภาพเชิงลึกที่มากพอจะกลับมาอยู่ในจุดที่เป็นสถานะ "เครื่องจักรสังหารล่าถ้วยแชมป์" เหมือนเช่นเหมือนก่อน แต่ยูไนเต็ดก็ขึ้นมาอยู่ในสถานะผู้ท้าชิงในระดับแนวหน้าได้แล้ว

สิ่งนั้นคือการก้าวในลำดับถัดไป การมอบสัญญาใหม่โซลชาและสนับสนุนเขาอย่างสุดกำลัง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แมนยูไนเต็ดควรทำในซัมเมอร์นี้ เขาคือคนที่ใช่ในเวลาที่ใช่สำหรับสโมสรแห่งนี้ เขาพาทีมกลับมาสู่รากเหง้าของสโมสร และกลับมาในจุดที่ควรอยู่ และทำให้แฟนๆกลับมาเชื่อได้อีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่เคยได้นักเตะเป้าหมายแรกจากตลาดนักเตะมาเข้าทีมเลย

ขณะเดียวกันโซลชาเองก็ยังมีจุดบกพร่องอยู่เหมือนที่คนอื่นๆมี แต่เขาก็พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นโค้ชที่มีความสามารถทั้งเรื่องในและนอกสนามยิ่งดีกว่านั้นขึ้นไปอีกซึ่งจะพาให้เราไปได้ไกล

แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อว่าหากเขามี "tools" ที่ดีๆเอาไว้ใช้งานมากกว่านี้ ยูไนเต็ดสามารถก้าวกระโดดและกลับมาสู่หนทางของแชมปเปี้ยนได้ ภายใต้การคุมทีมของชายที่ได้พาทีมมาไกลแล้วผู้นี้นั่นเอง

-ศาลาผี-

Reference

https://utdreport.co.uk/2021/03/26/the-two-sides-to-ole-gunnar-solskjaers-potential-contract-extension/

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด