:::     :::

ลืมฝันร้ายที่เชลซี...กลายเป็นตำนานที่แมนซิตี้

วันพุธที่ 07 เมษายน 2564 คอลัมน์ Football Therapy โดย บี้ เดอะสปา
1,528
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การย้ายกลับพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2015 กลายเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ต้องการลบฝันร้ายกับ เชลซี และพิสูจน์ตัวเองกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

พรีเมียร์ลีกคือลีกในฝันของนักฟุตบอลหลายต่อหลายคน และ เดอ บรอยน์ ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเซ็นสัญญากับ เชลซี ในปี 2012 และสองวันหลังจากอายุครบ 21 ปีเต็ม พ่อหนุ่มผมทองก็เก็บข้าวของออกจาก เกงค์ ก้าวเท้าเข้าสู่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

เดอ บรอยน์ เข้ามาในช่วงเวลาที่ เชลซี ได้ชื่อว่าเป็นเจ้ายุโรป หลังจาก โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ สร้างปาฏิหารย์พาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ที่ มิวนิค
แต่หลังจากลงเล่นเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นไปสองแมตช์ และยังไม่ทันเข้าสู่เดือนสิงหาคม เชลซี ก็ประกาศปล่อย เดอ บรอยน์ ไปให้ แวร์เดอร์ เบรเมน ด้วยสัญญายืมตัวตลอดทั้งฤดูกาล
แน่นอน เรื่องดังกล่าวสร้างความผิดหวังและบอบช้ำทางจิตใจให้กับ เดอ บรอยน์ แต่ก็กลายเป็นแรงผลักดันให้ทำผลงานให้ดีในบุนเดสลีกา เพื่อกลับไปพิสูจน์ตัวเองที่ เชลซี
เดอ บรอยน์ มีส่วนสำคัญพา แวร์เดอร์ เบรเมน อยู่รอดในบุนเดสลีกาฤดูกาลนั้น โดยยิงไป 10 ประตูจาก 33 เกม เป็นรองดาวซัลโวของทีมเพียงแค่ประตูเดียว
แต่การกลับ เชลซี หนนี้อาจจะเป็นงานหนักขึ้น เพราะการกลับมาคุมทีมรอบสองของ โชเซ่ มูรินโญ่ แม้มีการยืนยันว่ากองกลางเบลเยียมอยู่ในแผนการทำทีมฤดูกาล 2013-14 แต่ เดอ บรอยน์ ได้ลงเล่นไปแค่ 3 เกมในพรีเมียร์ลีก และจบครึ่งซีซั่นแรกด้วยการเล่นเพียง 9 เกมรวมทุกรายการ
จากนั้นในเดือนมกราคม เชลซี ก็ตอบรับข้อเสนอขาย เดอ บรอยน์ ไปให้ โวล์ฟสบวร์ก ค่าตัวอยู่ที่ราวๆ 18 ล้านปอนด์ มากกว่าตอนซื้อมาจาก เกงค์ เพียง 7 ล้านปอนด์
เดอ บรอยน์ จาก สแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมคำถามในหัวมากมาย ไม่ใช่เพราะเล่นไม่ดี ไม่ใช่เพราะปรับตัวช้า แต่เป็นเพราะไม่ได้รับโอกาสจาก มูรินโญ่ มากพอ
การกลับมาบุนเดสลีการอบสอง เดอ บรอยน์ กลายเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ ในช่วงเวลาหนึ่งฤดูกาลครึ่ง มี 20 ประตูจาก 72 เกมในฐานะกองกลาง และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมนีในปี 2015 เป็นรางวัลที่มอบให้กับนักเตะทุกสัญชาติที่เล่นอยู่ในเยอรมนี
ถึงตอนนั้น เดอ บรอยน์ ได้รับความสนใจอย่างรุนแรงจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
"ผมจะไม่ไปอังกฤษ เพียงเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าผมสามารถเล่นที่นั่นได้ ผมไม่ต้องไปหรอกอังกฤษ แต่ถ้าผมจะไปที่นั่น ก็เป็นเพราะตัวผมและครอบครัว มันเป็นทางเลือกที่ดี และนั่นคือเหตุผลสำคัญของผม" คำพูดจาก เดอ บรอยน์ ก่อนย้ายกลับพรีเมียร์ลีก
หลังจากข้อเสนอครั้งที่สอง 47 ล้านปอนด์ถูกปฏิเสธ ในที่สุดข้อเสนอรอบสาม 55 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ถูกตอบรับจาก โวล์ฟสบวร์ก ชนิดยากจะปฏิเสธได้
นั่นคือจุดเริ่มต้นบทที่หนึ่งของ เดอ บรอยน์ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ถึงตอนนี้ผ่านไปแล้ว 5 ฤดูกาลในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เดอ บรอยน์ กวาดแชมป์กับ เรือใบสีฟ้า ไปแล้ว 7 โทรฟี่ และเข้าสู่ฤดูกาลที่ 6 อาจเพิ่มรวดเดียวกลายเป็น 11 โทรฟี่เลยก็เป็นได้ กับสถานการณ์ตอนนี้ที่ทีมกำลังมีลุ้น 4 แชมป์
แม้ เดอ บรอยน์ มีสัญญาจนถึงปี 2023 จากครั้งที่เซ็นเอาไว้เดือนมกราคมปี 2018 แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังมองเห็นคุณประโยชน์ของกองกลางสารพัดประโยชน์รายนี้อีกมาก จึงเพิ่มอายุของสัญญาเข้าไปอีกสองปี ไปสิ้นสุดในปี 2025 
เมื่อถึงช่วงซัมเมอร์นี้ เดอ บรอยน์ จะอายุครบ 30 ปี ดังนั้นหากอยู่ยาวจนครบอายุสัญญา ก็จะได้เห็นกองกลางเบลเยียมหมดสัญญาตอนอายุ 34 ปีพอดี และอาจทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรสุดท้ายก่อนแขวนสตั๊ด
ที่แน่ๆ ชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ จะกลายเป็นตำนานของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า แว็งซ็องต์ ก็องปานี, ดาบิด ซิลบา หรือ เซร์คิโอ อเกวโร่

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด