:::     :::

การลุ้นอันดับ 4 ของหงส์แดงที่กำลังเป็นจริง

วันอังคารที่ 13 เมษายน 2564 คอลัมน์ ศาสดา On The Ball โดย ศาสดาลูกหนัง
1,687
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การลุ้นติด 1 ใน 4 อันดับแรกในตารางพรีเมียร์ลีกของหงส์แดง ไม่ใช่งานที่ยากอีกต่อไปหลังคว้า 3 คะแนนที่ล้ำค่าที่แอนฟิลด์ได้สักที

ก่อนลงสนามพบแอสตัน วิลล่า ที่แอนฟิลด์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลมีสถิติที่ไม่มีใครในทีมอยากจะจดจำนั่นก็คือ ความพ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 6 เกมด้วยกันยามลงสนามเป็นเจ้าบ้านในพรีเมียร์ลีก เป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเมื่อปี ค..1892

 

สนามแอนฟิลด์ ถือเป็นเมกะสถานลูกหนังที่เป็นอีกหนึ่งตำนานในวงการฟุตบอลอังกฤษมาอย่างช้านานนับตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมาใช้งานในปีค..1884 ที่นี่ทำหน้าที่เป็นรังเหย้าให้กับ 2 ทีมที่มีถิ่นฐานที่เมืองลิเวอร์พูลอย่าง เอฟเวอร์ตัน (1884-1892) และลิเวอร์พูล (1892-ปัจจุบัน) ด้วยความเก่าแก่ มากไปด้วยประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการเป็นรังเหย้าให้กับทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งใน และนอกประเทศมานับครั้งไม่ถ้วน นั่นทำให้แอนฟิลด์ เป็นสนามที่ทีมเยือนไม่ว่าใครหน้าไหนต่างต้องยำเกรงเมื่อมาลงแข่งที่สนามแห่งนี้

 

ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปี 2021 ลิเวอร์พูล ที่ฤดูกาลก่อนก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ทำสถิติสุดมหัศจรรย์เมื่อพวกเขาไม่เคยพลาดท่าพ่ายให้กับทีมใดเลยในพรีเมียร์ลีกยามเล่นที่แอนฟิลด์มานานถึง 68 เกมติดต่อกัน โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพ่ายแพ้คาบ้านเกิดขึ้นเมื่อ เมษายน 2017 หรือเกือบ 4 ปีที่แล้ว

 

แอนฟิลด์ เป็นป้อมปราการเหล็กแห่งเมอร์ซี่ไซด์ ที่แค่ก้าวลงสนามก็เหมือนกับแพ้ไปแล้วครึ่งตัว นักเตะหลายคนที่มาเยือนที่นี่เคยกล่าวเอาไว้แบบนั้น

 



แต่ทันทีที่ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกพลาดท่าพ่ายคาบ้านให้กับเบิร์นลีย์ จบสถิติไม่แพ้ใครในรังไว้ที่ 68 เกม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีก 6 เกม ทีมเจ้าบ้านต้องเป็นฝ่ายปราชัยชนิดที่เรียกว่าจะทีมเล็ก ทีมใหญ่ ฟอร์มดี หรือฟอร์มแย่ หากมาเยือนแอนฟิลด์แล้ว พวกหงส์แดงก็พร้อมที่จะประเคน 3 คะแนนให้ทุกครั้งยามเล่นในบ้าน

 

จากเบิร์นลีย์ มาถึงไบร์ทตัน ตามมาด้วยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอฟเวอร์ตัน เชลซี จนมาถึงฟูแล่ม

 

พิสูจน์ให้เห็นเลยว่าชื่อชั้นไม่เกี่ยวขอแค่คุณแวะมา แล้วเก็บ 3 คะแนน เอากลับไปได้เลย

 

ช่างตรงกันข้ามกับผลงานยามที่พวกเขาออกไปเล่นเป็นทีมเยือนสิ้นดี เพราะในขณะที่ 6 เกมที่พวกเขาไปเล่นเป็นทีมเยือน พวกเขาเอาชนะได้ถึง 5 เกม แพ้เพียงแค่เกมเดียว ต่อเลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมที่ทีมแชมป์เก่าขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่จะมาแจกโชคให้ทีมจิ้งจอกสยามยิง 3 ประตูไล่แซงในช่วงท้ายเกม จากความผิดพลาดของตัวเองล้วนๆ

 

เมือวันอาทิตย์ แอสตัน วิลล่า ก็เกือบจะเป็นทีมที 7 ที่มาสร้างรอยมลทินให้กับทีมเจ้าบ้านได้อับอายในบ้านอีกครั้ง แน่นอนไม่มีใครลืมสิ่งที่วิลล่าทำกับทีมหงส์แดงได้ในเกมแรกที่พบกันที่สนามวิลล่า ปาร์ก ผลงานชัยชนะ 7-2 คือความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดนับตั้งแต่ลิเวอร์พูลลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมา ทั้งๆที่ในเกมนั้นลิเวอร์พูลลงสนามโดยมีเฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และโจ โกเมซ 2 ปราการหลังตัวจริงเป็นแกนหลัก ก่อนที่ทั้งคู่จะบาดเจ็บยาว จนผลงานของทีมระส่ำเฉกเช่นทุกวันนี้

 

ขนาดมีฟาน ไดค์ - โกเมซ ยืนจับคู่กันยังโดนไป 7 ประตู จุกๆ แล้วแบบนี้เล่นในบ้านจะเอาอะไรไปรอด

 

และมันก็เกือบที่จะเป็นจริง เหมือนทุกอย่างเป็นการฉากหนังบทเดิมซ้ำไปซ่ำมา ลิเวอร์พูลเปิดเกมบุกทีมเยือน ลิเวอร์พูลทำอะไรไม่ได้ และท้ายครึ่งแรกก็มาโดนทีมเยือนขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากความผิดพลาดของนักเตะทีมเจ้าบ้านที่เล่นไม่ละเอียด ก่อนที่จะโดนโอลลี่ วัตกิ้นส์ ยิงขึ้นนำในนาทีที่ 43

 

ทีมเจ้าบ้านยังไม่ละความพยายาม ก่อนที่จะแหกโชคชะตาที่ต่างจาก 6 เกมก่อนหน้าได้ นั่นคือ การยิงประตูแบบที่ไม่ใช่ลูกโทษที่จุดโทษได้ในแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกในรอบปี 2021 สักที จากการยกข้ามผู้รักษาประตูอย่างเหนือชั้นของบ็อบบี้ ฟีร์มิโน่ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งแรก ทุกอย่างเหมือนจะเข้าทางทีมเจ้าบ้าน อาถรรพ์ถูกทำลายแล้ว แต่ด้วยเคราะห์กรรม ประตูที่ได้กลับถูกริบโดย VAR เมื่อมีการนำภาพวิดีโอมาตัดสินว่าดีโอโก โชต้า ล้ำหน้าแบบที่ดูยังไงก็ไม่ล้ำหน้า ในจังหวะก่อนที่จะเปิดให้ฟีร์มิโน่สังหารเข้าประตูไป

 



เชื่อไหมครับนี่เป็นครั้งที่ 7 ในฤดูกาลปัจจุบันแล้ว ที่ทีมหงส์แดงโดนริบประตูจากการตัดสินของกรรมการห้อง VAR ทั้งๆที่กรรมการผู้ควบคุมเกมในสนามเป่าให้ประตูแก่ทีมหงส์แดงไปเรียบร้อยแล้ว

 

แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่เสียประโยชน์สูงสุดจากการตัดสินของ VAR อย่างที่ไม่ต้องสืบ และแต่ละประตูที่โดนริบไปก็ล้วนแต่เป็นประตูสำคัญที่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการแข่งขันได้แทบจะทั้งนั้น

 

จะบอกว่าผลงานของลิเวอร์พูลที่ตกลงในฤดูกาลนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการสกัดดาวรุ่งโดย VAR ก็อาจจะดูรุนแรงไปเสียหน่อย เพราะนั่นไม่ใช่ปัญหาเดียวที่พวกเขาประสบพบเจอ แต่มันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า VAR คือ หนามยอกอกที่ไม่ใช่แค่เหล่านักเตะ แต่รวมถึงแฟนฟุตบอลที่นั่งชมเกมอยู่ด้วย จะเฮก็เฮสุดไม่ได้ เพราะต้องมานั่งรอดูผลของ VAR อีกที

 

จบครึ่งแรก ด้วยผลประตูที่ตามหลัง นั่นเท่ากับว่าพวกเขามีเวลาอีก 45 นาที ในการเปลี่ยนผลการแข่งขันไม่ให้แพ้ติดต่อกันในบ้านเป็นเกมที่ 7

 

เสียงบ่นระงมผ่านสังคมออนไลน์ดังมากในช่วงพักครึ่ง ทั้งเรื่องฟอร์มการเล่นของทีม ทั้งเรื่อง VAR เมื่อบวกกับเสียงเย้ยหยันจากกองเชียร์ทีมวิลล่าเฉพาะกิจ ยิ่งทำให้เกมครึ่งหลังยิ่งทวีความเดือดมากขึ้นไปอีก

 

ครึ่งหลังลิเวอร์พูลลงสนามมาใส่เต็มสูบ แม้ว่าจะมีเกมสำคัญกับเรอัล มาดริด รออยู่ในกลางสัปดาห์ แต่นาทีนี้ พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ทำให้สถิติย่ำแย่ไปกว่านี้ การพ่ายแพ้นอกจากจะเป็นการต่อขยายสถิติที่ไม่น่าจดจำออกไปแล้ว การลุ้นติด 1 ใน 4 ของทีมในฤดูกาลนี้ก็จะดูยากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวด้วย

 

ถ้าเป็นหนังม้วนเดิม เกมนี้ต่อให้บุกให้ตายขนาดไหน พวกเขาก็จะพ่ายแพ้ด้วยการทำอะไรคู่แข่งไม่ได้ แต่ขอบคุณพระเจ้า !! วันนี้มันต่างออกไป โม ซาล่าห์ ปลดพันธนาการให้กับทีมได้สำเร็จเมื่อเวลาครึ่งหลังผ่านไปได้ 12 นาที จากการซ้ำลูกยิงของแอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่โดนเอมี่ มาร์ติเนซ ทุบออกมาเข้าประตูโล่งๆไป เกมกลับมาเสมอ 1-1

 

ทีมเยือนมีโอกาสยิงขึ้นนำอีกครั้งจากจังหวะที่เทรเซเก้ต์ กองกลางเพื่อนร่วมทีมชาติของซาล่าห์ตะบันชนเสาในเด้งผ่านปากประตูออกไปแบบโชคช่วย เทพีแห่งโชคเริ่มเข้าข้างทีมหงส์แดงแล้ว แบบนี้แพ้ยากแน่ๆผมคิดในใจแบบนั้น ทีนี้เหลืออย่างเดียว คือ ต้องปลดล็อกยิงแซงชนะให้ได้ แต่ดูจากรูปเกมในวันนี้ ถ้าไม่ใช่ลูกยิงแบบผีจัดยัดแล้ว ก็ดูจะยากเหลือเกินที่ทีมแชมป์เก่าจะได้ประตูชัยในเกมนี้

 

ใครจะเชื่อว่า ผีจะมาจับยัดจริงๆ แถมเป็นช่วงเวลานาทีบาป ที่ทีมไหนโดนดีเข้าไป หาทางกลับมาได้ยากแล้ว

 

ใช่ครับ นั่นคือ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ



 

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เหล่าเดอะ ค็อป มักจะมีประโยคทองที่พูดกันว่า “คิดไม่ออกบอกเจอร์ราร์ด” เพราะถึงคราวคับขันทีไร ความมหัศจรรย์ของกัปตันทีมรายนี้ มักจะเฉิดฉายออกมาช่วยให้ทีมพ้นภัยพิบัติได้เสมอ และเกมพบกับแอสตัน วิลล่า เราเห็นดีเอ็นเอเช่นเดียวกันนี้ในร่างของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่รับบทสำคัญยิงตูมเดียวหายพาทีมเก็บ 3 คะแนน ที่ควรได้ไปแบบหายใจไม่ทั่วท้องทั้งนักเตะ และกองเชียร์

 

จะว่าไปนี่ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีไม่น้อย เชื่อว่าครั้งต่อๆไปในภาวะคับขันแบบนี้ เราคงได้เห็นความมหัศจรรย์ของเทรนท์ที่วันนี้ไม่ใช่ไอ้หนูอีกต่อไป แต่คือ เทรนท์ ลูกผู้ชายเต็มตัวที่พร้อมเดินหน้าสืบสานตำนานของกัปตันเจอร์ราร์ด

 

ชัยชนะของหงส์แดง เมื่อมาบวกกับผลการแข่งขันของคู่แข่งรายอื่นๆ เช่น เลสเตอร์ ซิตี้ และท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ ที่พ่ายแพ้, เอฟเวอร์ตันที่เสมอ มีเพียงแค่เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และเชลซี ที่ร่วมขบวนการคว้า 3 คะแนนมาได้ ทำให้บรรยากาศการลุ้นพื้นที่ไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าของลิเวอร์พูลดูสดใสขึ้นมาในทันที เหลืออีก 7 เกม พวกเขามีงานหนักแค่ออกไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น ในขณะที่ทีมคู่แข่งอื่นๆยังต้องมีการตัดแต้มกันเองอยู่หลายเกม ที่หนักสุดก็คือ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องเยือนทั้งแมนฯยูไนเต็ด และเชลซี รวมถึงเปิดบ้านต้องรับท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ในเกมสุดท้าย ในขณะที่เชลซีนอกจากจะต้องเจอเลสเตอร์ ซิตี้แล้ว ยังต้องออกไปเยือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงสำคัญที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะต้องเก็บคะแนนเพื่อเป็นแชมป์ด้วย ทางด้านขุนค้อนแม้จะไม่หนักเท่ากับ 2 ทีมแรก แต่ก็มีเกมที่ต้องพบกับทั้งเชลซี และเอฟเวอร์ตันรออยู่

 

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ถ้าลิเวอร์พูลไม่เล่นแบบหลุดฟอร์มไปเองแบบที่ผ่านๆมา อนาคตการติด 1-4 ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ขอแค่รักษาความสม่ำเสมอให้ได้

 

ซึงเอาจริงๆ นี่แหละเรื่องที่ยากที่สุด จะได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวของพวกเขาเองแล้วครับ


ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด