สรุปที่มาที่ไปการขายหุ้นของ FSG และลิเวอร์พูลได้อะไรบ้างจากดีลนี้
1- เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากวกิกฤติ โควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าในเมื่อฟุตบอลลงเตะโดยไร้คนดูในสนามย่อมส่งผลให้ทีมได้รับผลกระทบในเรื่องรายได้ชนิดมหาศาล ถึงแม้ว่าจะได้เงินรางวัลจากการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาบ้างก็ตาม แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ขาดหายไปมากกว่าเงินรางวัลก็คือรายได้จากสินค้าที่ระลึกฉลองแชมป์, ทัวร์สนามทีมแชมป์ และช่องทางของรายรับอีกมากมายที่หดหายไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
2- Fenway Sports Group จึงได้คิดหาวิธีเพิ่มรายได้เข้าสโมสรด้วยการนำหุ้นบางส่วนเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยไอเดียนี้เริ่มเคาะมาตั้งแต่ช่วงราว ๆ เดือนกันยายนแล้ว ซึ่ง FSG เตรียมนำหุ้นบางส่วนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการจดทะเบียนทางอ้อมกับ RedBall Acquisition Group โดยมี ริขาร์ด สคูดามอร์ กับ บิลลี่ บีน เป็นหัวหอกในการเจรจา ซึ่งหากการเจรจาในคราวนั้นสำเร็จก็จะทำให้ FSG มีมูลค่าในตัวบริษัทสูงถึงประมาณ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว วิธีการก็คือ RedBall จะระดมทุนจากนักลงทุนประมาณ 1,000 ล้านเหรียญฯ และนำเงินจำนวนดังกล่าวไปซื้อหุ้นของทีม ลิเวอร์พูล ในสัดส่วนไม่เกิน 25% แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายดีลนี้กับ RedBall ก็ล่มลงไปในที่สุด แม้จะไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดชัดเจนว่าล่มเพราะอะไร แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่าเป็นเพราะการเจรจาครั้งนั้นเป็นการเจรจาผ่านบริษัทลูก ทาง FSG จึงคิดว่ายังไม่มีความจริงใจพอ
3- พอมาในปีนี้ เจอร์รี่ คาร์ดิเนล (Gerry Cardinale) เจ้าของบริษัท RedBird Capital Partners (กลุ่มทุนเดียวกับ RedBall เพียงแต่ RedBird เป็นบริษัทแม่) ได้ตัดสินใจลงมาเจรจากับ FSG ด้วยตัวเอง จึงทำให้การเจรจาราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดีมากขึ้น ซึ่งตัวของ คาร์ดิเนล นั้นมีเจตจำนงเดียวกับ FSG ในเรื่องการบริหารทีมกีฬา นั่นก็คือต้องการเป็นเจ้าของทีมใหญ่ในยุโรปสัก 1 ทีม เพื่อใช้หลักโครงสร้างเดียวกับที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เบ ไลป์ซิก ทำอยู่ โดยที่ตัวของ คาร์ดิเนล เอง ปัจจุบันก็เป็นเจ้าของสโมสร ตูลูส ในฝรั่งเศส อยู่ด้วย
4- โครงสร้างดังกล่าวจะเป็นในรูปแบบของการมีทีมใหญ่ไว้ในมือ 1 ทีม และมีทีมเล็ก ๆ ทั้งในยุโปรและในอเมริกาเอาไว้สำหรับพัฒนาหรือเป็นพันธมิตร อย่างกรณีของบริษัท ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป ก็จะมี แมนฯ ซิตี้, นิวยอร์ค ซิตี้ (อเมริกา), เมลเบิร์น ซิตี้ (ออสเตรเลีย), โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส (ญี่ปุ่น), จิโรน่า (สเปน) และ คลับ แอตเลติโก ตอร์เก้ (อุรุกวัย) ซึ่ง CITIC Group นั้นจะวาง แมนฯ ซิตี้ ให้เป็นทีมหลักในการบริหาร สามารถเทรดนักเตะออกไปยังทีมในเครือได้ ทั้งในเรื่องการพัฒนารวมไปถึงเรื่องการบริหารการเงินได้อีกด้วย
5- เมื่อ RedBird ได้พูดคุยกับทาง FSG แล้วมีความเห็นในเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางดียวกัน การเจรจาเพื่อขอซื้อหุ้นจึงลุล่วงสำเร็จไปในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ FSG ตกลงขายในสัดส่วน 10% ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 533 ล้านปอนด์ นอกจากจะมี คาร์ดิเนล แล้ว ยังมี แซม เคนเนดี้ ประธานสโมสรของ เร้ด ซ๊อกซ์ , เลอบรอน เจมส์ ซูเปอร์สตาร์จาก NBA, มาเวอริค คาร์เตอร์ และ พอล วอชเตอร์ ที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของ FSG อีกด้วย
6- ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า ลิเวอร์พูล จะได้อะไรจากการขายหุ้นครั้งนี้? สิ่งแรกเลยนะครับก็คือสภาพคล่องทางการเงินครับ ซึ่งเงินจำนวนนี้จะเข้ามาช่วยทั้งในส่วนของรายรับที่แหว่งไปในปีที่ผ่านมา, การสานต่อโครงการปรับปรุงอัฒจันทร์ฝั่ง แอนฟิลด์ โร้ด ที่จะเพิ่มที่นั่งอีกประมาณ 7,000 ที่นั่งและมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 60 ล้านปอนด์ รวมไปถึงยังอาจเป็นเงินที่นำมาเสริมทัพเพื่อสู้ศึกฤดูกาลหน้า
7- นอกจากนี้ การร่วมมือกันของ FSG และ RedBird ยังสามารถทำให้ ลิเวอร์พูล กับ ตูลูส สามารถแบ่งปันทรัพยการความรู้ให้กันและกันได้อีกหลากหลายช่องทางมากมาย โดยทางฝั่ง คาร์ดิเนล นั้นถือหุ้นอยู่ 30% กับ วาสเซอร์แมน มีเดีย ซึ่งเป็นเอเย่นต์ให้กับนักฟุตบอลดัง ๆ ในยุโรปอยู่หลายต่อหลายคน 1 ในนั้นก็คือ โจ โกเมซ ของหงส์แดง รวมไปถึง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ของ เลสเตอร์ ซิตี้ อีกด้วย ซึ่งนั่นก็อาจเป็นอีกช่องทางที่ง่ายขึ้นสำหรับ ลิเวอร์พูล ในตลาดซื้อขายด้วยเช่นเดียวกัน