:::     :::

โทรฟี่สุดท้ายบอลไทยเพื่อลุยถ้วยเอเชีย

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 คอลัมน์ ONE MAN SHOW โดย แมน โกสินทร์
1,199
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
11 เม.ย.นี้ จะเป็นคำตอบแล้วว่า ชลบุรี เอฟซี หรือ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จะสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ซึ่งเป็นโทรฟี่ใบสุดท้ายของเมืองไทยไปครองได้

แน่นอนว่ามันมีความหมายต่อทั้ง 2 ทีมนี้ โดยเฉพาะแชมป์ที่จะได้เข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มของ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2022 ซึ่งนั่นจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ ให้กับบรรดาสโมสรต่างๆ

ในวันนี้เรามาดูกันว่าพวกเขาจะพร้อมแค่ไหน ในการลุยถ้วยน็อคเอ้าต์ เพื่อเถลิงบัลลังก์ครานี้พร้อมรับเงินรางวัล 5,000,000 บาท ให้ได้!!


แชมป์เท่ากันที่ 2 หน

ทั้ง 2 ทีมต่างมีเกียรติประวัติในถ้วย เอฟเอ คัพ เท่ากัน ในการคว้าแชมป์ 2 ครั้ง

เริ่มจาก ชลบุรี เอฟซี เข้าชิงทั้งหมด 3 ครั้ง หนแรกเกิดขึ้นในปี 2010 ซึ่งเล่นกันที่สนามศุภชลาศัย ปรากฏว่า พวกเขาชนะ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 ท่ามกลางผู้ชมทั้งสองทีมมากกว่า 15,000 คน

จากนั้นปี 2014 พวกเขาเข้าชิงครั้งที่สองกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หรือในชื่อเดิมคือ บางกอกกล๊าส เอฟซี ซึ่งถือว่าโดนเกมโต้กลับจุกอกไปเต็มๆ เนื่องจากแพ้ไป 0-1 จากการยิงของ ลาซารัส คาอิมบี้ แถมเจ้าตัวยังคว้านักเตะยอดเยี่ยม หรือ MVP มาครองได้อีกด้วย

ก่อนที่ปี 2016 จะเป็นแชมป์ร่วมกันถึง 4 ทีมคือ ชัยนาท ฮอร์นบิล , ชลบุรี เอฟซี , ราชบุรี มิตรผล เอฟซี และ สุโขทัย เอฟซี เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองเวลานั้น ก่อนที่จะมีการจับสลากหาทีมเข้าไปเล่นใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2017 รอบเพลย์ออฟ รอบสอง และเป็น "ค้างคาวไฟ" ที่ได้ไป

ด้าน สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นในปี 2017 จากการเข้ามาของ อเล็กซานเดร กามา ซึ่งรอบชิงชนะเลิศสามารถเอาชนะ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 4-2 

ต่อเนื่องมาถึงปี 2018 ยังเป็น อเล็กซานเดร กามา ที่ทิ้งทวนก่อนไปคุมทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่ง บิลล์ โรซิมาร์ กองหน้าชาวบราซิลซัดแฮตทริกจนคว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ หลังช่วยทีมชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 3-2 ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ


ไม่เคยดวลจุดโทษในรอบที่ผ่านมา

แม้ตามกฏของ เอฟเอ คัพ หากเสมอกันใน 90 นาที จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป 2 ครึ่ง ครึ่งละ 15 นาที ถ้ายังเสมอกันอีกก็ต้องดวลจุดโทษ เพื่อหาทีมเข้ารอบต่อไปทันที อย่างไรก็ตามทั้งคู่กลับชนะTKOในเกมใส่คู่แข่งมาทั้งหมด

ขุนพล "ฉลามชล" เริ่มต้นในรอบ 64 ทีม ด้วยการบุกไปชนะ กาฬสินธุ์ เอฟซี 7-0 ก่อนที่จะออกไปเยือน ลำพูน วอริเออร์ ในรอบต่อมา และยังสามารถเบียดเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1

จากนั้นรอบ 16 ทีม พวกเขามาเล่นในบ้านด้วยการชนะ สุพรรณบุรี เอฟซี 3-0 ก่อนที่รอบตัดเชือกยังเฝ้ารังถล่ม ตราด เอฟซี 5-1 และปิดท้ายด้วยรอบรองฯ เอาชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 ซึ่งทุกรอบ ชนินทร์ แซ่เอียะ ลงเฝ้าเสามาโดยตลอด

ฟาก "กว่างโซ้งมหาภัย" เริ่มต้นด้วยการใช้ มาซามิ ทากิ คุมทีม ในรอบ 64 ทีม เปิดบ้านเอาชนะ นนทบุรี ยูไนเต็ด 2-1 และรอบต่อมาชนะ สุโขทัย เอฟซี 1-0 ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ เอเมอร์สัน ในการกุมบังเหียน

ในรอบ 16 ทีม พวกเขาออกไปชนะ เมืองเลย ยูไนเต็ด 5-2 ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด ก่อนที่รอบ 8 ทีม จะเปิดบ้านชนะรองแชมป์ไทยลีก 3 รอบชิงแชมป์ประเทศอย่าง เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด 2-1 และรอบรองฯ ชนะ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 2-1


เงิน ACL ที่น่าถวิลหา

เมื่อเปิดขุมทรัพย์หรือยอดเงินของ เอเอฟซี แชมเปี้ยน์ลีก 2022 รอบแบ่งกลุ่ม แล้ว เป็นอะไรที่น่าลิ้มรสอย่างมาก ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แล้วสามารถเดินทางข้ามประเทศได้

แชมป์เอฟเอ คัพ  2020-2021 และ แชมป์ไทยลีก 2020-2021 จะได้เงินค่าเดินทาง  1,050,000 บาท ต่อ 1 นัด หรือออกไปเยือน 3 เกม ตกราวๆ 3,150,000 บาท

ส่วนโบนัสในแต่ละเกมของรอบแบ่งกลุ่ม ถ้าเสมอรับ 350,000 บาท และชนะได้ไป 1,750,000 บาท หรือถ้าสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ ที่จะเตะแบบเหย้า-เยือน ค่าเดินทาง รวมถึงโบนัสเสมอกับชนะ จะเท่ากับรอบแบ่งกลุ่มอีกด้วย


ขุมกำลังวัยใกล้เคียง

ถ้าเทียบกันในเรื่องนักเตะ ยอมรับเลยว่า ชลบุรี เอฟซี ค่อนข้างจะเสียเปรียบในเรื่องดังกล่าว เพราะอายุโดยเฉียบแล้วยังไม่ถึงวัยเบญจเพศด้วยซ้ำไป ถ้าหากตัด สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ออกไป

ยิ่งไม่นับบรรดาที่เป็นซีเนียร์อย่าง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์, นพนนท์ คชพลายุกต์, ภานุพงษ์ พลซา, ชนินทร์ แซ่เอียะ ก็จะเหลือรุ่นที่รองลงมาอย่าง วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, กฤษดา กาแมน และสหรัฐ สนธิสวัสดิ์

จากนั้นจะเป็น ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ทรงชัย ทองฉ่ำ, ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ และ พิทักษ์ พิมพ์แป้ ที่ทั้ง 4 คนนี้มีรายชื่อใส่ไปในบรรจุภัณฑ์ของ "ฉลามชล" เพื่อลุยใน เอฟเอ คัพ 2020 นัดชิง

แต่ว่า สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด มีข้อได้เปรียบตรงที่แกนหลกในการคว้าแชมป์ปี 2017, 2018 อยู่กันครบ ไล่มาจาก พิธิวัตต์ สุขจิตรธรรมกุล, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, สุริยา สิงห์มุ้ย, ชินภัทร์ ลีเอาะ, ชัยวัฒน์ บุราญ, สมคิด ชำนาญศิลป์

รวมถึงแข้งนอกที่ยังอยู่กับทีมอย่าง บิลล์ โรซิมาร์ กับดาวรุ่งอย่าง โชติภัทร พุ่มแก้ว ที่น่าจะมีส่วนร่วมกับทีม แต่ว่าน่าจะไม่มี เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยรวมแล้ว "กว่างโซ้ง"น่าจะดูดีกว่า

เพียงแต่ว่าเกมนัดเดียวมันสามารถจะตัดสินได้เลยว่าใครจะเป็นแชมป์ หากทีมใดได้ "โป้งเดียวจอด" รับรองว่าโทรฟี่นั้นจะไปอยู่ในมือทันที


ความเก๋าของกุนซือ

เอเมอร์สัน เปไรร่า อาจจะพาทีมจบที่ 4 ของตารางไทยลีก 2020-2021 เพราะฉะนั้นเขาเองก็อยากจะได้โทรฟี่นี้ เพื่อการันตีการกลับไปเล่นถ้วยเอเชียอีกครั้ง หลังจากไปหวดมาที่ กาตาร์ และได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลระดับทวีปมากที่เดียว

อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่า สะสม พบประเสริฐ เอง เป็นแม่ทัพที่มากไปด้วยประสบการณ์ของฟุตบอลถ้วย เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน ช่วงคุม การท่าเรือ เอฟซี แบบที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนวันนี้

เขาสามารถพาทีมเอาชนะทีมเก่าที่เคยเล่นและคุมทีมอย่าง บีอีซี เทโรศาสน ก่อนที่ปีต่อมา "โค้ชเตี้ย"จะพายอดทีมจากคลองเตยเข้าชิงฯ อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นโทรฟี่อย่างลีก คัพ ซึ่งคู่แข่งของพวกเขาก็คือ บุรีรัมย์ พีอีเอ หรือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในยุคนี้

ผลปรากฏว่า การท่าเรือไทย เป็นฝ่ายพลิกโค่นยักษ์ใหญ่แดนอีสาน ได้แบบสุดมันส์ 2-1 จาก วรวุฒิ วังสวัสดิ์ ตั้งแต่ น.4 และ จีรวัฒน์ มัครมย์ น.27 โดยเวลานั้น "โจ้ 5 หลา" ศรายุทธ ชัยคำดี กองหน้าตัวเก่งของทีม "สิงห์เจ้าท่า" ยังซิวแข้งยอดเยี่ยมไปครองอีกด้วย


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})