:::     :::

Tactical Analysis : "เมสัน กรีนวู้ด" ผู้นำแนวรุก ลูกศิษย์สายดูดวิชา

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน 2564 คอลัมน์ #BELIEVE โดย ศาลาผี
14,292
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การขึ้นมาเป็นผู้นำในแนวรุกของกรีนวู้ด การถ่ายทอดวิชาของคาวานี่ และเจาะแทคติกโดยละเอียดของโซลชาที่ใช้บรูโน่คาวานี่กรีนวู้ด เจาะแนวรับไบรจ์ตัน

ย้อนกลับไปในเกมที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเจอกับไบรจ์ตันแอนด์โฮฟอัลเบี้ยน เราเริ่มเกมกันได้ไม่สวยในเกมนั้นเมื่อถูกนำไปก่อนหากจำกันได้ และเป็นเกมที่มีข่าวร้ายว่าอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล จะไม่ได้ลงสนามยาวไปจนจบซีซั่นเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่เข่า

มาร์กซิยาลมีฤดูกาลที่ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะมันยากมากที่เขาจะทำประตูได้ใกล้เคียงสถิติ17ประตูในซีซั่นก่อนของตนเองทั้งที่ลงสนามพอๆกับปีก่อน ถึงแม้ว่าในเกมเจอแมนเชสเตอร์ซิตี้ดูเหมือนจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้บ้างก็ตาม

ไม่ว่าจะเป็นยังไง ในตอนนี้มาร์กซิยาลก็เจ็บยาวและพลาดการลงสนามในช่วงเวลาที่เหลือไปแล้ว ซึ่งก็ส่งผลกระทบกับยูไนเต็ดพอสมควร แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นตัวแบกการยิงประตูหลักๆของทีม แต่ที่ผ่านมาเขาก็มีความฟิตที่สามารถลงสนามให้ทีมได้ตลอดและมักจะได้ลงเป็นตัวจริงอยู่บ่อยครั้ง

แต่ในด้านของระบบการเล่นทั้ง systemของแมนยูไนเต็ดนั้นไม่ได้ทำเกมรุกโดยใช้กองหน้าตัวเป้าแบบหมายเลข9สไตล์โบราณแต่อย่างใด โดยศูนย์หน้าตัวกลางของทีมจำเป็นต้องเล่นให้ครบเครื่องและหลากหลายเพื่อทีมมากขึ้น ซึ่งก็ต้องสามารถช่วยทีมได้ในหลายๆแอเรียในสนามไม่ใช่เพียงแค่รอบอลหน้าประตูอย่างเดียว

กองหน้ายูไนเต็ดจะต้องสามารถพักบอล เชื่อมเกม และเล่นในจังหวะที่ต้องหันหลังให้โกลได้ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องสามารถใช้เล่นเกมสวนกลับได้อีกด้วย ซึ่งการเล่นทั้งหมดนี้ต้องใช้คุณสมบัติสำคัญๆหลากหลายอย่างของกองหน้าในการเล่น ซึ่งมันต้องมากกว่าการเป็นแค่กองหน้ารอยิงแบบตัวpoacher ที่รอวิ่งชิงจังหวะกับแนวป้องกันของคู่แข่งไปยิงประตูอย่างเดียวเท่านั้น

สองปีที่ผ่านมาอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล สามารถเล่นในหน้าที่ทั้งหลายที่กล่าวมาได้อย่างดีในทุกๆแอเรีย ยกเว้นพื้นที่สุดท้าย เพราะแม้ว่าปีก่อนเขาจะยิงประตูได้มากมายแต่โซลชาก็ยังกล่าวว่า เขาต้องการให้กองหน้าพัฒนาตัวเองให้หิวกระกายในการพังประตูมากกว่านี้ และเน้นทำประตูประเภทที่เป็น ugly goal หรือลูกยิงประเภทที่ไม่ต้องสวย แต่เน้นเข้าบ้างก็ได้

การที่มาร์กซิยาลไม่สามารถเล่นแบบกองหน้าสายfox in the boxให้กับทีมเราได้นั้น คือหนึ่งในปัญหาของทีมที่ทำให้เราไม่ค่อยจะเจาะทีมที่มาตั้งรับต่ำ(low block)ได้สำเร็จ ทีมจำเป็นต้องมีอะไรที่แตกต่างออกไปมากกว่านี้ เป็นต้นว่า การเล่นที่ไม่สามารถดักทางได้ง่ายๆ และมีการโจมตีคู่แข่งที่แตกต่างออกไป

จึงเป็นเหตุผลในการเข้าทีมมาของ Edinson Cavani

คาวานี่เป็นกองหน้าที่มีความเป็นหน้าเป้าสไตล์โบราณแบบเบอร์9อยู่ในตัวค่อนข้างมาก การเคลื่อนไหวในกรอบเขตโทษของเขามันพิเศษสุดๆ และดูท่าทางแล้วเขาจะมีพลังงานอนันต์ที่ทำให้วิ่งแบบนั้นได้ทั้งวันเหมือนกัปตันอเมริกาที่สู้กับไอร์ออนแมนยังไงยังงั้น

ดาวยิงอุรุกวัยรายนี้เริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และเราคงยังไม่ลืมท่าอัลติของพี่แกที่พุ่งโหม่งในเกมคัมแบ็คกับเซาท์แธมพ์ตัน ที่สุดท้ายเราชนะไป 3-2

trademark goal สุดๆ

สามวันก่อนหน้าเกมเจอนักบุญดังกล่าว คาวานี่ได้ลงเต็มๆในเกมที่เอาชนะอิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ไป ซึ่งมีการเคลื่อนไหวของเขาที่สามารถดึงเอากองหลังของทีมนกฮูกแห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลนี้ให้ตามประกบเขาไปได้เป็นพวง ทำให้แนวรับของอิสตันบูลเปิดช่องว่าง บรูโน่จึงได้ส่องโล่งๆเป็นประตูสุดสวย (ช็อตก่อนภาพนี้คือการที่คาวานี่"วิ่ง"ดึงตัวประกบไปทางขวา)

ซึ่งในจังหวะยิง คาวานี่ก็ยัง"ไม่หยุดขยับ"แต่อย่างใดแม้ว่าจะเป็นวินาทีเดียวกับที่บรูโน่ยิง แต่เขายังเคลื่อนที่เพื่อทำให้ตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด เผื่อจะซ้ำบอลดาบสองได้

การได้กองหน้าขนานแท้เข้ามา จึงเกิดความหวังกันว่าการเคลื่อนที่ของคาวานี่ในกรอบจะเป็นตัวอย่างให้แก่แนวรุกวัยกระเตาะของแมนยูไนเต็ดทั้งหลายได้ ไม่ว่าจะเป็นมาร์กซิยาล, เมสัน กรีนวู้ด และมาร์คัส แรชฟอร์ด นักเตะเหล่านี้จะสามารถเรียนรู้และเลียนแบบเพื่อเพิ่มอาวุธในการเล่นของตัวเองได้

แต่เรื่องดังกล่าวยังคงไม่เกิดขึ้น

มาร์กซิยาลยังคงเอื่อยเกินไป ขณะที่การทำประตูของแรชฟอร์ดยังคงมีแค่มิติเดียวอยู่เช่นเดิม เพราะส่วนใหญ่มักจะยิงได้จากจังหวะ counter-attack หรือไม่ก็จากการเล่นในแนวหลัง นอกจากนี้แรชฟอร์ดยังทำประตูด้วยลูกโหม่งราว5ลูกเท่านั้นในปีนี้ แม้ยูไนเต็ดจะครอสบอลที่มากขึ้นกว่าเดิมในฤดูกาลปัจจุบัน

ดูเหมือนว่าแรชฟอร์ดจะดูดวิชาลูกโหม่งมาจากซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไม่สำเร็จ ปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่ค่อยทำประตูด้วยลูกโหม่งเท่าไหร่นัก

ก่อนจะเริ่มเกมดังกล่าวกับไบรจ์ตัน กรีนวู้ดได้โหม่งเพียงแค่ครั้งเดียวในซีซั่นนี้จากการครอสของทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ ในเกมเจอคริสตัลพาเลซ เกมแรกของฤดูกาล

กองหน้าของยูไนเต็ดทุกคนในทีมดูเหมือนว่าจะมีคนเดียวที่เรียนรู้จากคาวานี่ในการนำการเคลื่อนที่ดังกล่าวมาใช้ในเกมการเล่นของตัวเองนั่นก็คือแดน เจมส์

แต่ความเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว เมื่อประตูชัยช่วงท้ายเกมที่เอาชนะไบรจ์ตันได้นั้น เมสัน กรีนวู้ดทำสิ่งที่เรารอคอยมานานแสนนาน นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน "วิธีการเล่น" ที่เขาใช้งานเป็นอาวุธสำคัญในเกมนี้

บรูโน่ แฟร์นันด์ส ข้ามบอลไปหาพื้นที่เปิดทางด้านตรงข้ามซึ่งมีปอล ป็อกบาอยู่ และป็อกบาก็ยิงแป้กไม่เต็มเท้าเท่าไรนัก แต่ว่าคนที่จ้องจังหวะนั้นอยู่คือกรีนวู้ด ในจังหวะที่ยิง เขาไม่ได้ "ยืนดูเฉยๆ" แต่กรีนวู้ดขยับตัวตลอดเวลาในจังหวะนั้นด้วย (คล้ายๆสิ่งที่คาวานี่ทำตอนบรูโน่ยิงใส่อิสตันบูล)

ทันทีที่เจ้าไม้เขียวเห็นป็อกบาพยายามจะ"ยิง" เขาก็ขยับตัวเข้าไปหาตำแหน่งที่มีโอกาส"ซ้ำ"ทันที

Instinct

 แต่จังหวะนี้ไม่ได้เป็นการเข้าซ้ำ กรีนวู้ดพุ่งตัวเข้าไปหาบอลที่ยิงพลาดเข้ามาหาหน้าปากประตูทันทีตามสัญชาตญาณกองหน้าแบบที่แฟนบอลอยากเห็น ซึ่งมันมาจากความชาญฉลาดของเขาที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา และลูกนี้มันทำให้เรานึกย้อนไปถึงลูกตีเสมอของคาวานี่ที่ยิงใส่เซาท์แธมพ์ตันได้สำเร็จจริงๆ

หาตำแหน่งตลอดเวลา จ้องทิศทางของบอลตาไม่กระพริบ และอาศัยความขลุกขลิกที่อาจจะเกิดขึ้น เตรียมตัวพุ่งเข้าไปหาบอลทันทีทันใด นั่นแหละ!

ประตูที่เราได้เห็นลูกนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้นเองที่เป็นความสามารถที่เพิ่มเติมขึ้นมาในการเล่นของเมสัน กรีนวู้ด ซึ่งจริงๆก็ยังเร็วไปนั่นละครับที่จะบอกว่าตอนนี้เขาดูดท่าไม้ตายมาใช้ได้แล้วเต็ม100% ยังเร็วไปที่จะคาดหวังว่าเขาจะทำแบบนี้ได้บ่อยๆอย่างที่พวกเราหวัง

แต่ประตูนี้บ่งบอกว่า กรีนวู้ดนั้นสามารถทำมันได้ และการเจ็บยาวของมาร์กซิยาลตลอดซีซั่นก็ถือเป็นโอกาสในการการันตีตำแหน่งกองหน้าตัวจริงในroleการเล่นเป็น Central Forward แบบเต็มๆ เนื่องจากกองหน้าอีกคนอย่างคาวานี่เองก็ไม่สามารถลงเล่นทุกนัดติดๆกันไหว

การโชว์ฟอร์มสวยๆของคาวานี่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดนั้นขาดความต่อเนื่อง เพราะหลังจากยิง3ประตู กับอีก1แอสซิสต์ จาก131นาที จากการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก แต่เขาต้องใช้เวลาถึง 877นาที ในการทำอีก 3ประตูกับ1แอสซิสต์ต่อมา (ปัจจุบันยิงได้ 6ประตู 2แอสซิสต์ ในพรีเมียร์ลีก จากการลงสนาม1001นาที)

ผลงานดังกล่าวถือว่าคาวานี่ยังไม่สามารถเข้ากับยูไนเต็ดชุดนี้ได้แบบสมบูรณ์100% เพราะเรายังไม่สามารถเห็นมิติการเก็บบอล และเกมสวนกลับจากตัวคาวานี่ได้ชัดเจนมากเท่าใดนัก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดต้องการให้กองหน้าตัวกลางของทีมทำสิ่งนี้

การเล่นของยูไนเต็ดใช้การเซ็ตบอลขึ้นหน้าด้วยนักเตะoutfieldทุกคนในสนาม (จึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมลินเดอเลิฟมักจะได้ลงสนามก่อนไบญี่ ในยามที่ฟิตเต็มสูบพร้อมกันทั้งคู่)

แมนยูไนเต็ดใช้ความสดของบรูโน่คู่กับความฟิตของแรชฟอร์ดในช่วงต้นซีซั่นเป็นหลัก ซึ่งในยามฟิตเต็มร้อยการเล่นของพวกเขาสามารถเอาชนะได้ทีละหนึ่งถึงสองคน และช็อตมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้

แต่ในช่วงสี่เดือนหลังที่แรชฟอร์ดไม่ฟิตเต็มร้อย ทีมจึงต้องโฟกัสการเล่นของบรูโน่จากตรงกลางสนามซึ่งพื้นที่ก็จะแคบเข้ามามากกว่าเดิม ซึ่งนั่นทำให้บรูโน่เล่นลำบากขึ้น และเราก็จะเห็นคู่แข่งที่ส่งตัวประกบมาจับ man-mark ใส่บรูโน่แทบจะทุกเกม เพราะว่าพวกเขารู้ว่าแรชฟอร์ดไม่สามารถทำอะไรได้หากเหลือแค่พื้นที่แคบๆให้เล่น

และเมื่อบรูโน่โดนประกบ หากว่าคาวานี่ไม่มีส่วนร่วมในการลงไปช่วยทำเกมได้อีกตัว เท่ากับว่าแมนยูไนเต็ดจะเล่นเกมในสนามจริงๆได้แค่เพียง "8ตัว" เท่านั้น เพราะคาวานี่ถูกตัดออกจากเกม ในขณะที่แรชฟอร์ดเล่นพื้นที่แคบๆไม่ได้ ซึ่งมันทำให้เราไม่ใกล้เคียงกับการสร้างสรรค์เกมบุกได้เลย

การเจอกับไบรจ์ตันดูทรงแล้วน่าจะเป็นเกมที่เขาทำผลงานได้ดี พวกเขาเป็นทีมที่กล้าเปิดเกมใส่คู่แข่ง จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ช่วงต้นคาวานี่เริ่มเกมได้ดีทีเดียว แต่จากนั้นพอไบรจ์ตันขึ้นนำเร็วได้ พวกเขาก็เลิกดันสูง และถอยต่ำลงไปรับลึกทันที (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใดในการพาทีมมาเจอกับแมนยูไนเต็ด ถ้าพูดกันตามตรง)

ข้อบกพร่องของคาวานี่เริ่มเกิดขึ้นมา เมื่อเขาพาบอลไปบุกเองไม่ได้

ทุกคนทราบดีว่าคาวานี่ฟิตเต็มถังวิ่งได้ไม่หยุด ซึ่งเกมเจอไบรจ์ตันดังกล่าวเขาก็พยายามวิ่งเข้าไปบีบใส่แนวรับแล้ว แต่ส่วนใหญ่มักจะวิ่งเพรสอยู่คนเดียวโดดเดี่ยว ผลลัพธ์จึงเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อเขาต้องเหน็ดเหนื่อยมาก และถ้าด้านหลังไม่มีใครตามมาช่วยเพรสมันจะทำให้แนวรับยูไนเต็ดถ่างออกจนเกิดช่องว่างให้คู่แข่งขึ้นบอลได้

คาวานี่มีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้อย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นในเกมดังกล่าว หลายๆเกมที่เจอการตั้งรับต่ำ มันทำให้คุณต้องวิ่งพล่านโดยไม่มีบอลตลอดเวลา ซึ่งวิธีการเจอแทคติกแบบนี้ เวลาเจอเกมรับลึก ทีมจำเป็นต้องมีคนวิ่งสอดระหว่างไลน์ รวมทั้งมีตัววิ่งทำลายแนวรับเกิดขึ้น ซึ่งยูไนเต็ดจะเล่นได้ดีที่สุดเมื่อฟร้อนท์ทรีด้านหน้าเคลื่อนที่ไปรอบๆอย่างอิสระ แต่เมื่อโดนนำ 1-0 นักเตะคนเดียวในแดนหน้าที่พยายามเติมเกมบุกจากหลายๆจุด และพยายามสร้างไลน์วิ่งนั้นมีเพียงแรชฟอร์ดตัวเดียวเท่านั้น

คาวานี่โดนล็อคตายสนิทในพื้นที่ตรงกลาง จริงๆแล้วบางทีเขาน่าจะลองวิ่งฉีกแนวป้องกันดูบ้าง แต่ว่าตัววิ่งทำลายแนวรับในเกมนี้เป็นกองกลางที่เติมสูงขึ้นมาอย่างป็อกบา หรือบรูโน่แทนในหลายๆจังหวะ

เป็นป็อกบาที่เติมขึ้นไปรับบอล

อย่างช็อตที่ลินเดอเลิฟพยายามมองหาตัวที่จะเปิดบอลไปให้ คาวานี่ยังคงนิ่งสนิท และเป็นบรูโน่ที่เป็นคนพยายามทำลายแนวรับ และวิ่งทำทางให้ลินเดอเลิฟ

คาวานี่ตรงกลางไม่ได้ขยับส่ายหาตำแหน่ง เป็นบรูโน่ที่ขยับตัดมาทางขวา

คาวานี่โดดเด่นในเรื่องการเคลื่อนที่ แต่เกมดังกล่าวเราไม่มีโอกาสได้เห็นการเคลื่อนที่ของเขาเลย หลายๆครั้งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เคยเป็นมาก่อนซึ่งมัน ผิดวิสัยมากๆ ทั้งการหาตำแหน่ง ทั้งการขยับตัวตลอดเวลา จนเกิดข้อสังเกตว่า มันน่าจะมีเรื่องของแทคติกที่ถูกกำกับลงมาในการยืนpositioningค้ำ "หลังสาม" ของไบรจ์ตันตลอดเวลา อย่างแน่นอน

เพราะเขาไม่ออกจากตำแหน่งเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม ซึ่งผิดแปลกไปจากเดิม เพราะปกติคาวานี่คือกองหน้าที่ลงมามีส่วนร่วมกับเกมค่อนข้างสูง

อย่างในภาพด้านล่างนี้ ช็อตที่ลุค ชอว์ได้บอลพยายามกระชากเข้ามา คาวานี่ก็วิ่งหาตำแหน่ง แต่พอเห็นว่าชอว์ไม่สามารถเล่นต่อได้ คาวานี่ก็หยุดวิ่งทันที นี่ก็แปลกทั้งที่ปกติพี่แกจะไม่หยุดเล่นง่ายๆ

ช็อตนี้พอชอว์เลี้ยงเข้ามาเสียบอล คาวานี่ทางขวาก็หยุดก้มหน้าเดินทันที

ส่วนหนึ่งจึงเกิดขึ้นมาเพราะฟอร์มที่ดรอปลงเนื่องจากร่างกายเพิ่งฟื้นฟูมาในช่วงก่อนหน้านี้ หากคิดปัจจัยเรื่องสภาพร่างกายก็พอจะเข้าใจได้อยู่ เพราะมันผิดปกติมากจริงๆ

ช่วงท้ายเกมบรูโน่ยิงใส่โกลไบรจ์ตันอย่างโรเบิร์ต ซานเชซจนบอลกระฉอก ซึ่งนักล่าตัวยงอย่างคาวานี่ ปกติจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่อ่านการเคลื่อนไหวล่วงหน้าและรอฉกฉวยความผิดพลาดผู้รักษาประตูเป็นประจำ ซึ่งคล้ายกับเกมที่เขายิงใส่ฟูแล่มได้

ในจังหวะโกลเซฟกระฉอกดังกล่าว เขาก็ยังวิ่งเข้าหาผู้รักษาประตู แต่เมื่อบอลกระฉอกออกมาจริงๆเขากลับหยุดเล่นอีกครั้ง

จริงอยู่ว่าบอลมันกระเด็นย้อนหลัง เขาหันกลับไปแย่งบอลคู่แข่งไม่ทันอยู่แล้ว แต่เป็นอีกครั้งที่เขาหยุดเล่นและไม่แม้แต่จะลอง และก็กลายเป็นเมสัน กรีนวู้ด ที่ได้โอกาสยิงแต่หลุดกรอบออกไป เนื่องจากแดน เจมส์ที่จมูกไวและยังไม่ยอมแพ้ วิ่งเข้ามาถึงบอลได้ก่อน

เกมดังกล่าวกองหน้าชาวอุรุกวัยได้บอล 17ครั้ง จาก81นาที ส่วนเจมส์เล่น18นาที สัมผัสบอล10ครั้ง ซึ่งการสัมผัสบอล 5 ครั้งก่อนหน้า 17 ครั้งดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนที่ไบรจ์ตันจะนำ 1-0

สามารถพูดได้ว่าคาวานี่ล้มเหลวในการมีส่วนร่วมกับเกมในแมตช์นี้ และยังรวมกับเรื่องที่ว่าจังหวะเสียประตูแรกก็เกิดจากการเสียบอลในช็อต50/50จากคาวานี่อีกด้วย

เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวออกไป นักเตะในสนามที่มีดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครยิงประตูชัยให้ทีมได้เลย กองหน้าหัวหอกกลายเป็นเมสัน กรีนวู้ดแทน และตัวด้านข้างใช้เป็นบรูโน่กับแดนเจมส์ ในฝั่งซ้ายและขวาตามลำดับ โดยปรับให้ดอนนี่มาเล่นกลางรุกตำแหน่งเบอร์10แทนซึ่งก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจอะไรให้กับแฟนบอลที่นั่งดูอยู่ได้เลยว่าเราจะทำได้

แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร กลายเป็นว่ายูไนเต็ดมีผู้เล่นที่เคลื่อนที่ทั้งหมด4คนในสนาม ไม่มีใครยืนเป็นเป้านิ่งอีกต่อไป โดยที่การเคลื่อนที่ดังกล่าวนี้กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญให้กับยูไนเต็ดในครึ่งหลัง โดยเริ่มที่ฟานเดอเบควิ่งฉีกมาด้านมุมธงในยามที่บอลอยู่กับลุค ชอว์ โดยดึงกองหลังออกมาจนทำให้พื้นที่ว่างด้านหลังมันเปิดกว้างให้แก่บรูโน่ ที่วิ่งเข้าไปยังจุดที่ว่างขึ้นมานั้น

ชอว์วางบอลเข้าไปอย่างไร้ที่ติถึงบรูโน่ที่เข้าไปในกรอบเรียบร้อยและพลิกบอลมามองว่าเล่นจุดไหนต่อได้มาก

จากนั้น"การเคลื่อนที่"อีกหนึ่งของแดเนียล เจมส์ ได้วิ่งหุบเข้ามายังเสาใกล้ของการเล่นช็อตบรูโน่นั้น และดึงกองหลังตามเขามาเสาใกล้อีกหนึ่งตัว จนกระทั่งพื้นที่ว่างเปิดกว้างจนกลายเป็นทุ่งหญ้าแห่งความฝัน ณ เสาสองซึ่งทำให้ป็อกบาเติมเข้ามาได้

และจากจังหวะนั้น ทุกอย่างก็ลงล็อค

ยังมีแมตช์เหลืออีกเยอะให้คาวานี่พิสูจน์ตัวเองได้ ทั้งการเจอลิเวอร์พูล ลีดส์ และเลสเตอร์ในเกมลีก รวมถึงยูโรปาลีกที่กำลังกรุยทางเข้าไปด้วย แต่การเจอกับทีมตั้งรับลึก โซลชาจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและให้โอกาสกับกรีนวู้ดในตำแหน่งนี้ดูบ้าง ซึ่งนายใหญ่ปีศาจแดงรายนี้ก็คอนเฟิร์มเรื่องราวดังกล่าวด้วยตัวเองในการให้สัมภาษณ์กับ BT Sport เอาไว้เกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างคาวานี่กับกรีนวู้ด

"เขาได้เรียนรู้มาจากเอดี้นะ  เพราะในช่วงเวลาที่เอดินสันอยู่ที่นี่ ตัวเขาเองจะไม่ต้องเล่นกับลูกบอลแค่อย่างเดียวเป็นหลัก แต่จะต้องใช้การเคลื่อนไหวในลักษณะนั้นบ้าง เขาต้องการสกอร์ให้กับตัวเอง เพราะเรารู้ดีว่าเขามีพรสวรรค์ขนาดไหน"

"เกมคืนนี้เขาเล่นได้ดี และเมื่อยิงประตูแบบนี้ได้อีก เราก็ยิ่งรู้ว่าเขาจะเก่งขึ้นไปอีกมาก"

"บางทีเวลาลงไปเล่นกองหน้าตัวกลางมันอาจจะเล่นไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ และคุณต้องอดทนรอโอกาสอย่างมากในกรอบเขตโทษ ซึ่งแน่นอนการเจอคู่แข่งเซ็ตเกมรับด้วยแผน 5-4-1 มันจะเจาะยากก็จริง แต่สุดท้ายเราก็ทำสำเร็จ"

การให้สัมภาษณ์ของโอเล่เห็นได้ชัดเจนว่าเขาชื่นชมเมสัน กรีนวู้ดมากเพียงใด และยิ่งเป็นตัวตอกย้ำให้เราได้เห็นความสำคัญของคาวานี่อีกอย่างในเชิง "แทคติก" ของกองหน้าตัวเป้าที่จำเป็นต้องยืนพิงอยู่กับdefensive lineของคู่แข่ง ในลักษณะของการเป็นกองหน้าแบบตัวpoacher (คล้ายๆพวกชิชาริโต้ อินซากี้) ที่รอชิงจังหวะกับกองหลังและเข้าทำประตูนั่นเอง

จริงอยู่ว่าคาวานี่ได้บอลน้อยมากๆ แต่ในเชิงแทคติกเห็นได้ชัดเจนว่าโอเล่กำลังจะทำอะไร เพราะสิ่งผิดปกติที่มันผิดวิสัยอย่างมากที่เห็นจุดสังเกตบางอย่างที่คาวานี่นั้น แทบจะ "ไม่ลงต่ำมาจากตำแหน่งของตัวเองเลย"

มันผิดปกติมาก เพราะเกมต่อมาในการเจอกับกรานาด้า การลงสนามมาเพียงแค่ไม่นานคาวานี่ก็ลงต่ำมาช่วยต่อเกมบ่อยครั้งตามปกติ เพราะคู่แข่งไม่ได้ตั้งรับลึกอย่างเดียว ในครึ่งหลังที่พวกเขาดันเกมมาบุก

มิติในการที่สามารถ "ยืนในกรอบเขตโทษได้" ของคาวานี่ เห็นชัดเจนว่ามันแตกต่าง และเป็นสิ่งที่โอเล่ต้องการในการจับให้เขายืนเป็นตัวค้ำกลางเช่นนั้น เพื่อที่จะดึง"แนวป้องกันหลัก"ของคู่แข่งที่เป็นผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คทั้งสองคน ให้ตามไปประกบติดตัวเขาได้

ไม่มีกองหลังคนไหนในโลกนี้หรอกที่จะยอมให้คาวานี่ขยับตัวฉีกออกห่างการประกบออกไปแม้แต่นิดเดียว เพราะมันแปลว่าถ้าบอลตกลงมาเข้าตีนเอดินสัน คาวานี่ โอกาสเสียประตูก็มีสูง

โอเล่วางแผนลงมาแก้เกมในครึ่งหลัง เพื่อยิงประตูคืนจากไบรจ์ตันให้ได้ ด้วยการสั่งให้ "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" ทำการวิ่งขึ้นหน้าด้วยForward Run เข้าพื้นที่สุดท้ายมากขึ้น และดันขึ้นไปเป็น "Second Striker" เพื่อที่จะรอรับบอลจากตัวคุมเกมและจ่ายบอลอย่างปอล ป็อกบา หรือ ลินเดอเลิฟ จากแนวด้านหลัง

จุดที่น่าสนใจคือ หากเกมนั้นไม่มี "คาวานี่" ที่ดึงตัวประกบค้ำตรงกลาง บรูโน่ที่วิ่งเติมเข้าไปพื้นที่สุดท้ายนั้นก็จะถูก "จับตาย" ในกรอบเขตโทษอีกตัวนึงทันที

สาเหตุสำคัญว่าทำไมถึงต้องใช้Forward Runในการเติมเกมรุก เป็นเพราะว่าหากไม่วิ่งขึ้นหน้า เข้าไปจากวงนอกนั้น อาจโดนคู่แข่งประกบได้ง่ายๆ แต่การสอดจากวงนอกเข้ามาทำให้การดักทางของคู่แข่งยากมากๆเพราะไม่รู้ว่าจะวิ่งไปตรงไหน

นี่คือการแก้เกมในครึ่งหลังที่ชัดเจนมากๆ ที่แฟนผีบางส่วนยังมองว่าพักครึ่งโอเล่ไม่ได้ทำอะไรเลย(เพราะไม่ได้เปลี่ยนตัว) แต่จริงๆแล้วหากสนใจดูแทคติกอย่างละเอียด ก็จะเห็นได้ไม่ยาก อยู่ที่อคติของแต่ละคนเท่านั้นเอง

และนี่คือหลักฐานที่ว่าในครึ่งหลัง ของการเล่นจากบรูโน่ ป็อกบา โดยมีคาวานี่เป็นเหยื่อบูชายัญประหนึ่ง Lex Luthor ตัวปลอม ในช่วงท้ายของ Justice League Snyder's Cut ที่เป็นตัวยอมโดนขังอยู่ข้างในคุกแทนตัวจริง(ที่หนีออกไปแล้ว)เช่นนั้น

โอเล่กำชับแทคติกให้คาวานี่ประคองตำแหน่งค้ำกลางไว้เพราะจุดประสงค์ในการ 'ล่อผู้คุมให้ติดตัวอยู่ตลอด' เพื่อไม่ให้แนวป้องกันไบรจ์ตันสามารถผ่อนการป้องกันตรงกลาง และอาจจะส่งแนวรับขยายออกไปเล่นงานตัววงนอกได้

ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ป็อกบาเล่นได้ลำบากมากขึ้น ถ้าแนวรับไบรจ์ตันขยายออกมา เพราะไม่มีใครดึงแนวรับตรงกลางไว้

แอ๊ะแอ๋!!!

ส่วน "Lex Luthor ตัวจริง" อย่าง "บรูโน่ แฟร์นันด์ส" ก็ออกไปอยู่นอกคุกที่ไร้การป้องกัน และโจมตีคู่แข่งอย่างอิสระทันที ดังที่กำลังจะอธิบายเรื่องต่อไปนี้ ในการที่ผู้จัดการทีมได้มีการเปลี่ยนแทคติกมาในช่วงพักครึ่ง จากครึ่งแรกเราไม่เห็นการเล่นลักษณะนี้ได้เลย

แคปมาให้ดูทีละช็อตๆว่า โอเล่"จงใจ"ขนาดไหน และใช้มันจนกระทั่งกระซวกประตูขึ้นนำช่วงท้ายเกมได้สำเร็จ

ทันทีที่เริ่มเกมมาแค่40วินาที บรูโน่Forward Runขึ้นหน้าทันทีอย่างชัดเจนโดยไม่ได้เป็นตัวครองบอลและเปิดเกมรุกเองเหมือนปกติ ส่วนทางขวาเห็นชัดเจนว่าคู่แข่งใช้ตัวล็อคคาวานี่ถึง3ตัวด้วยกันที่เขาดึงตัวประกบไปได้


ยังไม่ถึง2นาที บรูโน่ทำการForward Runขึ้นหน้าอีกครั้งไปรับบอลจากชอว์ ดันขึ้นไปสูงกว่าหน้าเป้าอย่างคาวานี่ซะอีก



ภาคการยืนตำแหน่งเวลาเล่นจริงๆ แทบจะเป็น 4-2-4 เพราะบรูโน่สอดขึ้นไปเป็นกองหน้าตัวที่2อยู่หลังคาวานี่แล้ว


ช็อตนี้จะแจ้งเรื่องแทคติกที่สุด เพราะยังไม่ถึง4นาทีดีของครึ่งหลัง บรูโน่วิ่งขึ้นหน้าไป4-5ครั้งแล้ว ช็อตนี้เขาฝากบอลต่อให้ป็อกบาทางขวา จากนั้นพี่หนวดก็ "Forward Run" ขึ้นหน้าไปยังจุดนับพบบริเวณสีแดงทันที

และก็.. เป็นอย่างในภาพด้านล่าง

เกือบจะได้ร้องว่า "Gotcha!" ป็อกบาในฐานะcontrollerของครึ่งหลัง วางบอลให้บรูโน่ที่วิ่งขึ้นหน้า แต่เสียดายว่าจังหวะนี้ไม่ตรง ไม่งั้นได้หวดดอกนี้แล้ว


นี่ก็อีกจังหวะ เหมือนเดจาวู แต่เป็นคนละช็อตจริงๆ สังเกตตำแหน่งบรูโน่ ค้ำสูงยิ่งกว่าเมสัน ไม้เขียวอย่างชัดเจนในยามเข้าทำ


นี่ก็ชัดเจน ภาพชินตาเดิมๆที่บรูโน่เป็นคนถือบอล รอเปิดเกมนั้นหายไป และกลายเป็นเขาที่วิ่งสูงขึ้นหน้าไปเป็นตัวเข้าทำในกรอบเขตโทษแทน

แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่บรูโน่กลับมาทำเหมือนช่วงครึ่งแรก คือลงมาเล่นต่ำ หรือหุบเข้าไปเล่นตรงกลางในพื้นที่หน้าแผงหลัง แนวรับไบรจ์ตันที่แพ็คเกมบริเวณนี้จะเข้าTackle + Intercept ใส่ฝ่ายตรงข้ามที่แหยมเข้ามาทันทีตามแทคติก

แน่นอนว่าจังหวะนี้ บรูโน่ไม่รอด และก็เสียบอลไป

สัญญาณเตือนไบรจ์ตัน กับForward Runภาพที่8ของบรูโน่ ที่ได้รับการวางบอลมาจากแนวหลังอย่าง"ลินเดอเลิฟ"(อีกแล้ว) ทางขวาคาวานี่ก็ดึงตัวประกบได้ครั้งละ2คนเหมือนเคย


ช็อตนาทีที่60 น่าจะเป็นช็อตที่ชัดเจนที่สุดของการวิ่งขึ้นหน้าโดยบรูโน่ ที่ในรูปนี้ต้องรีบแคปให้ทัน เพราะเขากำลังจะลับขอบจอไปแล้วทางซ้าย ในขณะที่ป็อกบาซึ่งเตรียมตัวเบิ้ลขึ้นหน้าแล้วนั้น ก็ถูกบรูโน่อ่านเพลย์ช็อตนี้ขาดกระจุย และจากนั้น...

ใช่แล้วครับ "แทคติกล้วนๆ"

แค่15นาทีแรกของครึ่งหลัง บรูโน่ทำForward Runเกือบสิบครั้งแล้วแบบเน้นๆจนได้โอกาสดวล1:1กับโกลในที่สุด แต่ยังไม่ได้ประตูในจังหวะนี้

และแล้วการกดดันแดนสูงก็ทำให้ยูไนเต็ดตีเสมอสำเร็จในอีก2นาทีต่อมาจากการตัดบอลของแมกไกวร์ขึ้นมาได้ และคาวานี่ที่ฮึดลูกขยันเข้าไปแย่งบอลจนหลุดมาเข้าทางบรูโน่ ซึ่งเขาก็พาบอลขึ้นหน้ามา และไหลเน้นๆแอสซิสต์ให้แรชฟอร์ดยิงสวนเข้าไปอย่างสุดคมได้สำเร็จ


หลังจากได้ประตูตีเสมอจากแรชฟอร์ด บรูโน่ก็ยังคงจู่โจมในแดนสูงอยู่

การเล่นของเขาแยกออกจากพื้นที่มิดฟิลด์ขึ้นไปเล่นในพื้นที่กองหน้าแทบทุกครั้งดังภาพด้านบน ทำแบบนี้จนถึงท้ายเกม ในที่สุดก็มาถึงช็อตที่ทุกคนรอคอยข้างล่างนี้

ยูไนเต็ดใช้การเล่นโดยไม่มีบอลของVDBในการดึงตัวประกบอย่างเบนไวท์ ออกมา สร้างแทร็ควิ่งให้บรูโน่ที่Forward Runวิ่งทำทางขึ้นหน้าไปในสเปซดังกล่าวทันที และ..

เป็นอีกครั้งที่Second Strikerอย่างบรูโน่ ได้บอลในพื้นที่อันตราย และยืนลึกเข้าไปยิ่งกว่ากองหน้าตัวกลางอย่างกรีนวู้ดเสียอีก หลังจากช็อตนี้ทุกคนก็คงจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น


เพลย์สำคัญในกรอบเขตโทษจังหวะได้ประตูนี้ อาศัยการเล่นของผู้เล่นทุกตัวในกรอบเขตโทษ จากจังหวะเปิดจากจุดอันตรายของบรูโน่ แฟร์นันด์ส สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

1.แดเนียล เจมส์ วิ่งหุบลากตัวประกบเข้ามาตรงกลาง เปิดพื้นที่ให้ป็อกบาทางขวา

2.พื้นที่ตรงกลางของไบรจ์ตันยังคงแพ็คแน่น และล็อคตายเมสัน กรีนวู้ดใน "คุกอนันตกาล" (Endless Prison) ไม่ต่างอะไรกับคาวานี่ โดนล้อมหน้าล้อมหลัง3ตัว

3.ปอล ป็อกบา คือเป้าหมายที่แท้จริงของลูกจ่ายโบรแมนซ์จากบรูโน่ และเขาก็ยืน"ว่าง" มากจากการที่เพื่อนดึงตัวประกบไปหมดเกลี้ยงแล้ว

4.ผู้บัญชาการจากเงามืดอย่างดอนนี่ ฟานเดอเบค เริ่มภารกิจหลังฉากด้วยการที่คิดจะวิ่งไปตรงไหนก็ยังไม่มีใครรู้ในภาพนี้ ให้เดาเล่นๆ ดูยังไงๆก็จะวิ่งฉีกเจาะแนวรับด้านหลังแน่ๆ แต่ไม่ใช่

จากนั้นก็..

เรียบร้อย!!!

ในเกมนั้นคือการโชว์ความเป็นผู้นำในแดนหน้าให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างแท้จริงของ "Mason Greenwood" ที่แม้จะเป็นฤดูกาลที่สองซึ่งยากลำบากกว่าเดิมสำหรับกรีนวู้ด และยังไม่ได้ทำประตูเปรี้ยงปร้างเท่าไหร่ แต่ในภาคของการทำเกมในสนาม ก็ถือว่าพัฒนาและเล่นได้ดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างมาก และดียิ่งกว่าช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเสียอีก

เกมนี้ก็เช่นกัน แรกๆดูเหมือนว่าเขาไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคนทำประตูไบรจ์ตันได้เลยในนัดนี้ แต่ก็มาทำประตูชัยให้ทีมได้

สิ่งที่เขาทำได้ในนัดนั้นเกิดจากการที่เขาพยายามทำงานหนักพัฒนาตัวเองอยู่เบื้องหลังการฝึกซ้อม โดยมีรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์ และพร้อมจะมอบวิชาให้น้องๆในทีมตลอดเวลาอย่าง "เอดินสัน คาวานี่" คอยแนะนำให้คำปรึกษา และใช้การเล่นในสนามเป็นตัวอย่างให้กับกรีนวู้ด

มันคล้ายๆกับตอนที่มาร์คัส แรชฟอร์ด เคยได้ซึมซับมาจากซลาตัน อิบราฮิโมวิชมาก่อนนั่นเอง

คู่อาจารย์กองหน้าตัวเก๋า และลูกศิษย์ของพวกเขาทั้ง 2ยุค

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือสัญชาตญาณในกรอบเขตโทษ และลูกโฉบโหม่งที่เห็นได้ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ได้ซึมซับวิชาของคาวานี่มาแบบเต็มๆ

หากกรีนวู้ดสามารถเคลื่อนที่ได้เช่นนี้ในกรอบเขตโทษ และใช้สัญชาตญาณเช่นนี้ทำประตูได้ชัวร์มากยิ่งขึ้นกว่านี้เมื่อใด เมื่อนั้นเขาจะขึ้นมาเป็นผู้นำในแนวรุกของทีมอย่างเต็มตัวทันที

หากได้โอกาสลงสนามต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ อนาคตอันใกล้นี้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะได้กองหน้าในฝันที่ชื่อว่า "เมสัน กรีนวู้ด "มาเชยชมแน่นอน

-ศาลาผี-

น้องก็เป็นเด็กดีจัง ตั้งใจฟังเฮียตาแป๋วเลย

References

https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/man-utd-brighton-greenwood-cavani-20321538

https://thebusbybabe.sbnation.com/2021/4/6/22368289/manchester-united-tactical-analysis-greenwood-shows-he-may-be-ready-to-lead-the-line

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด